การเพิ่มคุณสมบัติเด่นให้กับสินค้าของคุณ จะทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในสินค้าของคุณมากยิ่งขึ้น เช่น หากคุณทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า คุณอาจจะใช้ส่วนผสมซึ่งเป็นสารสกัดอันทรงคุณค่าจากธรรมชาติมาเป็นคุณสมบัติเด่นให้แก่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของคุณ หรือหากคุณทำสินค้าเกี่ยวกับของใช้สำหรับเด็ก ก็อาจจะเพิ่มคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กลงไปด้วย สิ่งนี้เองจะทำให้บริโภคเกิดความมั่นใจ และพร้อมที่จะซื้อสินค้าของคุณได้โดยง่าย
- สร้างความคุ้มค่าให้กับสินค้า
การจัดโปรโมชั่น หรือสร้างความคุ้มค่าให้กับสินค้าของคุณ ถือเป็นการกระตุ้นยอดขายและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคุณได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ และหันมาซื้อสินค้าของคุณได้โดยง่าย เช่น หากคุณขายอาหารเสริมบำรุงสุขภาพในราคากระปุก 1,990 บาท คุณอาจจะจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายเป็น ซื้อสินค้าชิ้นที่ 2 ในราคาลด 50 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้ หรือหากคุณขายเฟอร์นิเจอร์ คุณอาจจะจัดโปรโมชั่น ซื้อสินค้าภายในร้านครบ 10,000 บาท บริการจัดส่งฟรีพร้อมจับฉลากลุ้นรับรางวัลใหญ่ ฯลฯ
- ใช้หลักความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตสินค้า
การใช้หลักความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตสินค้า หรือหลักดีมานด์-ซัพพลาย (Demand-Supply) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยควรผลิตสินค้าให้แตกต่างจากเจ้าอื่นๆในท้องตลาด เพื่อที่จะทำให้สินค้าได้ราคาดี และดูโดดเด่นในสินค้ากลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของคุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
- เปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรือ หีบห่อบรรจุภัณฑ์
การเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรือ หีบห่อบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย สามารถสื่อถึงแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของคุณได้เป็นอย่างดี จะเป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของคุณได้ อย่างบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงต่างๆ ทั้งถุงแก้ว, ถุงแก้วใส OPP, ถุงร้อน PP, ถุงเย็น LDPE & LLDPE, ถุงพลาสติกชนิดมีหูหิ้ว, ลามิเนต Laminated Plastic bags ฯลฯ
และนี่ก็คือ 4 วิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งคุณเองก็ทำได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคุณเองนะคะ และสำหรับผู้ที่สนใจในถุงพลาสติกทุกประเภท สามารถขอคำแนะนำและหาซื้อได้ที่ บริษัทประกายกานต์ แพคเกจจิ้ง อินดัสเทรียล จำกัด (Prakaikan Packaging Industrial co.,ltd.) เพราะที่นี่เราคือ โรงงานถุงพลาสติกอันดับหนึ่งที่ครบครันและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยค่ะ
สินค้าและบริการ เมื่อขายมาได้ระยะหนึ่งก็จะเริ่มมียอดขายลดลง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ สินค้าและบริการในวันนี้แจ้งเกิดได้ยาก แต่เมื่อติดตลาดไปแล้วกลับตายเร็ว หรือขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้ไม่นานก็เริ่มทรงจนทรุด เรียกกันได้ว่าช่วงกอบโกย ในวันนี้นอกจากจะไม่ค่อยมีโอกาสแล้วยังมีแค่ช่วงสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม สินค้า – บริการไม่ใช่ทุกประเภทที่จะสามารถนำเทคนิคต่างๆ ไปใช้ได้ทันที แต่อย่างน้อยทุกประเภทก็สามารถนำเทคนิคต่างๆ ไป “ปรับใช้” หรือ “จุดประกาย” ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีเพิ่มมูลค่าสินค้าสำหรับธุรกิจของท่าน มาลองตั้งคำถามให้กับสินค้า – บริการของท่าน ไม่แน่สินค้า - บริการของท่านอาจอยู่ได้ยาวนาน มีคุณค่าและขายได้ราคาที่มากขึ้นก็ได้
- สิ่งที่เราขายทุกวันนี้ ไม่ว่าจะขายโดยใช้พนักงาน หรือสื่อสารในทุกสื่อให้ลูกค้ารับรู้ คำถามก็คือ “เราขายและ สื่อสาร ด้วยจุดขายเดิมๆ มานานเกินไปหรือไม่” เพราะถ้าเราขายด้วยจุดขายเดิมๆ ในแง่ทฤษฎีอาจจะขัดในแง่ของ Positioning ของตัวสินค้า แต่สิ่งที่ชัดกว่าก็คือความซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่าย
