เมื่อเข้าสู่ฤดูมรสุม โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกติดต่อกันหลายวัน จนดินบนภูเขาดูดซับน้ำไว้ในปริมาณมาก มักจะเกิดเหตุการณ์ ดินถล่ม ปรากฏบนหน้าสื่อต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง
ดินถล่ม (Landslide) หรือ “โคลนถล่ม” คือ หนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจาก “การย้ายมวล” (Mass Wasting) หรือการเคลื่อนตัวของดิน หิน โคลน หรือเศษซากต่าง ๆ ตามความลาดชันของพื้นที่ ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลก โดยทั่วไปแล้ว ดินถล่มมักเกิดขึ้นตามหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น น้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินไหว หรือขณะเกิดพายุฝนรุนแรงที่ทำให้มวลของดินไม่สามารถคงตัวอยู่ได้
ดินถล่มจึงเป็นภัยพิบัติที่มักเกิดขึ้นจากการมีตัวกลาง เช่น น้ำ กระแสลม และธารน้ำแข็ง เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ดินมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือมีแรงยึดเกาะระหว่างมวลดินลดลง ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายมวลดินหรือ “การพัดพา” (Transportation) ที่นำไปสู่การถล่มลงมานั่นเอง
ดินถล่มสามารถจำแนกออกเป็น 6 ประเภท ตามวัสดุที่พังทลายและลักษณะการเคลื่อนที่ ดังนี้
- การร่วงหล่น (Fall) คือ การเคลื่อนที่ลงในแนวดิ่งอย่างอิสระ ทั้งการถล่มลงมาโดยตรงหรือมีการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาเล็กน้อย โดยปราศจากปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ตะกอนดินหรือหินที่พังทลายลงมามักกองสะสมกันอยู่บริเวณเชิงเขาหรือใกล้กับหน้าผาด้านล่างที่เรียกว่า “ลานหินตีนผา” (Talus) มักเกิดจากหินที่อยู่ตามหน้าผาหรือ “หินหล่น” (Rock Fall)
- การทลาย (Avalanche) คือ การเคลื่อนที่ลงมาอย่างรวดเร็วในลักษณะทั้งร่วงหล่น ไถล และกระเด็นกระดอน มักเกิดในบริเวณที่มีความลาดชันสูง เช่น หินทลาย (Rock Avalanche) เศษหินทลาย (Debris Avalanche) และ หิมะทลาย (Snow Avalanche)
- การลื่นไถลหรือเลื่อนถล่ม (Slide) คือ การเคลื่อนที่ตามความชันระดับปานกลาง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ทิศทางหรือระนาบการเคลื่อนที่มากนัก และมักมีปัจจัยของน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เช่น การเกิดดินถล่ม (Landslide) หินถล่ม (Rock Slide) และเศษหินถล่ม (Debris Slide) โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในบริเวณที่หินมีรอยแตกหรือชั้นหินมีการวางตัวเอียงเทขนานไปกับความชัน
- การล้มคว่ำ (Topple) หรือ การเลื่อนไถล (Slump) คือ การเคลื่อนที่ในลักษณะที่มีการไถลร่วมกับการหมุนของมวลหรือการล้มคว่ำลงมาตามลาดเขา โดยทั่วไป มักเกิดบริเวณเชิงหน้าผาดินหรือหินที่มีรอยแตกและรอยแยกมาก และตามหน้าผาริมชายฝั่งทะเลหรือริมตลิ่งแม่น้ำที่มีการกัดกร่อนสูง และหลังการถล่มมักเกิดเป็นหน้าหน้าผาสูงชันคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว
- การไหล (Flow) คือ การเคลื่อนที่ซึ่งมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด ทำให้ตะกอนของดินมีลักษณะเป็นของไหลที่สามารถเคลื่อนที่ไปบนพื้นระนาบได้รวดเร็วและไปได้ไกล อย่างเช่น ดินไหลหลาก (Earth Flow) ที่สามารถเคลื่อนที่ไปบนพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันต่ำ ด้วยความเร็วประมาณ 10 เมตรต่อชั่วโมงหรือ ตะกอนไหลหลาก (Debris Flow) ที่ปะปนไปกันกับดิน หินและซากต้นไม้
- การแผ่ออกทางด้านข้าง (Lateral Spread) และการคืบคลาน (Creep) คือ การเคลื่อนที่บนพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันต่ำ ส่งผลให้การย้ายมวลสารเกิดการเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ด้วยความเร็วตั้งแต่ 0.5 ถึง 5 เซนติเมตรต่อปี ในบางพื้นที่การคืบคลานมีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อความชื้น จากการมีน้ำหรือหิมะซึมผ่านชั้นดินลงไปไม่ลึกนัก ทำให้ดินชั้นบนชื้นแฉะและมีความอิ่มตัวสูงกว่าดินหรือหินด้านล่าง ทำให้การยึดเกาะตัวของดินชั้นบนลดลง จนเกิดการไหลเลื่อนลงไปด้านล่างอย่างช้า ๆ
สาเหตุของการเกิดดินโคลนถล่ม
สาเหตุจากธรรมชาติ (Natural Causes) หรือ ผลจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น การเกิดฝนตกหนัก การละลายของหิมะ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำ การกัดเซาะของดินริมตลิ่งจากกระแสน้ำในแม่น้ำ ลำธาร หรือจากคลื่นซัดชายฝั่ง รวมไปถึงการผุพัง (Weathering) ของมวลดินและหิน และแรงสั่นสะเทือนจากการเกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด
สาเหตุจากกิจกรรมมนุษย์ (Manmade Causes) ที่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันต่าง ๆ เช่น การทำเกษตรกรรมในพื้นที่ลาดชันเชิงเขา การทำเหมือง การกำจัดพืชปกคลุมดินและการตัดไม้ทำลายป่า การก่อสร้างในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง รวมไปถึงการก่อสร้างที่ปราศจากการคำนวณด้านวิศวกรรมที่ดีพอ กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งความลาดชัน รูปแบบการไหลของน้ำผิวดิน และระดับน้ำบาดาล เป็นต้น
การเกิดดินถล่มจึงมีปัจจัยและตัวกระตุ้นมากมาย จากทั้งธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ปัจจัยจากความลาดชันและการวางตัวของชั้นหินในพื้นที่เอง ปริมาณน้ำฝนและพืชปกคลุมดิน หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยธรรมชาติอื่น ๆ
สืบค้นและเรียบเรียง คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ และณภัทรดนัย
ข้อมูลอ้างอิง
//www.nationalgeographic.org/encyclopedia/landslide/
//ndwc.disaster.go.th/cmsdetail.ndwc-9.283/26674/menu_7525/4214.2/รู้จักภัยจาก+ดินถล่มหรือโคลนถล่ม+(Land+Slide)
โคลนถล่ม เป็นภัยธรรมชาติ คือ คำเรียกรวมๆของการเคลื่อนที่ของมวลสาร (Mass movement หรือ mass-wasting) ซึ่งคือ กระบวนการเคลื่อนตัวของมวลหิน ดินและทรายลงมาตามความลาดชันภายใต้แรงดึงดูดของโลกเป็นหลัก โดยอาจอาศัยตัวกลางระหว่างการพัดพา ยกตัวอย่างเช่น น้ำ, ลมและธารน้ำแข็ง ซึ่งตัวกลางเหล่านี้เป็นตัวช่วยเสริมการย้ายมวล ดังนั้นหากตะกอนอิ่มตัวด้วยน้ำ แรงเสียดทานระหว่างเม็ดตะกอนจะลดลง การย้ายมวลจึงเกิดได้ดีขึ้น
หลายคนเข้าใจว่า การย้ายมวลเกิดเฉพาะบนแผ่นดิน (Continents) เท่านั้น แต่จากการศึกษาทางธรณีฟิสิกส์และการลำดับชั้นหินตะกอนพบว่า บริเวณไหล่ทวีป ของมหาสมุทรหลายแห่ง มีการเคลื่อนตัวของตะกอนเช่นเดียวกับบนแผ่นดิน และจัดเป็นการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วลงมาตามความลาดชัน เรียกว่า กระแสน้ำขุ่นข้น (turbidity current)
กระบวนการเกิดดินหรือโคลนถล่ม[แก้]
ส่วนใหญ่การย้ายมวลที่กล่าวถึงกันบ่อยๆ คือ แผ่นดินเลื่อน (Landslide) หรือดินถล่ม โดยรวมเอาวิธีการย้ายมวลทุกรูปแบบไว้ด้วยกัน ซึ่งความจริงยังไม่ถูกต้องมากนัก รูปแบบการย้ายมวลมีหลายกระบวนการด้วยกัน โดยถือปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกำหนด
- ความเร็วของการย้ายมวล
- ปริมาณน้ำที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
- ชนิดของสารที่เกิดการย้ายมวล
- ความลาดชันของพื้นที่
หากจำแนกตาม Sharpe (1938) จะพิจารณาความเร็วของการย้ายมวล ปริมาณน้ำและความลาดชันของพื้นที่เป็นสำคัญ โดยเรียงลำดับจาก ปริมาณน้ำน้อยและมีการเคลื่อนตัวของมวลสารมาก ในพื้นที่ความลาดชันสูง – ปริมาณน้ำมากและมีการเคลื่อนตัวของมวลสารน้อย ในพื้นที่ความลาดชันต่ำ ดังนี้
- แผ่นดินถล่ม
- กองหินจากการถล่ม ซึ่งเป็นการถล่มอย่างรวดเร็วจากเทือกเขาสูงชัน โดยอัตราความเร็วอาจมากกว่า 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำลายสิ่งต่างๆที่ขวางกั้น
- ดินเลื่อน เป็นการเคลื่อนตัวของหินหรือหินผุตามไหล่เขาหรือลาดเขาจากแรงดึงดูดของโลก การเลื่อนตัวเป็นไปอย่างช้า ๆจนสามารถกำหนดขอบเขตของการเลื่อนตัวด้านข้าง ถ้าปริมาณน้ำมากขึ้นและการเคลื่อนตัวเร็วขึ้นดินเลื่อนอาจเปลี่ยนเป็นโคลนไหล
- น้ำหลากแผ่ซ่าน เป็นลักษณะการหลั่งไหลของน้ำแผ่ซ่านจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ขณะฝนตกหนัก เพราะปริมาณน้ำมีมากจนไหลลงร่องห้วยลำธารต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการไหลแผ่ซ่านของน้ำออกเป็นผืนบาง ๆ บนผิวดิน
- การกร่อนแบบพื้นผิว เป็นการกร่อนผุพังของพื้นผิวที่มักเกิดในฤดูฝน เพราะน้ำฝนไหลหลากลงสู่ร่องลำธารต่างๆไม่ทันจึงไหลแผ่ซ่านไปตามพื้นดินที่ต่ำกว่า ทำให้เกิดการกัดกร่อนเป็นบริเวณกว้างกว่าน้ำหลากแผ่ซ่าน
- ธารน้ำ
ข้อสังเกตหรือสิ่งบอกเหตุ[แก้]
การย้ายมวลบางครั้งเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลหรือโอกาสการระมัดระวังน้อยมาก โดยส่วนใหญ่ การย้ายมวลมักเกิดจากเหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นตัวกระตุ้น
- การสั่นไหวอย่างรุนแรง หรือการเกิดแผ่นดินไหว พลังงานที่เกิดจากแผ่นดินไหวสามารถถ่ายทอดมายังพื้นดิน ทำให้เกิดการเสียสมดุลของพื้นที่ลาดเอียง (Slope failure)
- การเปลี่ยนความลาดชัน หรือ การถอดส่วนค้ำจุน
- การกัดลึก ของลำธารตามตลิ่งหรือการกัดเซาะของคลื่นตามชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะคลื่นลมแรงที่มีความเร็วและความแรงสูงมาก กระแทกกับชายฝั่งจนทำให้เกิดการเสียสมดุลของพื้นที่และเกิดแผ่นดินเลื่อนในที่สุด กรณีพื้นที่หมู่เกาะฮาวายซึ่งร่นเข้าไปในแผ่นดิน เนื่องจากคลื่นกระแทกหินภูเขาไฟที่มีรอยแตกถี่ๆบริเวณด้านล่างของผา จนเกิดการเลื่อนลง ทำให้หินที่วางตัวอยู่ด้านบนพังตัวลงมา
- ฝนตกหนัก ฝนที่ตกหนักและยาวนานอาจทำให้พื้นดินที่เอียงเทอิ่มตัวด้วยน้ำ และเกิดการเสียสมดุล ด้วยเหตุนี้การย้ายมวลจึงเกิดขึ้นบ่อยในบริเวณที่มีฝนตกชุก
- การระเบิดของภูเขาไฟ เป็นสภาวะหนักที่กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินเลื่อนหรือถล่ม ภูเขาไฟชนิดเป็นชั้น มักประกอบด้วยธารหินละลายและเถ้าถ่านไหลที่ยังไม่แข็งตัวและไม่เสถียรจึงอาจก่อให้เกิดการถล่มลงมาได้
โคลนถล่มในประเทศไทย[แก้]
- 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลให้มีดินโคลนถล่มในพื้นที่ อ. ลับแล จ. อุตรดิตถ์ เสียชีวิต 87 คน สูญหาย 29 คน
- 11 สิงหาคม พ.ศ. 2544 น้ำป่าโคลนถล่ม ที่ ต. น้ำก้อ ต. น้ำชุน ต. หนองไขว่ ใน อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ บ้านเรือนเสียหาย 515 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 131 คน
- 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 น้ำป่าทะลักจากอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย ถล่มใส่หลายหมู่บ้านใน อ. วังชิ้น จ. แพร่ มีผู้เสียชีวิต 23 คน สูญหาย 16 ราย บาดเจ็บ 58 ราย
- 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 เหตุการณ์ดินโคลนถล่มในอำเภอพิปูน พ.ศ. 2531 ที่ ต. กะทูน อ. พิปูน จ. นครศรีธรรมราช มีผู้เสียชีวิตถึง 700 คน
- ลักษณะหมู่บ้านในหุบเขาที่ถูกดินถล่ม (อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ )
- โคลนจากภูเขาถล่มทับทางรถยนต์ในอำเภอลับแล
โคลนถล่มที่ตำบลกะทูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช[แก้]
พื้นที่ภัยพิบัติโคลนถล่ม ต.กะทูน อ.พิปูนประมาณ พ.ศ. 2532 สีขาวบนเขาคือพื้นที่ที่โคลนถล่ม สีขาวบนพื้นราบคือพื้นที่ตั้งถิ่นฐานเดิมของชาวบ้าน โปรดสังเกตทางน้ำออกที่ลูกศรชี้
(เหตุการณ์ดินโคลนถล่มในอำเภอพิปูน พ.ศ. 2531) ก่อนวันเกิดเหตุ 3- 4 วันได้เกิดพายุดีเพรสชั่น มีฝนตกปรอยๆ ต่อเนื่องมาหลายวัน ทำให้พื้นดินรวมทั้งเชิงเขาที่ชาวบ้านขึ้นไปปลูกยางพาราบนพื้นที่เดิมที่เปรียบเสมือนฟองน้ำตั้งเอียงที่พอซับน้ำได้พอประมาณเท่านั้น หมดขีดความสามารถในการอุ้มน้ำ น้ำที่อุ้มไว้อย่างเอียงๆ เต็มที่แล้วนั้น นอกจากจะทำให้ดินมีน้ำหนักมากขึ้น ยังลดความฝืดของอณูดินเองกับหล่อลื่นรากพืชที่ช่วยกันต้านแรงดึงดูดของโลกไว้ เมื่อมีฝนระลอกใหญ่ตกเพิ่มเติมลงมาในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ดังกล่าว จึงทำให้พื้นที่ที่หมดขีดความสามารถในการอุ้มน้ำส่วนบนบางส่วนพังทลายลงมาในรูปของโคลนถล่มพร้อมกับต้นไม้เดิมและต้นยางพาราไหลทลายทับถมลงมาในลักษณะโดมิโน พื้นที่ลาดชันบางส่วนแม้จะแข็งแรงรับนำหนักตัวเองได้พอควรอยู่ก่อน ย่อมไม่อาจรับน้ำหนักโคลนและท่อนไม้ที่ไหลทะลักที่มีความเร่งเพิ่มยกกำลังสองตามกฎแรงดึงดูดของโลก นอกจากนี้น้ำส่วนบนที่เบากว่ายังยกระดับสูงได้อย่างรวดเร็วภายในเวลานับเป็นเพียงนาทีเท่านั้น บ้านเรือนที่ปกติปลูกสูงพอสมควรก็มักถูกทำลายได้มากมายในพริบตาเช่นกัน
แอ่งตำบลกระทูนมีพื้นที่ประมาณ 70 ตารางกิโลเมตร มีทางน้ำและลำธารหลายสายซึ่งรับน้ำจากเชิงเขาโดยรอบที่เรียกว่าพื้นที่รับน้ำ (Watershed) ที่ประมาณจากแผนที่ภูมิประเทศเพียง 200-300 ตารางกิโลเมตรไหลมารวมที่ช่องระบายน้ำออกจากแอ่งเขาพิปูนที่กว้างเพียงประมาณ70 เมตร ทำให้โคลนและซุงมารวมจุดขวางทางอยู่ ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจึงเกิดสูงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่เป็นที่ตระหนักกันดีในเชิงอุทกศาสตร์และการป้องกันภัยธรรมชาติ ชาวบ้านและทางราชการที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงจึงให้ความสำคัญน้อย และมักปล่อยให้มีการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เสี่ยงนั้นต่อไปอีกเมื่อเวลาเนิ่นออกไปด้วยเหตุผลทางสังคม กฎหมายที่มีอยู่ก็เพียงเพื่อบรรเทาและให้ความช่วยเหลือในระยะสั้น มิได้กำหนดมาตรการทางกฎหมายในด้านการตั้งถิ่นฐานระยะยาวบนพื้นที่เสี่ยงไว้
ปรากฏการณ์โลกร้อน (Global warming) แม้จะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติระยะยาว แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วและการเผาผลาญเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์จำนวนมหาศาลของมนุษย์กำลังเพิ่มอัตราความเร็วและความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่รุนแรงและค่อนข้างพยากรณ์ได้ยาก ประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงสูงเช่นนี้มากมายหลายแหล่ง รวมทั้งพื้นที่ที่กรมทรัพยากรธรณีได้ประกาศไว้แล้วจึงไม่ควรละเลยภัยธรรมชาติประเภทโคลนถล่มอีกต่อไป