E-book Bang SAOTHONG Distric Public library Download
- Publications :0
- Followers :0
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง ม.ปลายsocial31002-2560
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง ม.ปลายsocial31002-2560
Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook
View Text Version Likes : 0 Category : All Report
- Follow
- Upload
- 0
- Embed
- Share
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง ม.ปลายsocial31002-2560
` ศาลปกครอง* ศาลปกครองเปนองคกรตุลาการมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีทางปกครอง ท่ีเปนขอพิพาทระหวางหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐกับเอกชน หรือระหวาง หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐดวยกัน โดยที่ขอพิพาทเหลานั้นเกิดจากการท่ี หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย หรือละเลย ตอหนาที่ หรือปฏิบัติหนาที่ลาชาเกินสมควร หรือเปนคดีอันเนื่องมาจากการกระทําละเมิดหรือ ความรับผดิ อยางอน่ื ของหนวยงานหรอื เจาหนา ทีข่ องรฐั หรืออันเนื่องมาจากสัญญาทางปกครอง หรืออาจกลาวไดวาศาลปกครองมีอํานาจหนาท่ีในการควบคุมและตรวจสอบการใชอํานาจ ทางปกครองของหนวยงานทางปกครองและเจาหนาที่ของรัฐใหเปนไปโดยชอบดวยกฎหมาย อันเปนการคุมครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิใหถูกลวงละเมิดจากการใชอํานาจ ทางปกครองของหนว ยงานทางปกครองและเจาหนาทขี่ องรัฐ ใน อ ดี ต อ ง ค ก รที่ ใช อํ าน าจ ตุ ล าก าร ข อ งไท ย มี เพี ย งระ บ บ ศ าล เดี ย ว ก็ คื อ ศาลยตุ ิธรรมทีม่ ีอํานาจหนาทใี่ นการพิจารณาพิพากษาคดที งั้ ปวง เมื่อมกี ารจัดตัง้ ศาลปกครองขึน้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลทําใหประเทศไทยมีระบบศาลปกครองเปนอีก องคกรหน่ึงท่ีใชอํานาจตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองแยกตางหากจากระบบของ ศาลยุตธิ รรม นอกจากระบบศาลยุติธรรม ระบบศาลปกครอง และระบบศาลทหารท่ีเปน ระบบศาลที่มีเขตอํานาจเฉพาะแลว รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทยยังบัญญัติใหมี ศาลรัฐธรรมนูญ มีอํานาจหนาที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่รัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจักรไทยและกฎหมายกําหนด ดังนั้น ณ ปจจุบันประเทศไทยมีองคกรท่ีใชอํานาจ ตุลาการ ไดแก ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร ซึ่งกลาวไดวา ปจ จบุ นั ประเทศไทยเปนระบบศาลคนู น่ั เอง
- เรียบเรียงโดย นายอนุชา ฮุนสวัสดิกุล พนักงานคดีปกครอง ๙ ชช. และนางสาวจุฑามาส แกว จุลกาญจน พนักงานคดปี กครอง ๔ สาํ นกั วจิ ัยและวิชาการ สาํ นกั งานศาลปกครอง วารสารวิชาการศาลปกครอง ปท ่ี ๓ ฉบบั ท่ี ๓ กนั ยายน-ธนั วาคม ๒๕๔๖ ๑๔๙ `
HUMAN RIGHT
ส
ิ
ท
ิ
ทธ
ิ
ม
ิ
มน
ุ
ษ
ุ
ษยชน
นางสาวณัฏฐิกา ภูรกิุลทอง
ม.4/5 เลขท
ี 21
นางสาวณัชชา เงาสม
พรเจรญิม.4/5 เลขท
ี 35
- 4
/
5
P
A
R
A
L
L
E
L
จัดทําโดย
ความหมายของสทิธมินษุยชน
ปฏิญญาสากลวา่ดว้ยมนุษยชน
(Universal Declaration of Human Rights)
ไมม่กีารนยิามคําวา่ \"สทิธมินุษยชน\" ไวโ้ดยเฉพาะเจาะจง แต่เม อื
พจิารณาเน ือหาของปฏิญญาฯ จะเหน็ถึงแนวความคิดพ นืฐานของ
สทิธมินษุยชน ไดแ้ก่
1.) ความอิสระเสรีและมศี ักดิ
ศรแีละสทิธเิท่าเทียมกัน
2.) การปฏิบตั ิต่อกันอยา่งฉันพน
ี ้อง
3.) การมสีทิธแิละเสรภีาพตามท
ี
ระบุไวใ้นปฏิญญาฯ โดยไมม่กีาร
จาํแนกความแตกต่างในเร อืงใด ๆ เชน่เช อืชาติสผีวิเพศ ภาษา
ศาสนา ความเหน็ทางการเมอืง หรอืทางอ ืนใดชาติหรอืสงัคมอันเปน
ท
ี
มาเดมิทรพัยส์นิกําเนิด หรอืสถานะอ ืนใด
4.) การจาํแนกขอ้แตกต่างของแต่ละบุคคลโดยอาศัยมูลฐานแหง่
สถานะทางการเมอืงทางการศาล
หรอืทางการระหวา่งประเทศของประเทศหรอืดินแดนซ งึบุคคลสงักัด
จะกระทํามไิด้
พระราชบญัญตั ิประกอบรฐัธรรมนญูวา่ดว้ยคณะกรรมการสทิธิ
มนษุยชนแหง่ชาติพ.ศ. 2560 มาตรา 4 ไดน้ ิยามคําวา่
“สทิธมินษุยชน” หมายถึง ศักดศิ รคีวามเป นมนุษย์สทิธิเสรภีาพ และ
ความเสมอภาค ของบุคคลท
ี ได้รบัการรบัรองหรอืค้มุครองตาม
รฐัธรรมนญูตามกฎหมายไทยหรอืตามหนังสอืสญัญาท
ี ประเทศไทย
เปน ภาคีและมพีนัธกรณีท
ี
จะต้องปฏิบตั ิตาม
บทบญัญตั ิเก
ี
ยวกับสทิธมินษุยชน
รฐัธรรมนญูแหง่ราชอาณาจกัรไทย พุทธศักราช 2540 มบีทบญัญตั ิ
เก
ี
ยวกับ คณะกรรมการสทิธมินษุยชนแหง่ชาติซ งึพระมหากษัตรยิ ์
ทรงแต่งตัง ตามคํา แนะนาํของ วุฒสิภา ประกอบดว้ย ประธาน
กรรมการหน ึงคน และกรรมการอ ืนอีกสบิคน ซ งึคณะกรรมการสทิธิ
มนษุยชนมอี ํานาจหนา้ท
ี
ดงัน
ี
1. เสนอแนะนโยบายและขอ้เสนอในการปรบั ปรงุกฎหมาย กฎ หรอืขอ้
บงัคับต่อรฐัสภาและคณะรฐัมนตรเีพ อืสง่เสรมิและค้มุครองสทิธิ
มนษุยชน
2. ตรวจสอบและรายงานการกระทําหรอืละเลยการกระทําอันเปน การ
ละเมดิสทิธิมนษุยชน และเสมอมาตรการแก้ไขท
ี
เหมาะสมต่อบุคคล
หรอืหนว่ยงานท
ี
กระทําหรอืละเลยการกระทํา ดังกล่าวเพ อืดาํเนนิการ
ในกรณที ี ไมม่กีารดําเนนิการตามท
ี
เสนอให้รายงานต่อรฐัสภาเพ อื
ดาํเนนิการต่อไป
3. สง่เสรมิ ใหเ้กิดความรว่มมอืและการประสานงานกันระหวา่งหน่วย
งานราชการ องค์กรเอกชนและองค์การอ ืนในด้านสทิธมินษุยชน
4. สง่เสรมิการศึกษา การวจิยัและการเผยแพรค่วามรตู้ ่าง ๆ ดา้น
สทิธมินษุยชน
·ooohD
ความเปน
มา
ความเปน มาของสทิธมินุษยชน ภายหลังสงครามโลกครงั ท
ี 2 สนิ สดุลง
ผนู้ าํ ประเทศต่างๆ ได้ตระหนักวา่การค้มุครองสทิธมินษุยชนอยา่งมี
ประสทิธภิาพเป นสงิ สาํคัญจะก่อใหเ้กิดสนัติภาพและความเจรญิก้าวหนา้
ดงันนั จงึไดร้ว่มมอืกันจดัตัง องค์การสหประชาชาติข นึเพ อืเปน องค์กร
โลกท
ี
จะค้มุครองมนุษยชาติให้รบัความเปน ธรรมอยา่เสมอภาคเท่าเทียม
กันสมชัชาสหประชาชาติไดม้มีติรบั ปฏิญญา ดว้ยสทิธมินุษยชน
(The Universal Declaration of Human Rights) เม อืวนัท
ี 10
ธนัวาคม พ.ศ. 2491 และมมีติประกาศให้วนัท
ี 10 ธนัวาคมของทกุป เป น
วนัสทิธมินษุยชน (Human Rights Day)
ดว้ยความคาดหวงัต่อการ
แสดงความรบัผดิชอบดา้น
สทธมินษุยชนของผปู้ ระกอบ
การ องค์การสหประชาชาติได้
จดัทํา หลักการชแ
ี
นะด้านสทิธิ
มนษุยชนกับธุรกิจ สาํหรบั
ธุรกิจใชเ้ปน แนวปฏิบตั ิในการ
เคารพสทิธมินษุยชน โดย
สาระสาํคัญของหลักการนอ
ี
ยู่
บนเสาหลัก 3 ประการ ซ งึสว่น
ท
ี
เก
ี
ยวขอ้งโดยตรงกับธุรกิจ
คือ เสาหลักท
ี 2 และ 3
·
ความเปน
มา
เสาหลักท
ี 1: Protect การค้มุครองสทิธมินษุยชนหมายถึง รฐัมหีนา้
ท
ี
ค้มุครองมใิหเ้กิดการ ละเมดิสทิธมินษุยชนท
ี
เก
ี
ยวขอ้ง กับการดาํเนิน
ธุรกิจ ไมว่า่จากองค์กร ของรฐัเองหรอืองค์กรภาคธุรกิจ
เสาหลักท
ี 2: Respect การเคารพสทิธมินษุยชนหมายถึง บุคคลและ
องค์กรท
ี ประกอบธุรกิจ ไมว่า่จะเป นธุรกิจประเภทใดหรอืขนาดใดก็
ตาม ยอ่มมคีวามรบัผดิชอบท
ี
จะเคารพสทิธมินุษยชน
เสาหลักท
ี 3: Remedy การเยยีวยาหมายถึง การแก้ไข ฟ น ฟูชดเชย
เม ือเกิดผลกระทบหรอืมกีารละเมดิสทิธมินษุยชนท
ี
เน อืงมาจากการ
ประกอบธุรกิจ ทัง ภาครฐัและภาคธุรกิจต้องมกีลไกในการเยยีวยาท
ี
มี
ประสทิธผิล
ADDN
·MANN
คําปรารภ
ด้วยเหตุท
ี
การยอมรับศักดิ ศรีแต่กําเนิด และสิทธิซ ึงเสมอ
กันและไม่อาจโอนแก่กันได้ของสมาชิกทั
งปวงแห่งครอบครัว
มนุษยชาติอันเป นรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรม และ
สันติภาพในโลก
ด้วยเหตุท
ี
การเมินเฉย และดูหมิ
นเหยียดหยามสิทธิ
มนุษยชนได้ก่อให้เกิดการอันป าเถ ือนโหดร้ายทารุณ ซ ึงเป นการ
ละเมิดมโนธรรมของมนุษยชาติอย่างร้ายแรง และโดยเหตุท
ี ได้
มีการประกาศปณิธานอันสูงสุดโดยสามัญชน ว่าถึงวาระแห่ง
โลกแล้วท
ี
มนุษย์จะมีเสรีภาพในการพูดและในความเช ือถือ รวม
ทั
งมีเสรีภาพจากความกลัวและความต้องการ
ด้วยเหตุท
ี
เป นสิ
งจาํเป น สิทธิมนุษยชนควรได้รับความ
คุ้มครองโดยหลักนิติธรรม ถ้าไม่พึงประสงค์ให้มนุษย์ต้องถูก
บีบบังคับให้หาทางออก โดยการกบฏต่อทรราชและการกดข
ี
อัน
เป นท
ี
พ ึงแห่งสุดท้าย
ด้วยเหตุท
ี ประดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันไว้ใน
กฎบัตรถึงความเช ือมั
นในสิทธิมนุษย์ชนขั
นพ ืนฐาน ในศักดิ ศรี
และคุณค่าของตัวบุคคล และในความเสมอกันแห่งสิทธิของทั
ง
ชายและหญิง และได้ตัดสินใจท
ี
จะส่งเสริมความก้าวหน้าทาง
สังคมตลอดจนมาตรฐานแห่งชาติให้ดีข ึน ได้มีเสรีภาพมากข ึน
ด้วยเหตุท
ี
รัฐสมาชิกได้ปฏิญาณท
ี
จะให้ได้มา โดยร่วมมือกับ
สหประชาชาติซ ึงการส่งเสริมการเคารพและการถือปฏิบัติโดย
สากลต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ขั
นพ ืนฐาน
ด้วยเหตุท
ี
ความเข้าใจตรงกันในเร ืองสิทธิและเสรีภาพมี
ความสาํคัญยิ
งเพ ือให้ปฏิญาณน
ี
เกิดสัมฤทธิผลอย่างเต็มเป ยม
ดังนั
น บัดน
ี
สมัชชาจึงประกาศให้
ปฏิญญาสากลวา
่
ด
้
วยสทิธมินษุยชน
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนน
ี
เป นมาตรฐานร่วมกัน
แห่งความสาํเร็จสาํหรับประชาชนทั
งมวลและประชาชาติทั
งหลาย
เพ ือจุดมุ่งหมายท
ี
ว่าป จเจกบุคคลทุกคน และทุกส่วนของสังคม
โดยการคํานึงถึงปฏิญญาน
ี
เป นเนืองนิตย์จะมุ่งมั
นส่งเสริมการ
เคารพสิทธิและอิสรภาพเหล่าน
ี
ด้วยการสอนและการศึกษา
และให้มีการยอมรับและยึดถือโดยสากลอย่างมีประสิทธิผล ด้วย
มาตรการอันก้าวหน้าในประเทศและระหว่างประเทศ ทั
งใน
บรรดาประชาชนของรัฐสมาชิกด้วยกันเอง และในบรรดา
ประชาชนของดินแดนท
ี
อยู่ใต้เขตอํานาจแห่งรัฐนั
น
1. ทุกคนเกิดมาเท่าเทียม
มนุษย์ทั
งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ ศรีและ
สิทธิต่างในตน มีเหตุผล และมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกัน
ด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ
2. ไม่แบ่งแยก
ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพทั
งปวงตามท
ี
กําหนดไว้ใน
ปฏิญญาน
ี โดยปราศจากการแบ่งแยกไม่ว่าชนิดใดอาทิเช ือชาติ
ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอ ืน
พ ืนเพทางชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน กําเนิดหรือสถานะอ ืน นอก
เหนือจากน
ี
จะไม่มีการแบ่งแยกใด บนพ ืนฐานของสถานะ
ทางการเมือง ทางกฎหมาย หรือทางการระหว่างประเทศของ
ประเทศหรือดินแดนท
ี
บุคคลสังกัด ไม่ว่าดินแดนน
ี
จะเป น
เอกราช อยู่ในความพิทักษ์มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้
การจาํกัดอธิปไตยอ ืนใด
3. สิทธิในการมีชีวิต
ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั
นคงแห่งบุคคล
4. ไม่ตกเป นทาส
บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป นทาสหรือสภาวะจาํยอมไม่ได้ทั
งน
ี
ห้ามความเป นทาสและการค้าทาสทุกรูปแบบ
5. ไม่ถูกทรมาน
บุคคลใดจะถูกกระทําการทรมาน หรือการปฏิบัติหรือการ
ลงโทษท
ี โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย าํยีศักดิ ศรีไม่ได้
D
6. ได้รับการคุ้มครองทางกฏหมาย
ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับการยอมรับทุกแห่งหน ว่าเป นบุคคล
ตามกฎหมาย
7. เท่าเทียมกันตามกฏหมาย
ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและมีสิทธิ
ท
ี
จะได้รับความ
คุ้มครองของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันโดยปราศจากการ
เลือกปฏิบัติใด ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียม
กันจากการเลือกปฏิบัติใด้อันเป นการล่วงละเมิดปฏิญญาน
ี
และจากการยุยงให้มีการเลือกปฏิบัติดังกล่าว
8. สิทธิท
ี
จะได้รับการคุ้มครองตามกฏหมาย
ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับการเยียวยาอันมีประสิทธิผลจากศาลท
ี
มี
อํานาจแห่งรัฐต่อการกระทําอันล่วงละเมิดสิทธิขั
นพ ืนฐาน ซ ึง
ตนได้รับตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
9. ไม่ถูกคุมขังโดยพลการ
บุคคลใดจะถูกจับกุม กักขัง หรือเนรเทศตามอําเภอใจไม่ได้
10. ได้รับการพิจารณาอย่างเป นธรรม
ทุกคนย่อมมีสิทธิในความเสมอภาคอย่างเต็มท
ี ในการได้รับการ
พิจารณาคดีท
ี
เป นธรรมและเป ดเผยจากศาลท
ี
อิสระและไม่
ลําเอียงในการพิจารณากําหนดสิทธิและหน้าท
ี
ของตนและข้อ
กล่าวหาอาญาใดต่อตน
11. เป นผู้บริสุทธิ
จนกว่าศาลจะตัดสิน
1.) ทุกคนท
ี
ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดทางอาญา มีสิทธิท
ี
จะได้รับ
การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ
จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด
ตามกฎหมาย ในการพิจารณาคดีท
ี
เป ดเผยซ ึงตนได้รับหลัก
ประกันท
ี
จาํเป นทั
งปวงสาํหรับการต่อสู้คดี
2.) บุคคลใดจะถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาใด้
อันเน ืองจากการกระทําหรือละเว้นใด อันมิได้ถือว่าเป นความผิด
ทางอาญาตามกฎหมายแห่งชาติหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
ในขณะท
ี ได้กระทําการนั
นไม่ได้และจะกําหนดโทษหนักกว่าท
ี
บังคับใช้ในขณะท
ี ได้กระทําความผิดทางอาญานั
นไม่ได้
12. สิทธิความเป นส่วนตัว
บุคคลใดจะถูกแทรกแซงตามอําเภอใจในความเป นส่วนตัว
ครอบครัว ท
ี
อยู่อาศัยหรือการส ือสาร หรือจะถูกลบหลู่
เกียรติยศ และช ือเสียงไม่ได้ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับการ
คุ้มครองของกฎหมายจากการแทรกแซงสิทธิ
หรือการลบหลู่ดัง
กล่าวนั
น
13. เสรีภาพในการเดินทาง
1.) ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งการเคล ือนย้ายและการอยู่
อาศัยภายในพรมแดนของแต่ละรัฐ
2.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะออกนอกประเทศใด รวมทั
งประเทศของ
ตนเองด้วย และสิทธิท
ี
จะกลับสู่ประเทศตน
14. สิทธิท
ี
จะล
ี
ภัย
1.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะแสวงหาและได้ท
ี
ล
ี
ภัยในประเทศอ ืนจาก
การประหัตประหาร
2.) สิทธิน
ี
จะยกข ึนกล่าวอ้างกับกรณีท
ี
การดําเนินคดีท
ี
เกิดข ึน
โดยแท้จากความผิดท
ี
มิใช่ทางการเมืองหรือจากการกระทําอัน
ขัดต่อวัตถุประสงค์และหลักการของสหประชาชาติไม่ได้
15. สิทธิท
ี
จะมีสัญชาติ
ทุกคนมีสิทธิในสัญชาติหน ึง
บุคคลใดจะถูกเพิกถอนสัญชาติของตนตามอําเภอใจ หรือถูก
ปฏิเสธสิทธิท
ี
จะเปล
ี
ยนสัญชาติของตนไม่ได้
16. เสรีภาพในการแต่งงาน
1.) บรรดาชายและหญิงท
ี
มีอายุครบบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิ
ท
ี
จะ
ทําการสมรสและก่อร่างสร้างครอบครัว โดยปราศจากการจาํกัด
ใด อันเน ืองจากเช ือชาติสัญชาติหรือศาสนา ต่างย่อมมีสิทธิ
เท่าเทียมกันในการสมรส ระหว่างการสมรสและขาดจากการ
สมรส
2.) การสมรสจะกระทํากันโดยความยินยอมอย่างอิสระ และ
เต็มท
ี
ของผู้ท
ี
จะเป นคู่สมรสเท่านั
น
3.) ครอบครัวเป นหน่วยธรรมชาติและพ ืนฐานของสังคม
และย่อมมีสิทธิท
ี
จะได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ
17. สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน
1.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะเป นเจ้าของทรัพย์สินโดยตนเอง
และโดยร่วมกับผู้อ ืน
2.) บุคคลใดจะถูกเอาทรัพย์สินไปจากตนตามอําเภอใจไม่ได้
18. เสรีภาพในการนับถือศาสนา
ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความคิด มโนธรรม และศาสนา
ทั
งน
ี
สิทธิน
ี
รวมถึงอิสรภาพในการเปล
ี
ยนศาสนาหรือความเช ือ
และอิสรภาพในการแสดงออกทางศาสนาหรือความเช ือถือ ของ
ตนในการสอน การปฏิบัติการสักการบูชา และการประกอบ
พิธีกรรม ไม่ว่าจะโดยลําพัง หรือในชุมชนร่วมกับผู้อ ืน และในท
ี
สาธารณะหรือส่วนบุคคล
19. เสรีภาพในการแสดงออก
ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออกรวม
ทั
งอิสรภาพในอันท
ี
จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการ
แทรกแซง แสวงหา รับ และส่งข้อมูลข่าวสารตลอดจนข้อคิด
ผ่านส ือใด โดยไม่คํานึงถึงพรมแดน
20. เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ
ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งการชุมนุม ร่วมประชุมและการตั
ง
สมาคมโดยสันติ
บุคคลใดไม่อาจถูกบังคับให้สังกัดสมาคมหน ึงได้
21. การมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ
1.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศตน
โดยตรงหรือผ่านทางผู้แทนซ ึงได้เลือกตั
งโดยอิสระ
2.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะเข้าถึงบริการสาธารณะในประเทศตนโดย
เสมอภาค
3.) เจตจาํนงของประชาชนจะต้องเป นพ ืนฐานแห่งอํานาจการ
ปกครอง ทั
งน
ี
เจตจาํนงน
ี
จะต้องแสดงออกทาง การเลือกตั
ง
ตามกําหนดเวลาและอย่างแท้จริง ซ ึงต้องเป นการออกเสียง
อย่างทั
วถึงและเสมอภาค และต้องเป นการลงคะแนนลับ หรือ
วิธีการลงคะแนนโดยอิสระในทํานองเดียวกัน
22. การได้รับการดูแลและคุ้มครองจากรัฐ
ทุกคนในฐานะท
ี
เป นสมาชิกของสังคมมีสิทธิในหลักประกันทาง
สังคม สิทธิในการบรรลุถึงซ ึงสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและ
วัฒนธรรม อันจาํเป นยิ
งสาํหรับศักดิ ศรีของตนและการพัฒนา
บุคลิกภาพของตนอย่างอิสระ ผ่านความพยายามแห่งชาติและ
ความร่วมมือระหว่างประเทศและตามการจัดการและทรัพยากร
ของแต่ละรัฐ
23. สิทธิในการทํางาน
1.) ทุกคนมีสิทธิในการงาน ในการเลือกงานโดยอิสระใน
เง ือนไขท
ี
ยุติธรรมและเอ ืออํานวยต่อการทํางาน และในการ
คุ้มครองต่อการว่างงาน
2.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับเงินค่าจ้างท
ี
เท่าเทียมกันสาํหรับงาน
ท
ี
เท่าเทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด
3.) ทุกคนท
ี
ทํางานมีสิทธิท
ี
จะได้รับค่าตอบแทนท
ี
ยุติธรรม และ
เอ ืออํานวยต่อการประกันความเป นอยู่อันควรค่าแก่ศักดิ ศรีของ
มนุษย์สาํหรับตนเองและครอบครัว และหากจาํเป นก็จะได้รับ
การคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบอ ืนเพิ
มเติมด้วย
4.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะจัดตั
งและเข้าร่วมสหภาพแรงงานเพ ือ
ความคุ้มครองแห่งผลประโยชน์ของตน
24. สิทธิในการพักผ่อน
ทุกคนมีสิทธิในการพักผ่อนและการผ่อนคลายยามว่าง รวมทั
ง
จาํกัดเวลาทํางานตามสมควรและวันหยุดเป นครัง คราว โดยได้
รับค่าจ้าง
25. คุณภาพชีวิตท
ี
ดี
1.) ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอสาํหรับ
สุขภาพและความเป นอยู่ท
ี
ดีของตนและครอบครัว รวมทั
ง
อาหาร เคร ืองนุ่งห่ม ท
ี
อยู่อาศัยการดูแลรักษาทางแพทย์และ
บริการทางสังคมท
ี
จาํเป น และมีสิทธิในหลักประกัน ยามว่าง
งาน เจ็บป วย พิการ หม้าย วัยชรา หรือปราศจากการดาํรงชีพ
อ ืน ในสภาวะแวดล้อมนอกเหนือการควบคุมของตน
2.) มารดาและเด็กย่อมมีสิทธิท
ี
จะรับการดูแลรักษาและการ
ช่วยเหลือเป นพิเศษ เด็กทั
งปวงไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกสมรส
จะต้องได้รับการคุ้มครองทางสังคมเช่นเดียวกัน
26. สิทธิในการศึกษา
1.) ทุกคนมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องอย่างน้อยในชั
น
ประถมศึกษาและขั
นพ ืนฐาน การประถมศึกษาจะต้องเป นการ
บังคับ การศึกษาทางเทคนิคและวิชาอาชีพจะต้องเป นการทั
วไป
และการศึกษาระดับท
ี
สูงข ึนไปจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค
สาํหรับทุกคนบนพ ืนฐานของคุณสมบัติความเหมาะสม
2.) การศึกษาจะต้องมุ่งไปสู่การพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์
อย่างเต็มท
ี
และการเสริมสร้างความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน
และอิสรภาพขั
นพ ืนฐาน การศึกษาจะต้องส่งเสริมความเข้าใจ
ขันติธรรมและมิตรภาพระหว่างประชาชาติกลุ่มเช ือชาติหรือ
ศาสนาทั
งมวล และจะต้องส่งเสริมกิจกรรมของสหประชาชาติ
เพ ือการธาํรงไว้ซ ึงสันติภาพ
3.) ผู้ปกครองย่อมมีสิทธิเบ ืองแรกท
ี
จะเลือกประเภทการ
ศึกษาให้แก่บุตรของตน
27. การมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม
1.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะเข้าร่วมโดยอิสระในชีวิตทางวัฒนธรรม
ของชุมชนท
ี
จะเพลิดเพลินกับศิลปะและมีส่วนในความรุดหน้า
และคุณประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
2.) ทุกคนมีสิทธิท
ี
จะได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ทาง
ศีลธรรมและทางวัตถุอันเป นผลจากประดิษฐกรรมใดทาง
วิทยาศาสตร์วรรณกรรม และศิลปกรรมซ ึงตนเป นผู้สร้าง
28. สันติภาพระหว่างประเทศ
ทุกคนย่อมมีสิทธิในระเบียบทางสังคมและระหว่างประเทศ ซ ึง
จะเป นกรอบให้บรรลุสิทธิและอิสรภาพท
ี
กําหนดไว้ในปฏิญญาน
ี
อย่างเต็มท
ี
29. เคารพสิทธิผู้อ ืน
1.) ทุกคนมีหน้าท
ี
ต่อชุมชน ซ ึงการพัฒนาบุคลิกภาพของตน
โดยอิสระและเต็มท
ี
จะกระทําได้ก็แต่ในชุมชนเท่านั
น
2.) ในการใช้สิทธิและอิสรภาพแห่งตน ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ข้อ
จาํกัดเพียงเท่าท
ี
มีกําหนดไว้ตามกฎหมายเท่านั
น เพ ือ
วัตถุประสงค์ของการได้มาซ ึงการยอมรับและการเคารพสิทธิ
และอิสรภาพอันควรของผู้อ ืน และเพ ือให้สอดรับกับความ
ต้องการอันสมควรทางด้านศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของ
ประชาชน และสวัสดิการทั
วไปในสังคมประชาธิปไตย
3.) สิทธิและอิสรภาพเหล่าน
ี ไม่อาจใช้ขัดต่อวัตถุประสงค์และ
หลักการของสหประชาชาติไม่ว่ากรณีใดๆ
30. ไม่มีใครเอาสิทธิเหล่าน
ี ไปจากเราได้
ไม่มีบทใดในปฏิญญาน
ี
ท
ี
อาจตีความได้ว่า เป นการให้สิทธิใดแก่
รัฐ กลุ่มคน หรือบุคคลใดในการดาํเนินกิจกรรมใด หรือการกระ
ทําใด อันมุ่งต่อการทําลายสิทธิและอิสรภาพใดท
ี
กําหนดไว้ณ ท
ี
น
ี
สทิธมินุษยชนตามรฐัธรรมนญู 2560 รฐัธรรมนญู 2560
บญัญตั ิใหค้ณะกรรมการสทิธมินษุยชนแหง่ชาติเป น 1 ใน 5 องค์กร
อิสระ นอกเหนอืจากคณะกรรมการการเลือกตัง ผตู้ รวจการแผน่ดนิ
คณะกรรมการปอ งกันและ ปราบปราม การทจุรติแหง่ชาติและคณะ
กรรมการตรวจเงินแผน่ดนิ โดยบญัญตั ิไวใ้นหมวด 6 ประกอบด้วย
กรรมการ 7 คน (มาตรา 246) รฐัธรรมนญู 2560 มาตรา 4 วรรค
หน งึบญัญัติวา่ศักดศิ รคีวาม เปน มนษุย์สทิธิเสรภีาพ และความ
เสมอภาคของบุคคล ยอมไดร้บัความค้มุครอง วรรคสองบญัญัติวา่
ปวงชนชาวไทยยอ่ม ได้รบัความค้มุครองตามรฐัธรรมนูญเสมอกัน
รฐัธรรมนญูจะไมไ่ด้อธบิาย ความหมายของคําวา่สทิธิเสรภีาพ และ
ความเสมอภาคไว้เราพอท
ี
จะไปหาความหมายของสทิธิเสรภีาพ และ
ความเสมอภาคใน หมวดอ ืนของรฐัธรรมนูญใด้แต่การท
ี
รฐัธรรมนญู
ไมไ่ดใ้หค้วามหมาย ของศักดศิ รคีวามเป นมนษุยน์า่จะ ก่อใหเ้กิดความ
เขา้ใจคลาดเคล ือนไมต่รงกันได้
กฏหมายสทิธมินษุยชน ตามรฐัธรรมนญู 2560
สทิธแิละเสรภีาพในรฐัธรรมนูญ รฐัธรรมนญู 2560 ได้บญัญัติ
เร อืงสทิธแิละเสรภีาพของปวงชนชาวไทยไวโ้ดยตรงในหมวด 3 และ
หมวด 5 สว่นท
ี
เปน สาระสาํคัญมดีงัน
ี
1)ความเสมอภาค บุคคลยอ่มเสมอกันในกฎหมาย มสีทิธิและเสรภีาพ
และไดร้บัความค้มุครอง เท่าเทียมกัน ชาย และหญิงต่างมสีทิธเิท่า
เทียมกัน การเลือกปฏิบตั ิโดยไมเ่ ป นธรรมต่อบุคคล ไมว่า่ด้วยความ
แตกต่างในเร อืงต่อไปน
ี
จะกระทํามไิดค้ ือ ถิ
นกําเนิด เช อืชาติภาษา เพศ
อายุความพกิาร สภาพทางกายหรอืสขุภาพ สถานะของ บุคคล ความ
เช อืทางศาสนา การศึกษาอบรม หรอืความคิดเหน็ทางการ เมอืงอันไม่
ขดัต่อบทบญัญัติฐานะทางเศรษฐกิจหรอืสงัคม แหง่รฐัธรรมนญูหรอื
เหตอุ ืนใด (มาตรา 27 วรรคสาม ของรฐัธรรมนูญ) หลักความเสมอ
ภาคหลักท
ี
ทําใหป้ระชาชนทกุคนได้รบัการปฏิบตั ิจากรฐัอยา่งเท่าเทียม
กัน โดยองค์กรต่าง ๆ ของรฐัต้องปฏิบตั ิต่อบุคคลท
ี
เหมอืนกันใน
สาระสาํคัญอยา่งเดียวกัน และ ปฏิบตั ิต่อบุคคลท
ี
แตกต่างกันในสาระ
สาํคัญท
ี
แตกต่างออกไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
2)สทิธใิ นชวีติและรา่งกาย โดยหลักการแล้ว การจบัและคมุขงับุคคล
ไมส่ามารถจะกระทําได้แต่มขีอ้ยกเวน้ ในกรณีมคี ําสงั หรอืหมายของ
ศาล หรอืมเีหตอุยางอ ืนตามท
ี
กฎหมายบญัญตั ิ(มาตรา 28 วรรคสอง
ของรฐัธรรมนูญ)
·
การค้นตัวบุคคลจะกระทําไดต้ามท
ี
กฎหมายบญัญตั ิ
(มาตรา 28 วรรคสาม ของ รฐัธรรมนญู ) เชน่พนกังานฝ าย
ปกครองหรอืตํารวจเป นผคู้ นเม อืมเีหตอุันควรสงสยัวา่บุคคลนนั มี
สงิ ของใน ความครอบครองเพ อืจะใชใ้นการกระทําความผดิซ งึได้มา
โดยการกระทําความผดิหรอืมไีว้เปน ความผดิตามประมวลกฎหมาย
วธิพีจิารณาความอาญา มาตรา 83 การทรมาน ทารณุกรรม หรอืการ
ลงโทษดว้ยวธิกีารโหดรา้ยหรอืไรม้นษุยธรรมจะกระทํามไิด้
(มาตรา 28 ของรฐัธรรรมนญู ) ในกรณีโทษประหารชวีติรฐัธรรมนูญ
2550 บญัญตั ิวา่การลงโทษตามคําพพิากษาของศาลหรอืตามท
ี
กฎหมายบญัญัติไวไ้มถ่ ือวา่เป นการลงโทษดว้ย วธิกีาร โหดราย หรอื
ไรม้นษุยธรรม แต่รฐัธรรมนญู 2560 ไมไ่ดบ้ญัญตั ิเร อืงน
ี ไวโ้ดยตรง
ไปพจิารณาวา่ ประเทศไทยมพีนัธกรณีระหวา่งประเทศในเร อืงนไี
ว้
อยา่งไร และจะมกีารยกเลิกโทษประหารชวีติหรอืไม่และภายใต้เง ือนไข
อยา่งไร
3)การรบัโทษอาญา บุคคลไมต่ ้องรบัโทษอาญา เวน้แต่ได้กระทําการ
อันกฎหมายท
ี ใชอ้ยูใ่นเวลาท
ี
กระทํานนั บญัญัติเป นความผดิและ
กําหนดโทษไว้และโทษท
ี
จะลงแก่บุคคลนนั จะหนกักวา่ โทษท
ี
บญัญตั ิไว้
ในกฎหมายท
ี ใชอ้ยูใ่นเวลากระทําความผดิ ไมไ่ด้ในคดอีาญา ให้
สนันษิฐานไวก้ ่อนวา่ผตู้ ้องหาหรอืจาํเลยไมม่คีวามผดิและก่อนมคี ํา
พพิากษาวา่บุคคลใดใด้กระทําความผดิจะปฏิบตั ิต่อบุคคลนัน เสมอืน
เปน ผกู้ ระทําความผดิ ไมไ่ด้ต้องถือวา่บุคคลนนั ยงัไมใ่ชผ่กู้ ระทําความ
ผดิ (มาตรา 29 ของรฐัธรรมนญู )
4)เสรภีาพในการถือศาสนา บุคคลยอมมเีสรภีาพบรบิูรณ์ในการถือ
ศาสนา และในการปฏิบตั ิหรอื ประกอบพธิกีรรมตาม หลักศาสนาของ
ตนภายใต้เง ือนไขขอ้หน ึงขอ้ ใดใน 3 ขอ้คือ ไมเ่ ป นปฏิป กษ์ต่อหนา้ท
ี
ของปวงชนชาวไทย ไมเ่ ปน อันตรายต่อความปลอดภัยของรฐัและไม่
ขดัต่อความสงบเรยีบรอ้ยหรอืศีลธรรมอันดขีอง ประชาชน
(มาตรา 31 ของรฐัธรรมนญู )
5)เสรภีาพในการแสดงความคิดเหน็บุคคลยอ่มมเีสรภีาพในการ
แสดงความคิดเหน็การพูด การเขยีน การพมิพ์การโฆษณา หรอืการ
ส อืความหมายโดยวธิอี ืน การจาํกัดเสรภีาพน
ี
จะกระทํา ไดเ้ฉพาะเม อืมี
การตรากฎหมายขอ้หน ึงขอ้ ใดใน 4 ขอ้คือ เพ อืรกัษาความมนั คงของ
รฐัเพ อืค้มุครองสทิธหิรอืเสรภีาพของบุคคลอ ืน เพ อืรกัษาความสงบ
เรยีบรอ้ยหรอืศีลธรรมอันดขีอง ประชาชน หรอืเพ อืปอ งกันสขุภาพ
ของประชาชน (มาตรา 34 ของรฐัธรรมนญู )
- สทิธใินทรพัยส์นิบุคคลยอ่มมสีทิธใินทรพัยสนิและการสบืมรดก
การเวน้คืนอสงัหารมิทรพัย์เวน้แต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบญัญตั ิ
แหง่กฎหมายท
ี
ตราข นึเพ อืการท
ี
รฐัธรรมนูญกําหนดชดใชค้ ่าทดแทนท
ี
เปน ธรรม โดยคํานงึถึงประโยชนส์าธารณะ ผลกระทบต่อ เวน้คืน และ
ประโยชนท์ ี
ผถู้ กูเวน้คืนอาจได้รบัจากการเวน้คืนนนั
(มาตรา 37 ของรฐัธรรมนูญ)
- เสรภีาพในการเดนิทางและเลือกถิ
นท
ี
อยู่บุคคลยอ่มมเีสรภีาพใน
การเดนิทางและเลือกถิ
นท
ี
อยู่การตรากฎหมายเพ อืจาํกัด เสรภีาพน
ี
จะ
กระทําไดต้ามเง ือนไขท
ี
รฐัธรรมนญูบญัญัติไว้
8)สทิธใินสญัชาติบุคคลซ งึมสีญัชาติไทยจะถกูเนรเทศออกจาก
ประเทศไทย หรอืหา้มเขา้มาใน ประเทศไทย ไมไ่ด้รวมทัง จะถอน
สญัชาติไทยของบุคคลซ งึไดส้ญัชาติไทยโดยการเกิดไมไ่ด้
(มาตรา 39)
9)เสรภีาพในการประกอบอาชพีบุคคลยอมมเีสรภีาพในการประกอบ
อาชพีการจาํกัดเสรภีาพน
ี โดยอาศัยกฎหมายท
ี
ตรา ข นึเพ อืความ
มุง่หมายท
ี
รฐัธรรมนญูกําหนด แต่การตรากฎหมายเพ อื
- เสรภีาพในการรวมตัว บุคคลยอ่มมเีสรภีาพในการรวมตัว
กันเปน สมาคม สหกรณ์สหภาพ องค์กร ชุมชนหรอืหมูค่ณะอ ืน
การจาํกัดสทิธใินเสรภีาพนจ
ี
ะกระทําไดก้ ็แต่โดยอาศัย บทบญัญัติแหง่
กฎหมายท
ี
ตราข นึเพ อืการท
ี
รฐัธรรมนญูกําหนด
(มาตรา 42 ของรฐัธรรมนูญ)
- สทิธใินศิลปะวฒันธรรมและทรพัยากรธรรมชาติบุคคลและชุมชน
ยอ่มมสีทิธิ(1) อนรุกัษ์ฟ น ฟูหรอืสง่เสรมิภมูปิญญา ศิลปะ
วฒันธรรม ขนบธรรมเนียม และจารตี ประเพณีอันดงีามของท้องถิ
น
และของชาติ(2) จดัการ บาํรงุรกัษา และใชป้ระโยชน์จาก
ทรพัยากรธรรมชาติและ ความหลากหลายทางชวีภาพอยางสมดลุและ
ยงั ยนื (3) จดั ใหม้รีะบบสวสัดิการของชุมชน สทิธขิองบุคคลและชุมชน
ตามรฐัธรรมนญู 2560 เกิดข นึ ไดง้ ่ายและมคีวามก้าวหน้า กวา่สทิธิ
ชุมชนตามรฐัธรรมนูญ 2550 ซ งึจะต้องมกีารรวมกันเปน ชุมชน
ชุมชนท้องถิ
น หรอืชุมชน ท้องถิ
นดัง เดิมเสยีก่อนจงึจะมสีทิธดิงักล่าว
- เสรภีาพในการชุมนุม บุคคลยอ่มมเีสรภีาพในการชุมนมุโดยสงบ
และปราศจากอาวุธ การจาํกัดเสรภีาพน
ี
จะกระทําไดก้ ็แต่โดยอาศัย
อํานาจตามบทบญัญตั ิแหง่กฎหมายท
ี
ตราข นึเพ อืการท
ี
รฐัธรรมนญู
กําหนด เท่านนั (มาตรา 44 ของรฐัธรรมนญู )
- สทิธขิองผบู้ รโิภค สทิธชิองผบู้ รโิภคยอมได้รบัความค้มุครอง
บุคคลยอ่มมสีทิธริว่มกันจดัตัง องค์กรของผบู้ รโิภคเพ อืค้มุครองและ
พทิ ักษ์สทิธขิองผบู้ รโิภค (มาตรา 46 ของรฐัธรรมนญู )
- สทิธไิด้รบับรกิารสาธารณสขุบุคคลยอ่มมสีทิธไิดร้บับรกิาร
สาธารณสขุของรฐัผยู้ ากไรย้อ่มมีสทิธไิดร้บับรกิาร สาธารณสขุของ
รฐัโดยไมเ่สยีค่าไชจ้า่ย ในสว่นสทิธไิดร้บัการปอ งกันและขจดั โรคติดต่อ
อันตรายจากรฐับุคคลยอ่มมสีทิธไิดร้บัโดยไมเ่สยีค่าใชจ้า่ย
(มาตรา 47 ของ รฐัธรรมนูญ)
- สทิธกิารคลอดและสทิธขิองผสู้ งูอายุและผยู้ ากไร้สทิธขิองมารดา
ในชว่งระหวา่งก่อนและหลัง การคลอดยอ่มไดร้บัความค้มุครองและ
ชว่ยเหลือ สว่นบุคคลซ งึมอีายุเกิน 60 และไมม่รีาย ไดเ้พยีงพอแก่การ
ยงัชพีและบุคคลผยู้ ากไร้ยอ่มมสีทิธไิดร้บัความชว่ยเหลือท
ี
เหมาะสม
จากรฐั (มาตรา 48 ของรฐัธรรมนูญ)
- สทิธใินการศึกษา นอกเหนอืจากการศึกษาของเด็กตามอนสุ ญัญา
วา่ดว้ยสทิธเิดก็ (1) รฐัต้องดาํเนนิการใหเ้ด็กทกุคนได้รบัการศึกษาเปน
เวลา 12 ป ตัง แต่ก่อนวยัเรยีน จนจบ การศึกษาภาคบงัคับอยา่งมี
คณุภาพและไมเ่สยีค่าใชจ้า่ย (2) รฐัต้องดาํเนนิการใหป้ระชาชนได้รบั
การศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทัง สง่เสรมิ ใหม้กีาร
เรยีนรตู้ลอดชวีติ ในการน
ี
รฐัตองจดัตัง กองทนุเพ อื ใชใ้นการ
ชว่ยเหลือผขู้ าดแคลนทนุทรพัย์เพ อืลดความเหล ือมล ําในการศึกษา
และเพ อืเสรมิสรา่งและพฒันาคณุภาพ และประสทิธภิาพครู
(มาตรา 54 ของรฐัธรรมนูญ)
⑨
1. คณะกรรมการสทิธมินุษยชนแหง่ชาติเปน หนว่ยงานท
ี ได้รบัการ
ยกยอ่งใหเ้ปน องค์การตาม รฐัธรรมนูญ จงึเป นหน่วยกลางท
ี
มี
บทบาทอํานาจหนา้ท
ี
เก
ี
ยวขอ้งกับสทิธมินษุยชนกวา้งขวางมากท
ี
สดุ
2. กระทรวงศึกษาธกิาร และกระทรวงวฒันธรรม เป นหนว่ยงานท
ี
จะ
ทําหนา้ท
ี
อบรมสงั สอน ศึกษาวจิยัและเผยแพรค่วามรเู้ก
ี
ยวกับสทิธิ
มนษุยชนเพ อื ใหส้าธารณชน โดยเฉพาะนกัเรยีนและนกัศึกษาได้รบัรู้
และชว่ยกันสง่เสรมิและค้มุครองสทิธมินุษยชน
3. กระทรวงมหาดไทย มอี ํานาจหน้าท
ี
เก
ี
ยวขอ้งกับสทิธขิองบุคคล
ตัง แต่เกิดจนตาย เชน่จดทะเบยีน คนเกิด จดทะเบยีนบา้น และยา้ย
บา้น ทําบตัรประจาํตัวประชาชน จดทะเบยีนคนตาย เป นต้น
4. สาํนกังานตํารวจแหง่ชาติมอี ํานาจหน้าท
ี ในการค้มุครองมใิหม้กีาร
ละเมดิสทิธมินษุยช์น และดําเนนิคดกี ับบุคคลท
ี
ละเมดิสทิธมินษุยชน
5. หนว่ยงานอ ืน ๆ ของรฐัท
ี ใชอ้ ํานาจในการสง่เสรมิและดแูลเร อืง
การละเมดิสทิธมินษุยชนเปน ครงั คราว เชน่กรมประชาสงเคราะห์
กรมปา ไม้กรมท
ี
ดนิเปน ต้น หน่วยงานของเอกชน หนว่ยงานของ
เอกชน มเีปน จาํนวนมาก ทัง หน่วยงานขนาดเล็ก และขนาดใหญ่
บางหนว่ยงานเกิดจากการรวมตัวกันของคนไทยดว้ยกันเอง เชน่
สภาสตรแีหง่ชาติมูลนธิเิดก็และสมาคม สง่เสรมิสทิธเิสรภีาพ เป นต้น
สว่นองค์การบางองค์การของเอกชนก็ไดร้บัการสนับสนนุจากต่าง
ประเทศใหเ้คล ือนไหว เพ อืสง่เสรมิและค้มุครองสทิธมินษุยชน เชน่
องค์การสงเคราะหผ์ลู้ ี
ภัย องค์การสง่เสรมิสทิธิมนุษยชนแหง่
ประเทศไทย
องค์กรท
ี
เก
ี
ยวขอ
้
งกับสทิธมินษุยชน
ตัวอยา
่
งการละเมดิสทิธมินษุยชน
เสรภีาพในการแสดงออก เป นเง ือนไขท
ี
จาํเป นในการท
ี
จะสง่เสรมิ
ความเปน มนุษยโ์ดยสมบูรณ์และถือเปน องค์ประกอบท
ี
ขาดไมไ่ดใ้น
สงัคมประชาธปิ ไตย เพราะเสรภีาพดงักล่าวจะเปน กลไกสาํคัญในการ
แลกเปล
ี
ยนซ งึความคิดเหน็อันนาํ ไปสกู่ ารพฒันาสงัคมการเมอืง และ
นาํมาซ งึการปกปอ งสทิธแิละเสรภีาพของประชาชนและสงัคมโดยรวม
อีกทัง ยงัเป นเคร อืงมอืท
ี
สาํคัญและจาํเปน อยา่งยงิ ต่อการเปล
ี
ยนผา่น
ไปสสู่ งัคมท
ี
ดีเสรภีาพในการพูด หรอืเสรภีาพในการแสดงออก ถือเป น
สทิธมินษุยชนตามกฎหมายและมาตรฐานสทิธมินุษยชนระหวา่ง
ประเทศทัง น
ี
เสรภีาพในการแสดงออกยงัครอบคลมุไปถึงการ
แสดงออกของเดก็ท
ี
ระบุไวใ้นอนุสญัญาวา่ดว้ยสทิธเิด็ก
(Convention on the Right of the Child) ขอ้ท
ี 13 ท
ี ให้
รบัรองเสรภีาพในการแสดงออกของเดก็ ประเทศไทยไดใ้หส้ตัยาบนั ใน
อนสุ ญัญาวา่ดว้ยสทิธเิด็กในวนัท
ี 27 มนีาคม พ.ศ. 2535 โดยใหค้วาม
มนั ใจวา่จะดําเนินการเพ อื ใหเ้ดก็ๆไดเ้ขา้ถึงสทิธทิ ี
พวกเขาพงึมี
แต่ในป จจุบนัการแสดงออกของเดก็ ไดถ้กูป ดกัน ประหน งึกับการเอา
กญุแจล็อคป ดปาก กญุแจท
ี
วา่นม
ี ี2 ประเภทดว้ยกัน คือ
ค่านยิม : กญุแจประเภทน
ี
มกัเป นประเภทท
ี
ผใู้หญใ่ชอ้ ้างในการท
ี
เด็ก
แสดงออกทางความคิดเหน็หรอืแสดงท่าทางท
ี ไมถ่กูใจผใู้หญ่ดว้ยค่า
นยิมท
ี
วา่ “เป นเด็กควรเคารพผใู้หญ่” หรอื “ผใู้หญ่อาบน าํรอ้นมาก่อน”
ซ งึผเู้ขยีนไมไ่ด้หมายความวา่ค่านยิมนผ
ี
ดิทวา่บรบิทการใชค้ ่านยิม
ผดิๆ ต่างหากท
ี
ทําใหใ้ครบางคนไดท้ ําการละเมดิสทิธแิละเสรภีาพของ
เดก็ โดยไมรู่ต้ ัว อันเป นการปลกูฝ งท
ี
ทําใหเ้ด็กไมม่คีวามกล้าแสดงออก
อํานาจนยิม : กระแสอํานาจนยิมมมีานานและกดทับสทิธใินเสรภีาพ
การแสดงออกของเดก็เป นป ญหาท
ี
ถกูทําใหเ้ป นความเคยชนิท
ี
เด็ก
ต้องเผชญิ ในป จจุบนัท่ามกลางการเปล
ี
ยนแปลงทางสงัคม ความคิด
และการต ืนตัวในการแสดงออกเพ อืการเรยีกรอ้งสทิธขิองเด็กและ
เยาวชนทําใหเ้ด็กเรมิ มพี นืท
ี ใหแ้สดงออกและสะท้อนอํานาจท
ี
กดทับใน
สถาบนัต่างๆ ทางสงัคมมากข นึสง่ผลใหเ้หน็ ป ญหาของอํานาจนิยมท
ี
เกิดข นึ ในสภาพแวดล้อมของเดก็ดังน
ี
อํานาจนิยมในสถาบนัครอบครวั: ซ งึมกัจะแสดงใหเ้หน็ ใน
อํานาจนิยมในสถานศึกษา : ระบบการศึกษาไทยในป จจุบนัทํา
อํานาจนิยมในสงัคม : ป จจุบนัอํานาจนยิมในสงัคมไทยท
ี
เหน็ ได้
รปูแบบของบุญคณุท
ี
ต้องทดแทน ในท
ี
นผ
ี
เู้ขยีนไมไ่ดห้มายความ
วา่การตอบแทนบุญคณุเปน สงิ ท
ี ไมด่ ีแต่ทวา่การใชค้ ่านยิมท
ี
ผดิๆ ต่าง
หาก ท
ี ไปจาํกัดสทิธิเสรภีาพและโอกาสท
ี
เด็กควรจะไดร้บัเชน่สทิธทิ ี
จะ
เลือกศึกษาวชิาชพีซ งึในบางกรณพีอ่แมม่กัจะใชอ้ ํานาจในการท
ี
จะ
บงัคับลกูใหศ้ ึกษาวชิาชพีตามท
ี
ตนคิดวา่ดแีละอยากใหล้กูประกอบวชิา
ชพีนนั ๆ โดยไมค่ ํานึงถึงความถนดัพฒันาการ และความสบายใจใน
การศึกษาของลกูซ งึเปน การนาํ ไปสภู่ าวะความเครยีดท
ี
เกิดข นึต่อเดก็
และอาจนาํ ไปสกู่ ารหลดุออกจากระบบการศึกษาได้
หนา้ท
ี
อยา่งนอ้ยสองอยา่ง คือ ใหค้วามรูแ้ละการขดัเกลาทางสงัคม
(socialization) ซ งึอํานาจนยิมในสถานศึกษามกัจะเจอในรปูแบบ
ของการการขดัเกลาทางสงัคมเพราะระบบการศึกษาไทยใหน้ าํหนกัต่อ
การขดัเกลาทางสงัคมมากกวา่ความรู้ซ งึการขดัเกลาทางสงัคมรปู
แบบท
ี
สาํคัญอยา่งหน ึงคือการปลกูฝ งใหเ้ช อืฟง ผมู้ อี ํานาจโดย
ปราศจากการตัง คําถาม ทําใหเ้ดก็ ไมส่ามารถใชส้ทิธใินเสรภีาพการ
แสดงความคิดเหน็ ไดอ้ยา่งอยา่งเต็มท
ี
ชดัเจน คือ อํานาจนิยมทางชนชนั ไมว่า่จะเปน นายจา้งหรอืตัวรฐัเอง
ทัง น
ี
อํานาจนยิมท
ี
เปน ป ญหาในการจาํกัดสทิธใินเสรภีาพการ
แสดงออกทางสงัคมของเดก็ โดยเฉพาะการแสดงออกทางการเมอืง
มกัจะเกิดจากรฐั โดยท
ี
รฐัใชก้ฎหมายเพ อืปด กัน การแสดงออกทางการ
เมอืง จากการเก็บขอ้มูลของผเู้ขยีนท
ี ไดจ้ากการสงัเกตการณก์าร
ชุมนมุผา่นการเป นอาสาสมคัรของเวบ็ ไซต์มอ็บดาต้าไทยแลนด์(Mob
Data Thailand) ท
ี
พฒันาข นึ โดย แอมเนสต
ี
อินเตอรเ์นชนั แนล
ประเทศไทย และโครงการอินเทอรเ์น็ตเพ อืกฎหมายประชาชน (ไอลอว)์
ต่อการจดัการชุมนมุหรอืเขา้รว่มการชุมนมุของนกัเรยีนนักศึกษาใน
ชว่งปลายป พ.ศ.2563 ถึงต้นป พ.ศ.2564