- "ระหว่าง เปลี่ยนจุดขาย กับ เพิ่มจุดขาย แบบใดที่เหมาะกับสินค้าหรือบริการของเรา" ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากลัวลูกค้าสับสนก็อาจจะไม่กล้าเปลี่ยน จุดขาย แต่สามารถ “เพิ่ม” จุดขาย เพื่อให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้ออีกครั้ง และสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ จาก จุดขาย ใหม่ๆได้ด้วย
- "นอกจากการ เปลี่ยนหรือเพิ่มจุดขาย แล้ว เราสามารถทำอะไรได้อีก" เช่น สินค้า – บริการของเราทำไมไม่ทำเป็นรุ่นพิเศษ หรือมีจำนวนจำกัด (Limited and Special) โดยทำออกมาปีละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มมูลค่าและขายได้ราคา ซึ่งสร้างสีสันให้กับลูกค้าประจำที่อาจจะจำเจกับรูปแบบเดิมๆ
- สร้างสีสัน และจุดดึงดูดสินค้าหรือบริการตัวใหม่ๆ เพื่อ ดึงดูดลูกค้า ให้มาสนใจสินค้า - บริการของเรา โดยการ “ใส่เรื่องราว” ที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่มาที่ไปของแหล่งวัตถุดิบ หรือดีไซน์ใหม่ที่มีแรงบันดาลใจมีที่มาที่ไป หรือการให้บริการรูปแบบใหม่ที่เกิดจากาการมองเห็นคุณค่า และความต้องการที่ลูกค้าเองก็ยังคาดไม่ถึง ก็จะช่วยเพิ่มทั้ง “มูลค่าและจุดดึงดูด”
- ถ้าคิดและวิเคราะห์ดูแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็อาจจะไม่คุ้มกับสินค้าหรือบริการเดิมที่มีอยู่ แล้วทำไมเราไม่สร้างสินค้าหรือบริการตัวใหม่ๆ มาทดแทน การใช้วิธีนี้อาจจะคุ้มค่า ถ้าทำอย่างไรก็ไม่สามารถสู้ต้นทุนที่ต่ำกว่ามากของคู่แข่ง หรือเป็นสินค้าหรือบริการที่รับศึกรอบด้านและลูกค้าหมดความสนใจไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากตัวอย่าง 5 คำถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เราทำ ไม่ว่าท่านจะตั้งคำถามเพียงข้อเดียวแล้วอาจจะได้คำตอบเลย หรือถามหลายข้อ ไปจนครบ 5 ข้อแล้วท่านเกิด “มุมมองใหม่ๆ” สิ่งที่ตามมาก็คือ กลยุทธ์และวิธีการใหม่ๆ เพราะเป็นกฎของธรรมชาติที่ทุกท่านน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วก็คือ “สิ่งที่เราขาย ถ้าขายด้วยสิ่งเดิมๆ และขายด้วยวิธีการเดิมๆ ไม่มีทางที่ผลจะออกมาดีกว่าเดิม”
ดังนั้น ก่อนจะไปแนวทางอื่น มาลองใช้คำถาม 5 คำถามในวันนี้อย่างจริงจัง บางทีอาจจะทำให้สินค้าหรือบริการของคุณพลิกโฉมไปจากเดิมก็ได้
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
คว้างานที่ใช่ ด้วยการค้นหางานที่ง่ายและรวดเร็ว พร้อมทั้งจัดการเรซูเม่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณอัปโหลด ดู และลบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานแสนง่าย ด้วยระบบ AI ใหม่ ช่วยค้นหางานที่ตรงใจมากขึ้นถึง 6 เท่า
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สร้างความแตกต่างให้กับสินค้า
ทำไมต้องพยากรณ์ยอดขาย (Sales Forecast)
เทรนด์งานยอดฮิตและเงินเดือน
เรียกดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยม
ทราบหรือไม่ว่ามีผู้สมัครจำนวนเท่าไหร่ที่เตรียมเรซูเม่ที่หาข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของตนโดยการสำรวจด้วยคำค้นหาที่ได้รับความนิยม
การเพิ่มมูลค่าของสินค้ามีอะไรบ้าง
4 วิธีเพิ่มมูลค่าสินค้า ให้ขายดีไม่กำไรแบบสุดปัง.
1. ค้นหา Position. ... .
2. ทำวิจัยค้นคว้ากับลูกค้า ... .
3. สร้างสีสันให้กับสินค้าของเรา ... .
4. นำมาวิเคราะห์และวางแผนต่อไป.
การเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทําได้กี่แบบ อะไรบ้าง
การสร้างมูลค่า (value creation) การสร้างมูลค่า การสร้างมูลค่าในที่นี้จะเน้นไปที่แนวทางในการพัฒนา 2 แนวทางคือ 1) การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ 2) การขยายตลาดหรือการหากลุ่มเป้าหมายใหม่
สินค้ามูลค่าเพิ่มคืออะไร
มูลค่าเพิ่ม คือ การทำให้ราคาถูกเพิ่มสูงขึ้นจากปกติ โดยที่เป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ ที่นักการตลาดพยายามใส่เข้าไป แล้วโดนใจลูกค้า มูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ ที่เรามักพบเห็น มาจากการทำให้บรรจุภัณฑ์ (Package) ดูดีมีชาติตระกูล จนทำให้สินค้าข้างในที่ราคาธรรมดา กลายเป็นของเลอค่าราคาแพง
วิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมีอะไรบ้างยกตัวอย่างมา 3 ข้อ
การเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรสามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีความเหมาะสมกับชนิดของสินค้าที่แตกต่างกันไป เช่น.
การอบหรือการตากแห้ง เช่น มะม่วงอบแห้ง ปลาแห้ง.
การเผา คั่ว หรือการทอดอาหารพร้อมบริโภค เช่น แคปหมู.
การแช่แข็ง เช่น ข้าวสวยกึ่งสำเร็จรูป เพื่อให้สะดวกต่อการรับประทานและสามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน.