ส ประจำโรงเร ยน ส ม-ดำ ราชว น ตบางแก ว แปล

รายงาน ผลการดำเนินงานลงพื้นที่สำรวจมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม Cultural Tourism Communities (CTC) One Day Trip เขตจตุจักร (บ้าน วัด โรงเรียน) ผู้จัดทำ 1. นางสาวจรัสพร รักษาแก้ว ประธาน 2. นางสาวปุญญ์ศิขริน นาคทอง รองประธาน 3. นางสุรีย์ จันทร์เดช สมาชิก 4. นางสุธาสินี องอาจ สมาชิก 5. นางสำรวย แสงประทุม สมาชิก 6. นายวิรุฬห์ เดชคง สมาชิก 7. นางสาวภิญญาพัชญ์ ล้ำภักดี เลขานุการ ที่ปรึกษาโครงการ อาจารย์ดวงตา ฤกษ์ม่วง ประธานสภาวัฒนธรรมเขตจตุจักร โครงการจ้างงานประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 2 ของกระทรวงอุดมศึกษาฯ ณ มหาวิทยาลัยจันทรเกษม ระยะเวลาดำเนินงาน 1 – 30 กันยายน พ.ศ. 256

มูลเหตุที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ตรัสว่าขอมแปรพักตร์นี้มีกล่าวไว้ในที่อื่นอีกว่า เมื่อพระองค์สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้ทรงทำไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินเขมร ทรงพระนามพระบรมนิพัทธบท ฝ่ายทางกรุงสุโขทัย พระเจ้าเลอไทยได้ทรงเกลี้ยกล่อมพระเจ้าแผ่นดินเขมร ให้ยกกองทัพมาช่วยตีกรุงศรีอยุธยา พระบรมลำพงพระเจ้าแผ่นดินเขมรองค์ใหม่ ทรงรับเป็นไมตรีกับกรุงสุโขทัย พระเจ้าอู่ทองทรงตระหนักว่า พระเจ้าแผ่นดินขอมแปรพักตร์ จึงโปรดให้แต่งกองทัพออกไปตีขอม ๓/๑๘๙๖

ครั้นบอกอย่างนแ้ี ลว้ กข็ อลาเจา้ อาวาสไปพกั แน่แท้ จึงไดล้ ่วงรคู้ วามคดิ ของเรา เวลานค้ี งหนีไป ผ่อน พอถึงเวลาเย็น อบุ าสกคนนน้ั ก็เขา้ มาท่วี ดั อยู่ทอ่ี น่ื แล้ว โอ้ เพราะความริษยาแทๆ้ เราจงึ ได้ทา� นมสั การเจา้ อาวาสแลว้ ถามวา่ “ทา่ นผเู้ จรญิ มพี ระ ผิดพลาดในคร้งั น้ี” อาคนั ตุกะมาพักดว้ ยรปู หน่ึง มใิ ช่หรอื ” ตง้ั แตบ่ ัดนั้นเปน็ ต้นมา ท่านก็ทุกขท์ รมาน “เจรญิ พร มมี าพกั ดว้ ยรูปหนึง่ ” เศรา้ โศกเสยี ใจกบั การกระทา� อนั โงเ่ ขลาของตน ดา� รง “เดี๋ยวน้ี พระอาคนั ตกุ ะนน้ั พักอย่ทู ไ่ี หน ชีวติ อยูม่ าไมน่ านนัก กม็ รณภาพไปเกิดในนรก ขอรับ” “ทีก่ ฏุ ทิ างทศิ โน้น” อดีตเจ้าอาวาสน้ันหมกไหม้อยู่ในนรกหลาย อุบาสกนั้นเขา้ ไปหาพระอาคันตกุ ะ สนทนา แสนปี เศษของผลกรรมยงั พาไปเกดิ เปน็ ยกั ษ์ ๕๐๐ ธรรมจนคา�่ กอ่ นลากลบั ได้นมิ นตท์ ั้ง ๒ รปู เพื่อฉนั ชาติ ระหว่างเปน็ ยักษไ์ มเ่ คยได้กินอาหารเตม็ ท้อง เช้าทีบ่ า้ นของตน สกั วนั เดยี ว ทกุ ขท์ รมานอยเู่ ชน่ นนั้ จนถงึ วนั จะตาย เมือ่ อบุ าสกลากลับบ้านแล้ว เจ้าอาวาสก็คดิ จงึ ไดก้ นิ รกคนเตม็ ทอ้ งครงั้ หนงึ่ ถดั จากเกดิ เปน็ ยกั ษ์ วา่ “พระอาคันตกุ ะรูปน้ี ท�าให้อุปัฏฐากหา่ งเหนิ จาก กไ็ ปเกิดเปน็ สุนขั ๕๐๐ ชาติ แมใ้ นเวลาทเ่ี ป็นสุนัข เรา ถา้ ปลอ่ ยใหพ้ ักที่วดั น้ตี ่อไป สงสัยอปุ ฏั ฐากต้อง นน้ั กไ็ ด้กินเตม็ ทอ้ งวนั เดียวเทา่ นัน้ ส่วนวนั ท่เี หลอื ลมื เราเปน็ แน่ เราจกั ขบั ไลเ่ ธอใหอ้ อกจากวดั โดยเรว็ ” ไมเ่ คยไดก้ นิ เตม็ ทอ้ งเลย ครน้ั จตุ จิ ากกา� เนดิ สนุ ขั ก็ วันหน่ึง เมือ่ พระอาคันตุกะนัน้ เขา้ มาปรนนิบตั ทิ ี่กฏุ ิ ไปเกิดเป็นคนในตระกูลคนเข็ญใจ ในแคว้นกาสี ก็ท�าเปน็ เมินเฉย ไม่พูดไมจ่ าดว้ ย ตง้ั แต่วันทเ่ี ดก็ น้ันเกดิ ตระกูลน้นั ก็จนลงๆ แม้แต่ พระอาคนั ตุกะเห็นดงั นั้น ก็เข้าใจเหตุผลของ นา้� และปลายขา้ วครง่ึ ท้องก็ไมเ่ คยไดร้ บั เขามนี าม การกระทา� หลงั จากปดั กวาดเชด็ ถกู ฏุ ขิ องเจา้ อาวาส ว่า“มิตตพินทุกะ” พ่อแม่ของเขาเม่ือไม่สามารถจะ เสร็จแล้ว ก็กลับกฏุ ิของตน นง่ั กรรมฐานกา� หนดจติ ทนความอดอยากได้ จงึ ไล่เขาออกจากบา้ น มิตต- ให้สงบสุขในฌานและสมาบัติ พินทุกะไม่มีที่พ�านัก จึงท่องเท่ียวไปจนถึงเมือง เชา้ วนั นนั้ หลงั จากทเ่ี จา้ อาวาสออกไปฉนั เชา้ พาราณสี ท่ีบ้านโยมอุปัฏฐากแล้ว พระอาคันตุกะผู้ขีณาสพ รูปน้นั กเ็ ดินทางออกจากวดั แหง่ นั้น มุ่งหนา้ สู่ที่อัน คร้ังนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศา เปน็ สปั ปายะแก่ตนตอ่ ไป ปาโมกข์ บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน เด็กชาย ฝ่ายเจ้าอาวาส หลังจากฉันเสร็จแล้ว โยม มิตตพินทุกะน้ัน ก็ได้มีโอกาสศึกษาศิลปะในส�านัก อุปัฏฐากก็ได้ฝากอาหารให้ไปถวายพระอาคันตุกะ ของพระโพธิสัตว์ดว้ ยทนุ ของชาวเมือง แตเ่ ขาเป็น แตก่ ไ็ ดท้ งิ้ ในระหวา่ งทางเสยี หมด เพราะความรษิ ยา เดก็ หยาบคาย หวั ดอื้ ชอบทา� ตวั เกะกะระรานคนอน่ื ในพระอาคันตุกะน้นั เมื่อกลบั มาถึงวัด ไมเ่ ห็นพระ แม้พระโพธสิ ัตวจ์ ะสั่งสอนก็ไม่เชอื่ ฟงั ในทีส่ ุดกอ็ ยู่ อาคนั ตกุ ะ กค็ ิดวา่ กบั คนอ่ืนไมไ่ ด้ เลยหนีออกจากสา� นัก ซดั เซพเนจร “สงสยั อาคนั ตกุ ะภกิ ษนุ นั้ จกั เปน็ พระอรหนั ต์ ไปถงึ หมบู่ า้ นชายแดนแหง่ หนง่ึ รบั จา้ งเขาเลย้ี งชพี ไป วนั ๆ ตอ่ มา เขาไดภ้ รรยาเปน็ หญงิ เขญ็ ใจในหมบู่ า้ น นน้ั มีลูกดว้ ยกนั ๒ คน ชาวบา้ นสงสาร จึงไดจ้ ้าง

551

ให้ท�างานส่งข่าวประจ�าหมู่บ้าน มีหน้าที่แจ้งข่าวดี เมอ่ื ครบกา� หนดทพ่ี วกนางจะไปเสวยทกุ ข์ ๗ และข่าวร้ายแก่ชาวบ้าน โดยให้ค่าจ้างและปลูก วนั มิตตพินทกุ ะก็นอนลงบนแพไม้ไผ่ ลอยต่อไป กระทอ่ มใหอ้ ยู่ที่ประตหู ม่บู า้ น ข้างหนา้ ได้เทพธิดาอีก ๘ นางในวมิ านเงนิ ลอยตอ่ ไป ได้เทพธดิ าอีก ๑๖ นางในวมิ านแกว้ มณี ลอย มิตตพินทุกะน้ันท�างานบกพร่องผิดพลาด ตอ่ ไป ไดเ้ ทพธิดาอีก ๓๒ นางในวิมานทอง จนเปน็ เหตใุ หช้ าวบา้ นถูกราชทณั ฑ์ ๗ ครัง้ ไฟไหม้ บา้ น ๗ ครัง้ และบอ่ น�้าพัง ๗ ครั้ง จงึ ถูกขับออก เม่ือถงึ ก�าหนดทพี่ วกนางเหลา่ น้ันจะไปเสวย ไปจากหมู่บ้าน เขาไดพ้ าลูกและเมียไปอยู่ท่อี นื่ ทุกข์ ๗ วนั เขากห็ นจี ากพวกนางทุกคร้งั ไป ครัง้ สุดท้าย ลอยต่อไปข้างหน้า ก็ได้พบเมืองยักษ์แห่ง วนั หน่ึง ได้ผา่ นเข้าไปในดงอมนุษย์ พวก หน่ึงอยู่ในระหว่างเกาะ มียักษิณีตนหนึ่งแปลงกาย อมนุษย์จงึ จับลูกและเมยี กินในดงน้นั มิตตะพนิ ทุกะ เปน็ แม่แพะเดนิ อยทู่ ่ีเกาะนัน้ มิตตพนิ ทกุ ะไม่ทราบ หนรี อดไปได้คนเดยี ว ซัดเซพเนจรไปเรือ่ ยๆ จนถึง ว่าแม่แพะเป็นยักษิณี ต้ังใจจะจับแพะน้ันกินเป็น ท่าเรือแห่งหน่งึ อาหาร จึงโดดจบั ทีเ่ ท้าแพะ ถกู นางยักษิณถี บี ไป ตกท่ีพุ่มไม้มีหนามแห่งหน่ึง ซ่ึงเกิดเองข้างคูเมือง วนั นนั้ เปน็ วนั ท่เี ขาจะออกเรอื พอดี จึงสมัคร พาราณสี แล้วก็กลง้ิ ตกลงไปท่แี ผน่ ดิน เปน็ กรรมกรลงเรอื เรือแล่นไปถงึ กลางสมทุ รได้ ๗ วัน ก็เกิดหยุดนิ่งเหมอื นมอี ะไรมาฉดุ ไว้ ชาวเรอื จงึ ครง้ั นั้น มแี มแ่ พะของพระราชาหลายตวั เดนิ จบั สลากกาลกณิ ี ปรากฏวา่ สลากตกถงึ มติ ตพนิ ทกุ ะ หากินอยู่บริเวณน้ัน แม่แพะเหล่าน้ันมักจะถูก คนเดยี วถึง ๗ คร้งั โจรกรรมอยู่บ่อยๆ พวกคนเลี้ยงจึงซุ่มอยู่ในท่ีก�าบัง เพอ่ื จะจบั โจรใหไ้ ด้ พอเหน็ มติ ตพนิ ทกุ ะกลง้ิ ตกลงมา พวกชาวเรอื จงึ โยนลูกบวบไม้ไผ่ใหเ้ ขาแพหน่งึ ยืนอยทู่ ี่พนื้ ดนิ บริเวณน้ัน กพ็ ากนั กรเู ขา้ มาจบั ตัวไป จากนน้ั แลว้ ชว่ ยกนั จบั มติ ตพนิ ทกุ ะโยนลงทะเล เมอื่ สง่ พระราชา โยนมิตตพินทุกะลงทะเลแล้ว ก็พากันแล่นเรือออก ไป ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์ก�าลังออกจากเมือง ไปอาบนา้� เหน็ มติ ตพนิ ทกุ ะกจ็ า� ได้ จงึ ขอใหค้ นเหลา่ มิตตพินทุกะนอนบนแพไม้ไผ่ลอยไปในทะเล น้นั ปลอ่ ยตวั โดยบอกว่าจะรบั มาเป็นทาส คนเหลา่ ด้วยผลท่ีเคยรักษาศีลสมัยบวชเป็นเจ้าอาวาสดัง น้ันเห็นด้วยจงึ ปลอ่ ยเขาไป กล่าว จึงพาเขาให้ไดพ้ บเทพธดิ า ๔ นาง ที่อยใู่ น วมิ านแกว้ ผลกึ ในทะเลนนั้ เขาไดเ้ สวยสขุ สา� ราญกบั พระโพธิสัตว์ ได้สอบถามมิตตพินทุกะถึง เทพธิดาเหล่านัน้ ๗ วัน เหตุการณ์ตา่ งๆ ท่ผี า่ น เม่ือทราบเร่อื งจึงกล่าววา่

ความจริงนางเทพธิดาเหล่าน้ันเป็นเปรต “บคุ คลผใู้ ดำ เมอื่ ทา่ นผหู้ วงั ดำี เอน็ ดำจู ะเกอื้ กลู ประเภทหนึ่ง มวี มิ านเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัย เสวยสขุ ๗ วัน ส่ังสอน มไิ ดำ้กระทา� ตามทีท่ า่ นสอน บุคคลนั้นยอ่ ม เสวยทุกข์ ๗ วัน หมนุ เวียนไปอย่างนี้จนกวา่ จะสิ้น เศรา้ โศก เหมอื นมติ ตพนิ ทกุ ะจบั ขาแพะ แลว้ เศรา้ กรรม โศกอยู่ ฉะนั้น”

552

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระโลสกติสส เถระน้ันไดำ้กระท�าความเป็นคนมีลาภน้อย และความเป็นผู้ไดำ้อริย ธรรมใหแ้ กต่ นดำ้วยตนเอง อยา่ งน้แี ล”

จากนั้นทรงประชุมชาดกว่า มิตตพินทุกะในกาลนั้น ได้มาเป็น พระโลสกตสิ สเถระ ในกาลน้ี สว่ นอาจารยท์ ศิ าปาโมกขใ์ นกาลนนั้ กค็ อื เราตถาคต ฉะนแ้ี ล

ชาดกเร่อื งน้ีใหข้ อ้ คดิ ว่า การที่พระโลสกติสสเถระกลายเปน็ ผูม้ ีบญุ น้อย มลี าภนอ้ ย มี โอกาสไดำ้กนิ อิม่ ทอ้ งเพียง ๓ คร้งั ใน ๓ ชาติ คือ ครง้ั เกดิ ำเปน็ ยักษ์ ไดำก้ นิ รกอม่ิ ทอ้ งวนั หนง่ึ ครง้ั เกดิ ำเปน็ สนุ ขั ไดำก้ นิ อาเจยี นอม่ิ ทอ้ งวนั หนงึ่ และครง้ั สดุ ำทา้ ย ในวนั ปรนิ พิ พานไดำฉ้ นั ของหวาน ๔ อยา่ งอม่ิ วนั หนงึ่ นัน้ เปน็ เพราะความริษยาในพระอรหนั ต์รูปหน่งึ และกดี ำกันมใิ ห้พระ อรหนั ตร์ ปู นนั้ ไดำอ้ าหารบณิ ฑบาต ซา�้ เทอาหารบณิ ฑบาตทที่ ายกฝาก ถวายอรหันต์รูปน้ันทิ้งเสีย ท่านจึงล�าบากขัดำข้องเก่ียวกับปัจจัยลาภ ย่ิงนัก แต่เพราะท่านไดำ้บวชปฏิบัติไตรสิกขาเพื่อวิมุตติไม่บกพร่อง ทา่ นจงึ สา� เรจ็ เปน็ พระอรหนั ตไ์ ดำ้ ผลของบาปกม็ าจากบาปทกี่ ระทา� ผล ของบญุ กม็ าจากบญุ ทกี่ ระทา� เชน่ กนั แมว้ า่ กาลเวลาจะลว่ งเลยไปนาน เพียงใดำ ผลของบาปและผลของบุญนั้นก็ยังติดำตามผู้กระท�าอยู่ เพราะฉะนน้ั ทุกคนจงึ ไมค่ วรประมาทในการละบาป ท�าบญุ และท�า จติ ของตนใหผ้ อ่ งใส เพราะ ๓ อย่างนี้ หากตัง้ ใจปฏิบัติ ยอ่ มทา� ให้ ประสบความสุขความเจริญทีแ่ ทจ้ รงิ ไดำ้

(โลสกชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หนา้ ๑)

553

554

ไกข่ นั ไม่เปน็ เวลา

“ปฏบิ ตั ดิ เี ปน็ ศรแี กต่ วั ปฏบิ ัตชิ ั่วพาตวั พบภยั ”

ครงั้ หน่งึ พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวหิ าร เมือง สาวัตถี ทรงปรารภภกิ ษรุ ูปหนึง่ ซ่งึ ท่องมนต์ไมเ่ ปน็ เวลาว่า

“ภิกษทุ งั้ หลาย มิใชแ่ ต่ในบดั นีเ้ ทา่ น้ัน ท่ภี ิกษุนนั้ สง่ เสียงไม่เป็นเวลา แมใ้ นกาลทลี่ ว่ งมาแลว้ เธอกส็ ง่ เสยี งไมเ่ ปน็ เวลาเหมอื นกนั และเพราะความ ทสี่ ง่ เสยี งไมเ่ ป็นเวลาน้เี อง จึงถูกเขาจบั หกั คอเสยี ชวี ติ มาแลว้ ” จากนนั้ จึง ตรัสเรอ่ื งในอดตี วา่

ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธสิ ตั วบ์ งั เกดิ ในสกลุ อทุ จิ จพราหมณ์ เมอ่ื เจรญิ วยั แลว้ ได้ ศึกษาศิลปวิทยาจนส�าเร็จทุกอย่าง ต่อมาได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ใน พระนครพาราณสนี น้ั มีมาณพ ๕๐๐ คนเปน็ บรวิ าร

คร้ังน้ัน มีลูกไก่ตัวหนึ่งพลัดหลงเข้ามาในส�านักของพระโพธิสัตว์ มาณพทง้ั หลายจงึ เลีย้ งลกู ไก่นน้ั ไว้ด้วยความสงสาร ลกู ไกไ่ ด้รบั การเล้ียงดู เป็นอย่างดีจากพวกมาณพ จนโตขึ้น ทุกๆ เช้าไก่จะขันเพื่อปลุกมาณพ ทัง้ หลายให้ตนื่ มาศึกษาศลิ ปวิทยาเปน็ ประจ�า

หลังจากท�าหน้าทีข่ นั เพอื่ ปลุกมาณพทง้ั หลายอยหู่ ลายปี ไก่ตัวนัน้ กไ็ ดต้ ายจากไป ทา� ใหม้ าณพทงั้ หลายตน่ื สาย สง่ ผลใหก้ ารศกึ ษาศลิ ปวทิ ยา ตกต่า� ลงเรอื่ ยๆ

มาณพทั้งหลายปรึกษากันท่ีจะหาไก่ตัวอื่นมาเล้ียงแทน จากน้ันจึง เทยี่ วหาไก่ตวั ใหมม่ าแทนตวั เกา่ ท่ีตายจากไป จนกระทั่งวนั หน่ึง ขณะท่ี กา� ลงั หาฟืนอยใู่ นปา่ ชา้ กพ็ บไกต่ ัวหนง่ึ จงึ ชว่ ยกันจับใสก่ รง แลว้ นา� กลับมา เล้ยี งที่ส�านัก

แตไ่ กต่ วั นั้น เป็นไกป่ า่ จึงไมร่ วู้ ่าควรจะขนั ในเวลาใด บางคราวกข็ ัน เวลาดึกสงดั และบางคราวก็ขันเวลาเชา้

555

มาณพท้ังหลายคิดว่าไก่ยังไม่ชินกับที่อยู่ ชาดกเรอื่ งนี้ให้ข้อคดิ วา่ ใหม่ จงึ ขันผิดเวลา จึงพยายามอดทนอยู่หลาย เวลาเปน็ เรอ่ื งสา� คญั การทา� อะไรใหถ้ กู กบั เวลา วนั แตไ่ กต่ วั นั้นกย็ ังขนั ผดิ เวลาอยนู่ น่ั เอง และ ชว่ ยใหผ้ ู้ท�าประสบกับความสขุ ความเจริญไดำ้ แตถ่ า้ ไมม่ ที ที า่ วา่ จะขนั ถกู เวลาแตอ่ ยา่ งใด จนมาณพ ท�าไม่ถูกหรือไม่สอดำคล้องกับเวลาแล้ว ก็จะน�าพาผู้ ท้ังหลายเร่ิมทนไมไ่ หว ทีไ่ กท่ า� ให้พวกตนตนื่ ผดิ กระท�าใหป้ ระสบกบั ความเดำือดำร้อน เพราะฉะน้นั เวลา ไม่ได้ไปศกึ ษาศิลปวิทยากบั อาจารย์ ในสัปปรุ สิ ธรรม คือ ธรรมของคนดำที ั้งหลาย ท่านจึง แสดำงกาลญั ญตุ าคอื ความเปน็ ผรู้ จู้ กั กาล ไดำแ้ ก่ รเู้ วลา พวกเขาจงึ คดิ วา่ หากเล้ียงไก่ตัวนไี้ ว้ คง อันเหมาะสม และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการ ทา� ให้เสยี การเรียนเป็นแน่ เมอ่ื เห็นวา่ ไก่ตวั นน้ั ประกอบกจิ กระท�าหนา้ ทก่ี ารงาน เช่น ให้ตรงเวลา ไม่สามารถขันถูกเวลาได้ มิหนา� ซ�้ายังทา� ใหเ้ สีย ใหเ้ ป็นเวลา ใหท้ นั เวลา ใหพ้ อเวลา และให้เหมาะ การเรยี นอีก พวกเขาจึงฆ่าไกต่ ัวน้ัน แลว้ น�าไป เวลา เป็นต้น ท้ังน้ีก็เพ่ือให้ผู้ศึกษาน�าไปประพฤติ ยา่ งกนิ เปน็ อาหาร หลงั จากฆา่ ไกก่ นิ แลว้ วนั ตอ่ ปฏบิ ตั ิ ใหป้ ระสบความสขุ ความเจริญนั่นเอง มาก็สามารถศกึ ษาเลา่ เรียนไดต้ ามปกติ ความเปน็ ผรู้ จู้ กั กาลหรอื รจู้ กั เวลาน้ี หาใชส่ า� คญั และจ�าเป็นแก่คนทวั่ ๆ ไปเทา่ น้นั ไม่ แมแ้ ต่บุคคลผู้ วันหนึ่ง พวกเขาไดเ้ ลา่ เรื่องท่ีเกิดขน้ึ ประเสริฐเหนือคนอื่น เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ทิศาปาโมกขฟ์ ังแลว้ จึง และพระเจ้าจักรพรรดำิ ความเป็นผู้รู้จักกาลก็ส�าคัญ กลา่ วว่า “ดูก่อนมาณพทั้งหลาย ที่ไก่ต้องมา ดำ้วยเช่นกัน เพราะช่วยให้ท่านท�ากิจท่ีท�าไดำ้ยาก ตายในครั้งน้ี เป็นเพราะมันเจริญเติบโตโดยไม่ สา� เรจ็ เพราะปฏิบัตไิ ดำต้ รงเวลา เปน็ เวลา ทันเวลา ได้รบั การส่ังสอน ไมไ่ ดเ้ ติบโตอยูก่ ับพ่อแม่ ไม่ พอเวลา และเหมาะสมกบั เวลาน้นั เอง ได้อยู่ในส�านักอาจารย์ จึงไม่รู้จักเวลาที่ควรขัน และไมค่ วรขนั ” (อกาลราวิชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย

พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๙ หน้า ๓๔๕) แสดงเหตุน้ีแล้ว ก็ด�ารงตนด้วยการพร�่าสอน ศลิ ปวทิ ยาแกศ่ ษิ ยจ์ นตลอดอายขุ ยั หลงั จากตาย แล้วกไ็ ปเกดิ ณ ภพใหมต่ ามบุญกรรมของตน

พระบรมศาสดาทรงประชุมชาดกวา่ ไก่ ที่ขันไม่ถูกเวลาในครงั้ น้นั ได้เกิดมาเปน็ ภิกษุ รูปน้ี พวกมาณพท้ังหลาย ได้เกิดมาเป็น พทุ ธบรษิ ัท สว่ นอาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ ไดเ้ สวย พระชาตเิ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในบดั น้ี

556

557

ดวงใจแม่

“จิตของพ่อแม่ย่อมอ่อนไหว เพราะสงสารลูก

บณั ฑติ โบราณอาศยั เหตนุ ตี้ ดั สินข้อวิวาทได”้

มีเรื่องสาธกเล่าไวใ้ นมโหสถชาดก ในอรรถกถามหานบิ าตวา่ มสี ตรคี นหนงึ่ อมุ้ บตุ รนอ้ ยไปพบสระนา้� จงึ อาบนา�้ ใหบ้ ตุ รในสระนา้� นนั้ เสร็จแล้วประสงค์จะล้างหน้าของตน จึงเอาผ้าปูบนบก วางบุตรนอนบนผ้า นัน้ ตนเองกม้ ลงลา้ งหนา้ ในสระ ขณะนน้ั มยี ักษิณตี นหนึง่ เดินมาเห็นเด็ก นอ้ ย อยากจะกนิ เดก็ จงึ แปลงเพศเปน็ สตรีเข้าไปถามมารดาเดก็ วา่ “เดก็ น้ี งามจรงิ เปน็ บตุ รเธอหรอื ” มารดาเดก็ รับวา่ เปน็ บุตร จงึ กลา่ วว่า “ฉันจะอ้มุ เด็กให้ดื่มนม” เม่อื มารดาเดก็ อนุญาตแล้ว ก็อุม้ เดก็ นน้ั เชยชมหนอ่ ยหน่ึงแลว้ พาเด็ก วงิ่ หนไี ป มารดาเดก็ เหน็ ดงั นน้ั จงึ ขน้ึ จากสระนา�้ วง่ิ ตามไปยดึ ผา้ ไวแ้ ลว้ กลา่ ว ว่า “เธอจะพาบุตรฉนั ไปไหน” นางยักษ์เถยี งวา่ “เธอไดบ้ ตุ รมาจากไหน นบี่ ตุ รฉนั ต่างหาก” หญิงทงั้ สองโต้เถยี งแย่งบตุ รกันเดนิ ผา่ นไปถงึ ศาลา มโหสถบณั ฑติ อยใู่ นศาลานน้ั พร้อมมหาชนไดย้ ินเสียงโต้เถียงนั้นแล้ว แม้รู้ว่าหญงิ คนไหน เป็นยกั ษิณี คนไหนเปน็ มารดาก็ยังกล่าวว่า “เธอทั้งสองจะเชอ่ื ค�าตัดสนิ ของ เราหรือไม่” เมื่อหญิงทั้งสองรบั ค�าวา่ จะเช่อื คา� ตดั สนิ จึงเอาไม้ขีดรอยทแ่ี ผน่ ดิน แล้วให้เด็กนอนขวางบนรอยขีด ให้ยักษิณีจับมือทั้งสองของเด็ก ให้หญิง มารดาจับเท้าทัง้ สอง แล้วกล่าววา่ “เธอทง้ั สองจงฉดุ ครา่ เอาไป เด็กนจี้ ะเปน็ ของผสู้ ามารถดึงไปได”้ หญงิ ท้งั สองตา่ งดงึ เด็กนน้ั เด็กเมอื่ ถูกดึงจงึ เกดิ ความเจ็บ จึงร้องข้ึน หญิงที่เป็นมารดาได้ยนิ เสยี งบุตรร้อง ทนไม่ไดเ้ หมอื นหัวใจจะขาด จึงปล่อย บตุ รยืนร้องไห้อยู่ มโหสถบณั ฑติ จึงถามมหาชนว่า

558

“ทา่ นทงั้ หลายเหน็ เปน็ อยา่ งไร จติ ใจของมารดาเดก็ ออ่ น หรอื จติ ใจของผหู้ ญงิ ผูไ้ ม่ใช่มารดาออ่ น”

มหาชนตอบวา่ “จิตใจของมารดาออ่ น” มโหสถบณั ฑิตจึงถามมหาชนวา่ “บัดนี้ ท่านเห็นอยา่ งไร หญงิ ผ้ดู งึ เด็กไป เป็นมารดา หรือวา่ หญงิ ผ้ปู ล่อยเด็กยนื รอ้ งไห้อยู่ เปน็ มารดา” มหาชนตอบวา่ “หญิงผปู้ ล่อยเดก็ เปน็ มารดา” ชาดกเร่อื งน้ชี ้ใี ห้เห็นว่า จิตของมารดำาบิดำาเต็มไปดำ้วยเมตตากรุณาอันบริสุทธ์ิในบุตรธิดำาของตน แมส้ มเดำจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กไ็ ดำท้ รงยกขน้ึ เปน็ ขอ้ เปรยี บเทยี บ ในการอบรม จิตใหป้ ระกอบดำว้ ยเมตตากรณุ า ดำังทต่ี รสั ไว้ในกรณยี เมตตสูตรวา่

มาตา ยถา นยิ � ปตุ ตฺ � อายุสา เอกปุตตฺ มนรุ กฺเข

มารดำาพึงรักษาบุตรน้อยคนเดำียว ผเู้ กดิ ำแต่ตน เสมอดำ้วยชีวติ ฉันใดำ

เอวมปฺ ิ สพพฺ ภเู ตสุ มานสมภฺ าวเย อปรมิ าณ�

บคุ คลก็พงึ อบรมใจให้ประกอบดำว้ ยเมตตากรุณาไมม่ ีประมาณในสตั ว์ทั้งปวง ฉนั น้นั

(มโหสถชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย ชาดก มหานบิ าต เลม่ ๓๖ หน้า ๒๕๗)

559

560

เทวดามีเพื่อนเป็นมนษุ ย์

“ความเป็นสหายกนั ยอ่ มไม่มีในคนพาล”

มเี รอื่ งเลา่ วา่ เทวดาองคห์ นงึ่ ไดเ้ พอ่ื นเปน็ มนษุ ย์ ทงั้ สองรกั ใครก่ ลม เกลียวกันเป็นอย่างดี วันหนึ่ง เทวดาชวนเพื่อนมนุษย์ไปเที่ยวที่เมือง สวรรค์ ขณะนนั้ เปน็ ฤดหู นาว บนสวรรคอ์ ากาศจงึ หนาวจดั มนษุ ยเ์ มอื่ เจอ อากาศทีห่ นาวจัดเช่นน้ัน จงึ เป่าฝ่ามอื ทง้ั สองขา้ งเพื่อคลายหนาว ขณะเปา่ ก็มีไอควันออกมาจากปาก เมือ่ เปา่ หลาย ๆ ครัง้ เขา้ เทวดาสงสยั จงึ ถาม วา่

“เหตุใด ท่านจงึ เปา่ ฝา่ มอื ทง้ั สองข้าง” “ขา้ พเจ้าเป่าเพอ่ื ใหร้ อ้ น” มนษุ ย์ตอบ เทวดายังไม่เข้าใจว่า เป่าลมใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วมันจะร้อนได้ อย่างไร? แตก่ ไ็ ม่ไดถ้ ามอะไร ปลอ่ ยให้มนุษยเ์ ปา่ ลมใสฝ่ ่ามอื ต่อไป ต่อมา เทวดาไดร้ ินน้�าชามาใหม้ นษุ ยก์ ิน มนษุ ยร์ บั นา�้ ชามาแลว้ เห็น วา่ ยังรอ้ นอยจู่ งึ ยกถ้วยนา้� ชาข้ึนมาเป่า “ท่านเป่าถว้ ยน้�าชาทา� ไมหรอื ?” เทวดาถาม “เปา่ เพ่ือให้เยน็ ” มนุษยต์ อบ “เจ้ามนษุ ยน์ ่คี บไมไ่ ด้ กลิง้ กลอกปลอกปลิ้น ถามครัง้ แรก ก็ตอบว่า เป่าฝ่ามือเพื่อให้ร้อน แต่คร้ังหลังนี้กลับตอบว่า เป่าถ้วยน้�าชาเพ่ือให้ เย็น” เทวดาคดิ อยา่ งนแี้ ลว้ กส็ ง่ มนษุ ยก์ ลบั บา้ น และไมค่ ดิ จะคบเปน็ เพอื่ น อกี เลย นทิ านเรอ่ื งนใี้ ห้ขอ้ คดิ อย่างนอ้ ย ๒ ประการ คอื ๑. การทใี่ ครจะมองว่าเปน็ อยา่ งไรน้ัน หลายกรณีเกดิ ำจากทัศนคติ ของคนมองเอง อย่างเช่นการทีเ่ ทวดำามองวา่ มนษุ ย์คบไมไ่ ดำ้ ดำ้วยเหตทุ ่ี

561

เปา่ ฝา่ มอื ใหร้ อ้ นและเปา่ นา�้ รอ้ นใหเ้ ยน็ นี้ ความจรงิ มนษุ ยท์ า� ถกู แลว้ เพราะ การเป่าฝ่ามือทา� ใหม้ อื อนุ่ คลายหนาวไดำ้ ส่วนการเปา่ น้า� ร้อน กท็ า� ใหน้ �า้ ร้อนเย็นลงและดำื่มไดำส้ ะดำวก เปน็ เรอื่ งธรรมดำาทีม่ นษุ ยท์ �ากนั แต่เทวดำา ไม่เข้าใจ เลยมองว่ามนษุ ย์เปน็ เพือ่ นกลับกลอกคบไมไ่ ดำ้ ถ้าเทวดำาฉลาดำ สกั นิดำกต็ อ้ งถามใหห้ ายสงสัย หรือไม่ก็ทดำลองดำ้วยตนเอง แต่เพราะไมไ่ ดำ้ ท�าอย่างว่าจึงเกิดำปัญหา

ในสังคมมนษุ ย์ คนท่มี ีลกั ษณะคลา้ ยเทวดำา ต้องมีอยูบ่ า้ งไมม่ ากก็ นอ้ ย ดำงั นนั้ ผหู้ วงั ความสขุ ความเจรญิ จงึ ควรใชป้ ญั ญาตรวจตราความคดิ ำ และการกระทา� ของตนเอง ถา้ เหน็ วา่ ไมถ่ กู ตอ้ ง เปน็ โทษไมเ่ ปน็ คณุ แกใ่ ครๆ ก็ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ปฏิบตั อิ ยา่ งนีก้ จ็ ะทา� ใหอ้ ยูใ่ นสงั คมไดำ้อย่างมีความสุข

๒. การคบเพอื่ นเปน็ เรอ่ื งสา� คญั โบราณจงึ กลา่ ววา่ “คบคนใหด้ ำหู นา้ ซื้อผ้าให้ดำูเนื้อ” หมายความว่า จะพิจารณาคนหรือสิ่งใดำสิ่งหนึ่งก็ให้ พจิ ารณาอย่างละเอยี ดำรอบคอบ ในทางพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจ้าไดำ้ ตรสั ถงึ การมเี พ่อื นที่ดำไี วว้ ่า “ภกิ ษุทั้งหลาย เม่อื ดำวงอาทิตยอ์ ทุ ัยอยู่ ย่อม มแี สงอรณุ ขน้ึ มากอ่ น เป็นบพุ นิมิต ฉันใดำ ความมกี ลั ยามติ รก็เปน็ ตัวน�า เป็นบุพนิมติ แห่งการเกิดำขึ้นของอารยอษั ฎางคิกมรรคแก่ภกิ ษุ ฉนั นัน้ ” และตรัสอีกว่า “อาศัยเราผู้เป็นกัลยามิตร เหล่าสัตว์ผู้มีการเกิดำเป็น ธรรมดำา กพ็ ้นจากการเกิดำ ผู้มชี ราเปน็ ธรรมดำา ก็พ้นจากชรา ผู้มมี รณะ เป็นธรรมดำา ก็พ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อปุ ายาส เปน็ ธรรมดำา กพ็ น้ จากโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส”

นิทานธรรมสาธก

562

563

เทวดาหนมุ่ กบั เทวดาแก่

“สิ่งทเี่ จ้าเหน็ ไม่ไดเ้ ป็นอยา่ งทเี่ จ้าคดิ ”

คร้ังหน่ึงมเี ทวดา ๒ องค์ องคห์ นงึ่ เป็นเทวดาแก่ อีกองค์หนง่ึ เปน็ เทวดา หนุ่ม ทง้ั สองเป็นเพือ่ นรักใคร่สนิทสนมกนั มานาน วนั หนึ่ง ทง้ั ๒ ไดช้ วนกัน ไปเท่ียวโลกมนุษย์ เม่อื มาถึงกจ็ �าแลงกายเปน็ ชาวบา้ น ขอเข้าพกั อาศัยในบ้าน ของเศรษฐี

เศรษฐเี ห็นเปน็ คนแปลกหน้า จึงใหไ้ ปพักท่ีโกดงั หลงั บ้าน ซง่ึ มีสภาพรก รุงรัง ไม่มีเส่ือและหมอนที่จะใช้หลับนอน เทวดาท้ัง ๒ รู้สึกผิดหวังในการ ตอ้ นรบั แต่ไมพ่ ูดอะไร ต่างชว่ ยกันท�าความสะอาดโกดังดังกลา่ ว เพอื่ ใชเ้ ปน็ ที่พกั เทวดาหนุ่มต้ังใจท�าให้พอนอนได้เท่านั้น ส่วนเทวดาแก่กลับต้ังใจ ท�าความสะอาดอย่างเต็มความสามารถ จนกระท่ังสะอาดสะอ้านเหมือนโกดัง หลังใหม่

เทวดาหนุม่ ถามว่า “เหตุใด ทา่ นจงึ ทา� ความสะอาดขนาดน้ี เจ้าของบา้ น กม็ ไิ ด้เต็มใจตอ้ นรับ ให้เข้าพักเพราะขัดไมไ่ ดเ้ ทา่ นน้ั ”

เทวดาแกต่ อบเปน็ ปริศนาวา่ “สิ่งทเี่ จ้าเหน็ ไมไ่ ดำเ้ ป็นอยา่ งท่เี จา้ คดิ ำ” เทวดาหนมุ่ ไม่เข้าใจ และเทวดาแกก่ ไ็ มไ่ ด้เฉลยด้วย ความจรงิ โกดังดงั กลา่ วเป็นที่เก็บสมบัติของเศรษฐีน้นั แต่เศรษฐปี ลอ่ ย ให้รกรงุ รังเพอื่ ลวงคนไม่ให้ใครรู้ทีซ่ ่อนสมบตั ขิ องตน เพราะกลัวถูกแย่ง เทวดา แก่น้นั รวู้ ่าเป็นทีเ่ กบ็ สมบัติ เพราะขณะทา� ความสะอาดกส็ ังเกตเหน็ ฝาผนงั ท้ังสี่ ด้านนั้นฉาบไปด้วยทองค�า ส่วนเทวดาหนุ่มไม่ทราบอะไรเลย คิดว่าเป็นโกดัง เก่าๆ เท่าน้นั เชา้ วนั รุง่ ขน้ึ เทวดาทงั้ ๒ ก็ลาเศรษฐนี ัน้ ไปเท่ียวท่อี น่ื ต่อ หลงั จากเทีย่ ว จนเหน็ดเหน่อื ยแล้ว ตกเยน็ กต็ ้องหาทีพ่ กั ใหม่ คราวนไี้ ปขออาศัยตายายคหู่ นง่ึ ท่เี ปน็ ชาวนาปลกู ขน�านา (เถียงนา) ไว้พกั กลางทุ่ง สองตายายนนั้ ไม่มีลูกหลานอยดู่ ว้ ย มเี พียงวัวหนึ่งตัวเทา่ นั้นทเ่ี ลี้ยงไว้ เมอื่ เหน็ คนเดนิ ทางมาขอพกั ดว้ ยกต็ อ้ นรบั ดว้ ยความยนิ ดี ใหด้ ม่ื นา้� ใหท้ านอาหาร ที่ดที ่ีสุดเท่าทีห่ าได้

564

เมื่อถึงเวลาจะนอน ก็จัดท่ีท่ีตนเคยนอนให้ ให้ดำเี พ่อื มิใหเ้ กิดำความเขา้ ใจผิดำ เชน่ เวลาท่ีตาเห็น เทวดาท้ัง ๒ สว่ นตนเองลงไปนอนขา้ งลา่ ง น�้าใจ รูป แมจ้ ะเป็นรูปของสิง่ เดำยี วกนั แตบ่ างทีก็มที ั้งแท้ ท่งี ดงามนที้ า� ใหเ้ ทวดาทง้ั ๒ ร้สู กึ ซาบซึง้ แต่กย็ งั และเทียม มูลค่าราคาของส่ิงที่เห็นก็แตกต่างกัน คงเก็บความลบั ของตนอยู่ เวลาท่ีหูไดำ้ยินเสียง ถึงจะเป็นเสียงเดำียวกัน แต่ ก�าเนิดำของเสียงก็อาจแตกต่างกันไดำ้ เวลาท่ีจมูกไดำ้ ในเวลาดึกคนื น้ัน ยมทูตก็ปรากฏกายข้นึ เพื่อ ดำมกลน่ิ ถงึ แมจ้ ะเปน็ กลน่ิ เดำยี วกนั แตก่ ลน่ิ นนั้ กอ็ าจ จะมาเอายายไปยมโลก เพราะหมดอายุแลว้ ตอ้ ง จะโชยมาจากส่งิ ของไม่เหมอื นกนั ไดำ้ ตายในคืนนี้ เทวดาแก่เห็นดังนั้น จึงรีบขอร้อง ยมทตู ใหไ้ วช้ วี ติ ยายไว้ แตย่ มทตู ไมย่ อม เทวดาแก่ เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ้ งพนิ จิ พจิ ารณา เพอ่ื ความ จงึ ขอร้องใหเ้ อาววั ไปแทน ถูกต้อง แม้แต่ล้ินและกายก็ไม่ต่างจากที่แสดำงมานี้ มีท้ังดำีและเสีย คุณและโทษ ทุกครั้งที่กระทบหรือ ยมทตู ทง้ั ๆ ทไ่ี มอ่ ยากเอาววั ไป แตก่ ย็ อม ใน สัมผัสจึงควรร้เู ทา่ ทนั อย่าตกเป็นเคร่อื งมอื หรอื เป็น ท่ีสดุ วัวก็ตายในคืนนั้น พอรุ่งเช้า เทวดาทง้ั สอง ทาสของส่ิงไม่ดำี โดำยเฉพาะสิ่งไม่ดำที เี่ ข้ามาในรูปของ กไ็ ดย้ นิ เสยี งตายายรอ้ งไหด้ ว้ ยความเสยี ใจ เทวดา มิตรในเบ้อื งต้น แต่เปน็ ศัตรใู นภายหลงั เช่น สุรา หนมุ่ รู้สกึ โกรธเทวดาแก่ ท่ีปลอ่ ยให้ววั ของตายาย ยาเสพติดำ และบหุ ร่ี ต้องระวังใหม้ าก ตาย จึงกลา่ วกบั เทวดาแก่ว่า คุณธรรมที่ช่วยพินิจพิจารณาให้เห็นความจริง “ทา� ไมจงึ ปล่อยใหว้ ัวตาย ทเี ศรษฐแี ลง้ น�้าใจ กค็ ือสตกิ ับปัญญา ซึ่งทง้ั ๒ อย่าง กม็ ีอยู่แลว้ ในตวั ให้ที่พักหยาบๆ ท่านยังท�าความสะอาดให้อย่างดี ของเราทกุ คน สติ แปลว่าความระลกึ นึกไดำ้ ส่วน จนสวยงามอยา่ งกบั โกดังใหม่” ปญั ญา แปลวา่ ความรจู้ กั ดำรี จู้ กั ชวั่ รจู้ กั ประโยชนม์ ใิ ช่ ประโยชน์ ท้งั สองอย่างน้ี ถา้ มีอย่ใู นบคุ คลใดำ ก็จะ เทวดาแกไ่ ด้ยนิ ดังนั้น จึงพูดเป็นปรศิ นาอีก ช่วยใหบ้ ุคคลน้ันคดิ ำพูดำและกระทา� ไดำ้ถูกต้อง ไมผ่ ิดำ ว่า “ส่ิงท่เี จ้าเห็น ไม่ไดำ้เปน็ อยา่ งทเ่ี จา้ คดิ ำ” พลาดำ ท�าให้ชีวิตประสบความสขุ ความเจรญิ ดำงั พุทธศาสนสุภาษติ วา่ เทวดาหนมุ่ จงึ ถามเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ เทวดา แก่ได้เล่าให้ฟังว่า เม่ือคืนยมทูตจะมาเอาตัวคุณ สติมา สุขเมธติ ยายไปยมโลก แต่ได้ขอร้องไว้ เพราะส�านึกใน แปลวา่ คนมีสตยิ ่อมไดำ้รบั ความสุข ความดีของคุณยายและสงสารที่คุณตาจะต้องอยู่ ปญฺ ญา โลกสมฺ ิ ปชฺโชโต คนเดียว ยมทูตไมย่ อม ถา้ เอาคุณยายไปไมไ่ ดก้ ็ แปลว่า ปัญญาเปน็ แสงสวา่ งในโลก ตอ้ งเอาคณุ ตาไปแทน เราจงึ ขอรอ้ งใหเ้ อาววั ไปแทน ยมทูตจึงยอม ในทีส่ ดุ ววั จงึ ไดต้ ายแทนตายายทงั้ นิทานธรรมสาธก สองนัน้ เหตุนน้ั กล่าวกบั ทา่ นวา่ “สิ่งทเี่ จ้าเหน็ ไม่ ไดเ้ ป็นอยา่ งทเ่ี จา้ คดิ ”

นิทานเรอ่ื งนีใ้ หข้ ้อคิดว่า ส่ิงท่ีเรารับรูท้ างตา หู จมกู ลิ้น และกาย น้ัน บางคร้ังก็รับรู้ไม่ตรงกับความจริงเสมอไป เพราะฉะนนั้ เวลาไดำเ้ หน็ ไดำ้ยิน ไดำ้กลน่ิ ไดำล้ ิม้ รส และไดำ้สัมผสั สิง่ ใดำ จึงต้องพินิจไตรต่ รอง

565

566

นางกากี

“ความรกั แม้จะเปน็ เรอื่ งกเิ ลส

แตจ่ ะไม่เป็นเหตใุ หม้ ีปัญหา

ถา้ รกั กนั ในกรอบของศลี ธรรม”

สมัยหน่ึง พระผมู้ พี ระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวนั มหาวิหาร เมอื ง สาวตั ถี ภิกษุรปู หนึง่ เกิดความกระสันอยากจะสึก เพราะได้เหน็ สตรีนางใด นางหนึง่ พระผมู้ ีพระภาคทรงทราบจึงรบั สงั่ ให้หา แล้วตรสั ว่า “ธรรมดำา มาตคุ ามน้นั ยากนกั ทีจ่ ะหวงห้ามปอ้ งกันมใิ หช้ ายอนื่ มาพัวพนั ”

แล้วตรัสเล่าเรอ่ื งทเี่ คยเกดิ ขน้ึ แต่ปางหลังวา่ ในอดตี กาล พระเจา้ กรงุ พาราณสีมีอัครมเหสีรปู โฉมงามเลิศ มีนาม ว่า “กากาติเทวี” คราวหน่ึง พญาครุฑจ�าแลงเป็นมาณพมาเล่นสกากับ พระองค์ กเ็ กดิ สเิ นหาในพระนางกากาตเิ ทวี จึงลอบลักพาตัวไปไว้ยังวมิ าน ฉมิ พลี ได้ร่วมอภริ มยส์ มเสพกบั พระนางสมปรารถนา เมอ่ื อคั รมเหสหี ายไป พระเจา้ กรงุ พาราณสจี งึ ตรสั สงั่ ใหพ้ นกั งานดนตรี นามว่า “นฏกุเวร” สบื หา นฏกุเวรสงสัยวา่ จะเปน็ มาณพท่มี าเล่นสกาเปน็ ตัวการ สะกดรอยไปก็รู้ว่าเป็นพญาครุฑจ�าแลงมา จึงซ่อนตัวไปในขนของ พญาครฑุ ถึงวมิ านฉิมพลีกไ็ ด้พบพระนางกากาตเิ ทวี เวลาที่พญาครุฑไปเล่นสกากับพระเจ้ากรุงพาราณสี นฏกุเวรกับ พระนางกากาติเทวกี ร็ ว่ มอภิรมย์กันทีว่ ิมานฉิมพลนี ้ัน เป็นอย่างว่า “กลาง คนื อยกู่ บั พญาสุบรรณ กลางวันอยู่กับนฏกุเวร” ครั้นสมควรแก่เวลา นฏกุเวรก็ซ่อนตัวในขนพญาครุฑกลับมากรุง พาราณสี วันหนึ่ง ขณะพระเจ้ากรุงพาราณสีเล่นสกากับมาณพจ�าแลงอยู่น้ัน นฏกเุ วรกข็ บั เพลงรกั เปน็ นยั ใหพ้ ญาครฑุ รวู้ า่ ตนไดไ้ ปรว่ มอภริ มยก์ บั พระนาง กากาตเิ ทวีมาแล้ว

567

เน้อื เพลงนั้นวา่ “หญงิ คนรักของเราอยู่ ณ ท่แี ห่งใดำ กล่นิ ของนางยังหอม ฟ้งุ มาจากที่แหง่ นน้ั ใจของเรายนิ ดำใี นนางใดำ นางนน้ั ชอื่ กากาติ อยไู่ กลจากท่ีนี้”

พญาครฑุ ทราบประพฤตเิ หตทุ งั้ ปวงแลว้ กน็ กึ อนาถใจ พาพระนางกากาตเิ ทวี มาส่งคนื พระเจา้ กรงุ พาราณสี แลว้ กไ็ ม่กลับมาอกี เลย

พระผมู้ พี ระภาคตรสั ชาดกจบแลว้ ทรงแสดงอรยิ สจั ธรรม เมอ่ื จบพระธรรม- เทศนา ภิกษผุ ู้กระสนั สกึ รูปนนั้ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

ทรงประชุมชาดกว่า นฏกุเวรกลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุผู้กระสันสึก ส่วน พระเจา้ กรงุ พาราณสีคือองคส์ มเด็จพระผ้มู ีพระภาคพทุ ธเจ้า นีแ้ ล

ชาดกเรื่องนสี้ อนใหร้ วู้ า่ การละเมิดำคูค่ รองคนอืน่ กอ่ ใหเ้ กดิ ำความเสือ่ ม อย่างแรก คือหมดำความนับถอื ในตนเอง ร้สู ึกว่าตนเองนา่ ต�าหนิ ไม่ ซ่อื ตรงต่อคชู่ ีวิต จติ ใจหม่นหมอง หน้าตาไมผ่ ่องใส ไมม่ คี วามสขุ ความสงบใจ ในการดำา� เนนิ ชีวิต วติ กกงั วลว่าจะมีคนอ่ืน โดำยเฉพาะบุคคลในครอบครวั รู้ เห็นการกระท�าทน่ี า่ รงั เกียจของตน อย่างที่สอง มีรายจ่ายสูงขน้ึ เพราะตอ้ งใชด้ ำแู ลอกี คนหนึง่ ทเ่ี พิ่มเขา้ มา ท�าใหร้ ายไดำ้ไมพ่ อกับรายจา่ ย ตอ้ งคดิ ำหาเงนิ อยู่ตลอดำเวลา ถ้าหาเงนิ ใหไ้ มไ่ ดำ้ก็ ถูกต่อว่าหรือถกู ดำถู ูกจากหญงิ นั้น เมือ่ เปน็ เช่นนั้น กต็ อ้ งเบียดำบงั เงินที่พงึ ให้ ครอบครวั ไปใหห้ ญงิ อื่น ทา� ให้ต้องมกี ารพดู ำปดำครอบครัวในเรอ่ื งคา่ ใชจ้ ่าย ใน เรือ่ งเวลาทีไ่ ม่คอ่ ยอยบู่ ้าน หรอื เขา้ บ้านไมต่ รงเวลา เปน็ ต้น อยา่ งท่ีสาม การละเมดิ ำค่คู รองคนอนื่ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ำความวบิ ตั แิ กช่ วี ติ ไดำ้ เพราะหากหญิงน้ันมีชายอื่นเป็นเจา้ ของอย่แู ลว้ เมอื่ ชายนั้นทราบเร่อื งเข้าก็ ยอ่ มจะหึงหวงและทา� รา้ ยใหบ้ าดำเจบ็ หรือลม้ ตาย ทา� ใหเ้ กิดำโทษทุกขใ์ นวงกวา้ ง ทั้งแก่ชายหญิงทัง้ สามคนนนั้ ท้งั แกบ่ ุตรธดิ ำาของตน และของคนเหล่าน้นั ดำ้วย รวมความวา่ การละเมดิ ำในคูค่ รองคนอ่ืน มแี ตท่ างเสอ่ื มและทางวบิ ัติเกดิ ำ ขึ้น สว่ นจะเสื่อมและวิบัติมากหรือน้อยเพียงใดำ กข็ ึน้ อยู่กับผทู้ �าแตล่ ะคน ในทางพระศาสนา พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ดำา� รงตนอยู่ในศลี ขอ้ ๓ คอื ให้งดำเว้นจากการล่วงละเมิดำค่คู รองคนอืน่ และใหย้ นิ ดำีเฉพาะในค่คู รอง ของตน ผปู้ ฏิบัติตนไดำต้ ามที่ตรัสสอน ยอ่ มจะพบความสุขในการดำา� เนินชวี ติ ตลอดำไป

(กากาติชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย ชาดก จตุกกนบิ าต เลม่ ๓๑ หนา้ ๔๑๒)

568

569

ประโยชนข์ องการคบเพื่อน

“เพื่อนแท้ คอื เพื่อนยามยาก”

สมัยหน่ึง พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ วดั พระเชตวนั มหาวิหาร เมอื ง สาวัตถี ทรงปรารภอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซ่ึงคบบรุ ษุ ทมี่ ฐี านะต�่าตอ้ ยกว่าเปน็ เพื่อน และได้แต่งตั้งให้บุรุษน้ันเป็นผู้ดูแลสมบัติของตน โดยพระองค์ตรัส วา่

“ดำกู อ่ นคฤหบดำี ธรรมดำามิตรเสมอดำ้วยตนกด็ ำี ตา่� กว่าตนกด็ ำี ยงิ่ กวา่ ตนก็ดำี ควรคบไว้ เหตุว่ามิตรเหล่านั้นแม้ท้ังหมดำย่อมช่วยแบ่งเบาภาระ ที่มาถึงตนไดำ้ทั้งน้ัน บดั ำนี้ ทา่ นอาศัยมติ รผชู้ ้ขี าดำการงานของตน จึงเป็น เจ้าของขมุ ทรพั ย์ไดำ้สบื ไป” จากนนั้ ตรัสวา่

ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี มตี น้ ไม้มงคลตน้ หนงึ่ ช่อื ต้นรจุ มงคล เกิดข้ึนเองในอุทยาน ของพระเจ้าพรหมทตั น้นั ต้นรุจมงคลน้นั มลี กั ษณะสวยงาม ล�าต้นตรง แผ่ กง่ิ กา้ นสาขาโดยรอบ และไดร้ ับการขนานนามว่าตน้ สมุขกะ หรอื ต้นไม้พูด ได้ เน่อื งจากมเี ทวดาผมู้ ีศกั ด์ใิ หญ่ชื่อ รจุ าเทวดา สงิ สถติ อยู่

บริเวณรอบๆ ต้นรุจมงคลนั้น มีกอหญ้าเกิดขึ้นเองกอหน่ึง และมี เทวดาชือ่ กสุ นาฬเิ ทวดา สิงสถติ อย่ทู ่ีกอหญา้ นั้น

เทวดาท้งั ๒ คอื รุจาเทวดา ซึง่ อาศัยอยู่ท่ตี น้ รุจมงคล และ กสุ นาฬิ- เทวดา ทอี่ าศยั อยทู่ ก่ี อหญา้ นนั้ เปน็ เพอ่ื นทค่ี บคา้ สมาคมกนั เปน็ กลั ยาณมติ ร ต่อกนั ไม่มกี ารเอายศเอาศกั ดม์ิ าเป็นอปุ สรรคในการคบกัน เอื้อเฟ้อื จุนเจอื กัน อยใู่ กลก้ นั อยา่ งมคี วามสุข

ครัง้ น้นั พระเจ้าพรหมทตั เสด็จประทับอยู่ในปราสาททส่ี วยงามแตม่ ี เสาเดยี ว เสาของปราสาทนนั้ มกั จะสนั่ ไหว เมอ่ื ถกู พายฝุ นพดั กระหนา่� ทา� ให้ ประทบั อย่ไู ม่เป็นสุข พระองค์จึงรับส่ังให้ทหารไปหาตน้ ไม้มาทา� เปน็ เสาใหม่

570

เหลา่ ทหารจงึ พากนั ไปหาตน้ ไม้ ในทส่ี ดุ กพ็ บตน้ ไม้ ศักดามากกว่า ก็ไม่สามารถขจัดทุกข์ท่ีเกิดแก่ตนได้” ทเ่ี หมาะสม นน่ั คอื ตน้ รจุ มงคล ทรี่ จุ าเทวดาสงิ สถติ จากนั้นแสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาวา่ อยู่ จึงลงมือทา� พลีกรรมแก่ตน้ รุจมงคลนน้ั ก่อน จะตัดไปเป็นเสาในวันรุ่งข้ึน เม่ือรุจาเทวดารู้ว่า “บุคคลผเู้ สมอกนั ประเสรฐิ กว่ากัน หรอื เลว ต้นไมม้ งคลทอ่ี าศัยอยู่ จะต้องถูกตดั ในวนั รุ่งขึ้น ก็ กวา่ กนั กค็ วรคบกนั ไว้ เพราะมติ รเหลา่ นน้ั เมอื่ ความ เศรา้ โศกเสียใจ บรรดารกุ ขเทวดาท่คี ุ้นเคย พากนั เสอ่ื มเกดิ ำขนึ้ กพ็ งึ ทา� ประโยชนอ์ นั อดุ ำมใหไ้ ดำ้ เหมอื น ถามเหตุแห่งการเศร้าโศกน้นั ครน้ั ไดฟ้ งั แลว้ ก็ไม่ เราผู้เป็นเทวดำาสถิตอยู่ท่ีต้นรุจา กับเทวดำาผู้สถิตท่ี สามารถทชี่ ว่ ยอะไรได้ กอหญ้าคาคบกัน ฉะนั้น”

ฝา่ ยกสุ นาฬเิ ทวดา ซงึ่ สงิ สถติ ทกี่ อหญา้ เมอ่ื รุจาเทวดานั้น แสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาให้ รปู้ ัญหาทเี่ กดิ ขึ้น ก็เข้าไปปลอบใจรุจาเทวดาว่า อาจหาญรน่ื เริงอย่างน้ี ดา� รงชวี ิตอยู่ตลอดชั่วอายุขยั แล้วก็จุติไปเกิด ณ ภพภูมิอื่นตามบุญกรรมท่ีท�าไว้ “อย่ามวั แต่เศรา้ โศกเลย เราจะไม่ให้ใครมา พร้อมกบั กุสนาฬเิ ทวดาผเู้ ปน็ สหาย ตัดต้นไม้ของท่าน ขอให้ท่านสบายใจเถิด พรุ่งนี้ ตอนเวลาพวกชา่ งมา เราจะแกป้ ัญหาเอง” พระพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า รุจาเทวดาใน ครงั้ นนั้ ไดม้ าเกดิ เปน็ พระอานนทใ์ นบดั นี้ สว่ นกสุ นาฬ-ิ รุ่งเช้าทหารและนายช่างที่ได้รับมอบหมาย เทวดา กลบั มาเสวยพระชาตเิ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ก็พากันเข้ามาในอุทยาน ทั้งหมดมุ่งหน้าตรงไปที่ ต้นรุจมงคล พรอ้ มดว้ ยเครอื่ งมอื สา� หรบั ตดั ตน้ ไม้ ชาดกเรื่องน้ีใหข้ อ้ คดิ วา่ บุคคลทเี่ รียกว่าเพอ่ื นจริงหรือเพื่อนแทน้ ้ัน ให้ เม่ือทหารและนายช่างเดินเข้ามาใกล้ต้น ดำูในเวลาประสบทกุ ข์ ประสบอนั ตราย และประสบ รจุ มงคล กสุ นาฬิเทวดาจงึ แปลงกายเปน็ กงิ้ กา่ ว่งิ ภยั ตา่ งๆ เพราะในเวลาทล่ี �าบากเชน่ นน้ั จะมเี พ่ือน นา� หนา้ ทหารและนายชา่ งเขา้ ไปยงั โคนตน้ รจุ มงคล จรงิ หรอื เพอ่ื นแทเ้ ท่าน้ันทีอ่ ยเู่ คียงข้าง ส่วนคนอ่ืนๆ น้ัน ทา� ใหด้ เู หมอื นวา่ เป็นตน้ ไม้มโี พรง พวกทหาร ทอ่ี า้ งวา่ เพอื่ น แตไ่ มใ่ ชเ่ พอ่ื นจรงิ หรอื เพอื่ นแท้ จะทงิ้ และช่างเห็นเช่นนั้น จึงยกเลิกการตัดต้นรุจมงคล เราไปหมดำ ปล่อยใหเ้ ราลา� บากตามล�าพงั ไม่อยเู่ ป็น ไปทา� เปน็ เสา แล้วพากนั ไปหาต้นไม้อืน่ แทน เพอ่ื นคู่คิดำมิตรคู่ใจ ให้คลายทุกขโ์ ศกใดำๆ เลย ในการดำา� เนนิ ชีวิต ใครก็ตามท่ีเปน็ เพื่อนกบั บรรดารุกขเทวดาที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็ เราดำว้ ยความรกั ความปรารถนาดำี จริงใจ ไมห่ วังผล แสดงความยินดีกับรุจาเทวดา ที่ไม่ต้องเสียต้นไม้ ตอบแทน คบค้าสมาคมกันเพราะศรัทธาในความดำี อนั เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั รจุ าเทวดาไดก้ ลา่ วกบั รกุ ขเทวดา ของกันและกัน โดำยไม่ถือยศถาบรรดำาศักดำ์ิที่แต่ละ ทงั้ หลายวา่ คนมีอยู่ บุคคลน้ันแหละท่ีเราควรคบเป็นเพื่อนจริง เพ่ือนแท้ตลอดำไป เพราะคบแล้ว ชีวิตย่อมพ้นจาก “ดูก่อนท่านทั้งหลาย เราถึงจะเป็นเทวดาที่ ความเสอ่ื มและประสบความเจริญอย่างแนน่ อน มีศักดิใ์ หญ่ แตก่ ไ็ มร่ ู้วธิ แี กป้ ัญหาท่ีเกดิ ข้นึ เพราะ ปัญญาทึบ ส่วนกุสนาฬิเทวดา แม้จะมีศักดิ์น้อย (กุสนาฬชิ าดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย กว่า แต่ก็ได้ช่วยให้เราไม่ต้องเสียวิมาน เพราะมี ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๓๕๕) ปัญญารู้วิธีแก้ปัญหา เราเป็นเทวดาเกิดท่ีต้นไม้ รุจา ส่วนกสุ นาฬเิ ทวดาเกดิ ที่กอหญา้ เราแมจ้ ะมี

571

572

ฝนโบกขรพรรษ

“มารดาบิดาย่อมถนอมบุตรนอ้ ย ฉนั ใด พระราชาทงั้ หลายจงทรงรกั ษาประชาราษฎร์ โดยชอบในกาลทงั้ ปวง ฉนั นนั้ ”

ในอดีตกาล พระนางผุสดี อัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสัญชัย แห่ง เมืองสีพี ได้มีพระประสูติครรภ์พระโอรสโพธิสัตว์ นามว่าพระเวสสันดร พระเวสสนั ดรทรงมชี า้ งคบู่ ารมชี อ่ื ปจั จยั นาค พออายไุ ด้ ๑๖ ปี กท็ รงสมรส กับพระนางมัทรี มบี ุตรธิดา ๒ คน ช่อื ชาลี และกัณหา

ตอ่ มาเมอื งกลงิ คะเกดิ ขา้ วยากหมากแพง ชาวเมอื งมาขอชา้ งจากพระ เวสสันดร พระองคใ์ หท้ านชา้ งน้นั ไป ท�าให้ชาวเมืองสพี ีไมพ่ อใจ จึงไปทูล พระเจ้ากรงุ สญั ชัยให้เนรเทศพระเวสสันดรไปเขาวงกต

กษตั รยิ ์ทัง้ ๔ คือ พระเวสสันดร พระนางมทั รี กัณหา และชาลี จึง เดินทางไปเขาวงกต แคว้นเจตราช แล้วบวชเป็นฤษี บ�าเพ็ญธรรมท่ีเขา วงกตน้ัน

ในเวลาต่อมา ชูชกซ่ึงเปน็ คนขอทานไดเ้ ดินทางไปเขาวงกต เพื่อขอ กัณหาและชาลมี าคอยรับใชน้ างอมิตตดาซง่ึ เป็นภรรยาตน

หลังจากขอพระกมุ ารทั้งสองไดแ้ ลว้ ในเวลาเดินทางกลับ เทวดาได้ ดลใจให้พาไปท่ีเมืองสีพี พระเจ้าสัญชัยจึงไถ่พระกุมารท้ังสองคนไว้เป็น อิสระ

สว่ นชชู กไดต้ าย เพราะกนิ อาหารไมร่ จู้ กั ประมาณทเ่ี มอื งสพี นี นั้ พระ เจ้ากรุงสัญชัยได้เตรียมจัดกองทัพไปอัญเชิญพระเวสสันดรและพระนาง มัทรีกลับคืนวัง พอกษัตริย์ทั้ง ๖ คือ พระเจ้าสัญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมทั รี กัณหา และชาลี ได้มาพบกัน เกิดสลบไป ทงั้ หมด

ร้อนถึงพระอินทร์รู้เหตุ เลยบันดาลให้ฝนตกใหญ่ เมื่อทั้งหมดฟื้น คนื ชีพแล้วไดข้ ออภยั ตอ่ พระเวสสันดรและเชญิ เข้าไปปกครองกรุงสพี ี เพอ่ื ครองราชสมบัตติ อ่ จากพระราชบิดาต่อไป

573

ฝนทต่ี กในคร้ังนน้ั เรยี กวา่ “ฝนโบกขรพรรษ” ฝนโบกขรพรรษนั้น มี สแี ดงหลัง่ ไหลเสยี งสน่นั ลนั่ ออกไปไกล เหมอื นเสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผใู้ ด ปรารถนาจะใหเ้ ปยี กกาย จงึ จะเปยี กกาย ถา้ ไมป่ รารถนาแลว้ แมแ้ ตเ่ มด็ หนงึ่ ก็มิไดเ้ ปยี กตัว เหมือนหยาดน�้าตกลงในใบบัว แลว้ ก็กลงิ้ ตกลงไปมิไดต้ ิดอยู่ ให้เปียก ฉะนน้ั

ฝนโบกขรพรรษน้ี ในคัมภีร์กล่าวว่า ได้ตกลงมาครั้งหนึ่งสมัย พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ นวิ ตั กิ ลบั กรงุ กบลิ พสั ด์ุ เพอ่ื โปรดพระประยรู ญาตหิ ลงั จาก ตรัสรู้แล้ว โดยตกที่กรุงกบิลพัสดุ์ในท่ามกลางพระประยูรญาติของ พระพทุ ธเจา้ อนั เปน็ เหตใุ หพ้ ระองคท์ รงเลา่ เรอื่ งเวสสนั ดรชาดก ซง่ึ เปน็ ชาติ ใหญ่ชาตสิ ุดทา้ ย แห่งการบา� เพญ็ ทานบารมีของพระองค์

เวสสนั ดรชาดกในตอนนใ้ี หแ้ ง่คดิ ว่า ฝนโบกขรพรรษท่ีมีลักษณะตกลงมาแล้ว ผู้ต้องการจะให้เปียกก็ เปียก ไมต่ ้องการใหเ้ ปยี กก็ไมเ่ ปียก ตกถงึ พืน้ แล้วก็ละลายหายไปในดำนิ นนั้ นา่ จะหมายถงึ เทศนาธรรมของพระพทุ ธเจา้ ทที่ รงเทศนใ์ หพ้ ระประยรู - ญาติฟงั คร้งั น้ัน ถ้าพระประยรู ญาติคนใดำต้งั ใจฟังกจ็ ะไดำ้ยินธรรมทท่ี รง แสดำง อนั งามในเบอ้ื งต้น ท่ามกลาง และที่สุดำ ไดำร้ ับอานิสงสต์ ามสมควร แกส่ ติปญั ญาของตนๆ ขอ้ นปี้ ระดำจุ เดำยี วกบั ฝนโบกขรพรรษ ทเี่ ปยี กเฉพาะบคุ คลทตี่ อ้ งการ ใหเ้ ปยี กเทา่ นน้ั แตถ่ า้ พระประยรู ญาตคิ นใดำ มที ฐิ มิ านะถอื วา่ อายแุ กก่ วา่ พระพทุ ธเจา้ หรอื เปน็ พระญาตผิ อู้ าวโุ สกวา่ แลว้ ไมเ่ ปดิ ำใจรบั ฟงั พระธรรม- เทศนาของพระองค์ พระประยรู ญาตเิ หลา่ นนั้ กไ็ มไ่ ดำย้ นิ ธรรมทพ่ี ระองค์ ทรงแสดำงวา่ งามในเบอ้ื งตน้ ทา่ มกลาง และทสี่ ดุ ำอยา่ งไร ทา� ใหค้ ลาดำจาก ประโยชน์ของการฟังธรรมนั้น ประดำจุ ฝนโบกขรพรรษทไี่ ม่เปียกแก่คนท่ี ไม่ต้องการจะเปยี กนน้ั เอง

(เวสสนั ดรชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย ชาดก มหานิบาต เล่ม ๓๗ หน้า ๕๙๔)

574

575

พระราชากบั คนสนทิ

“เหรยี ญมีสองดา้ น ฉนั ใด

ดกี บั เสียกม็ ีในเหตกุ ารณเ์ ดยี วกนั ฉนั นนั้ ”

มีเรือ่ งเลา่ ว่า กาลครั้งหนงึ่ ฝนตกหนัก พระราชาไดต้ รสั ถามอา� มาตย์ ผใู้ กล้ชดิ ว่า “ฝนตกอย่างนี้ เรางดออกไปเยี่ยมพสกนิกรดีไหม?” อา� มาตย์ ผู้ใกล้ชิดกราบทลู วา่ “ขอเดชะ ไปเยย่ี มในเวลาฝนตกนี่แหละดี เพราะฝนได้ ชะล้างความสกปรกออกจากถนนหนทางหมดแล้ว เวลาไปก็ได้สูดอากาศท่ี บริสุทธิ์ดว้ ย พระเจ้าขา้ ”

พระราชาทรงเห็นชอบด้วย จึงทรงปลอมพระองค์เสด็จเยี่ยมเยียน พสกนกิ รหลงั จากฝนหยดุ ตกแลว้ โดยไปดว้ ยกนั ๒ คนกบั อา� มาตยผ์ ใู้ กลช้ ดิ น้นั

อยมู่ าวนั หนงึ่ เปน็ วนั ทอี่ ากาศรอ้ น พระราชากป็ รกึ ษาวา่ “วนั นี้ อากาศ รอ้ น เรางดไปเยีย่ มพสกนกิ รดไี หม? เพราะร้อนอยา่ งนี้ พวกเขาคงหลบกนั อยู่แต่ในท่รี ม่ ไปก็คงไมม่ ีประโยชน์อะไร”

อา� มาตยผ์ ใู้ กลช้ ดิ กราบทลู วา่ “รอ้ นกด็ เี หมอื นกนั พระเจา้ ขา้ เราจะได้ เหน็ ความทกุ ขย์ ากของพสกนกิ รชดั เจน จะไดห้ าหนทางแกป้ ญั หาไดถ้ กู ตอ้ ง” พระราชาสดับแล้วก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงเสด็จไปเย่ียมเยียนพสกนิกรในวัน ทีอ่ ากาศร้อน โดยปลอมตวั ไปด้วยกัน ๒ คนกบั อ�ามาตย์ผใู้ กลช้ ดิ เหมอื น เดิม

อยู่มาอีกวันหน่ึง พระราชาทรงประสบอุบัติเหตุถูกมีดบาดหัวแม่มือ ขาด ทรงไดร้ บั ทกุ ขท์ รมานอยา่ งหนกั แตก่ ไ็ มร่ จู้ กั ลงโทษใคร เพราะพระองค์ ทรงท�าเอง จึงตรัสถามอ�ามาตย์ผู้ใกลช้ ดิ ว่า “หัวแมม่ อื ขาด ดีไหม?”

“ดี พระเจา้ ข้า” อา� มาตย์ผใู้ กลช้ ิดกราบทลู “ดี พอ่ มึงนะสิ” พระราชาสวนทนั ที พระองคก์ ริว้ ท่ีอา� มาตยผ์ ูใ้ กลช้ ดิ ตอบเช่นนน้ั เพราะทรงเหน็ ว่าซ�า้ เติมพระองค์ จงึ รบั ส่ังให้น�าอ�ามาตย์ผ้ใู กล้ ชิดน้นั ไปขงั คุก เป็นการลงโทษท่บี งั อาจตอบไม่ต้องด้วยพระทยั

576

วันหน่ึง พระราชาทนความคิดถงึ อา� มาตยผ์ ใู้ กล้ชดิ ไม่ไหว จงึ เสดจ็ ไปเยี่ยมท่ี หอ้ งขงั แล้วตรัสถามวา่ “ติดคกุ นะ ดไี หม?”

“ดี พระเจา้ ขา้ ” อา� มาตยผ์ ใู้ กลช้ ดิ กราบทูล ทรงหมัน่ ไส้ย่งิ ขน้ึ จึงตรัสว่า “ถ้า ดี เอง็ ก็อยใู่ นคุกต่อไปเถอะ” จากน้นั ก็เสด็จกลับพระตา� หนัก โดยไมย่ อมปล่อย ให้ออกจากห้องขัง

นบั ตง้ั แตส่ ่ังขังอา� มาตย์ผใู้ กลช้ ิดเป็นต้นมา พระองค์กท็ รงขาดคนร้ใู จ แมม้ ี คนอ่ืนอยใู่ กล้บ้างก็ไมถ่ ูกใจเหมือนอา� มาตย์น้ัน ทรงเหงา อยู่ไมเ่ ป็นสุข

วนั หนึ่ง ทรงคิดจะออกป่าลา่ สตั ว์ ครน้ั จะไปปล่อยอา� มาตย์ผ้ใู กล้ชดิ ออกมา เพอื่ จะไปดว้ ยกนั กก็ ลวั จะเสยี หนา้ จงึ ออกปา่ ลา่ สตั วต์ ามลา� พงั เกดิ หลงปา่ ขน้ึ หา ทางกลับวงั ไมไ่ ด้ ในทีส่ ดุ ก็ถูกคนปา่ จบั ตัวไป คนป่าเหล่านัน้ โหดรา้ ย กินไมเ่ ลือก แม้แต่มนุษย์ก็กินได้ เมื่อจับพระราชาไปแล้วก็ต้มน้�าเตรียมท่ีจะเอาพระราชาลง ต้ม

พระราชาทรงตกพระทัยมากกับสิ่งท่ีจะเกิดขึ้น ทรงระลึกถึงความดีของ อ�ามาตยผ์ ใู้ กลช้ ดิ เพราะถา้ อา� มาตย์นั้นมาดว้ ยกจ็ ะไม่เกดิ เหตุเช่นนี้ กอ่ นทีค่ นปา่ จะจบั พระราชาลงหม้อนัน้ ใครคนใดคนหน่งึ ในพวกคนปา่ นัน้ ก็พูดข้นึ วา่ “กอ่ นจะ ตม้ มนั พวกเราเอาไอห้ มอนี่ไปใหห้ ัวหนา้ ดูตัวกอ่ นดีไหม?”

ทกุ คนเหน็ ดว้ ย จงึ หว้ิ พระราชาไปใหห้ วั หนา้ ดตู วั หวั หนา้ คนปา่ ไดเ้ หน็ แลว้ ก็พอใจ แตพ่ อสา� รวจเนื้อตัวโดยละเอยี ดแลว้ กอ็ ทุ านวา่ “เฮ้ย พวกเรา ไอห้ มอ นกี่ นิ ไมไ่ ด้ มันเปน็ คนอัปรยี ์ เหน็ ไหมน้วิ หัวแม่มอื ขา้ งหนึ่งของมันขาด”

เพราะความทน่ี วิ้ หวั แมม่ อื ขาดนีเ้ อง พระราชาจงึ รอดตาย ทรงหาทางออก จากป่ามาไดอ้ ยา่ งยากล�าบาก หลงั จากกลบั ถึงวัง พักผอ่ นพระองค์จนสบายดแี ล้ว จึงเสด็จไปเยี่ยมอ�ามาตย์ผู้ใกล้ชิดที่ขังไว้และเล่าเรื่องที่เกิดข้ึนให้ฟัง จากนั้นตรัส ถามวา่ “ถ้าวนั น้นั เอ็งไปด้วยกค็ งจะดี?”

577

“ไม่ดี พระเจ้าขา้ ” “ไม่ดีอย่างไร ?” “ถา้ ขา้ พระองคไ์ ปด้วย ขา้ พระองคจ์ ะถกู ตม้ พระเจ้าขา้ ” พระราชาถึงกบั ทรงพระสรวล ดว้ ยความพอพระทัย ในที่สดุ พระองค์ทนความ เหงาไมไ่ หว จึงรับสง่ั ให้ปล่อยอ�ามาตยผ์ ใู้ กลช้ ดิ ออกมารบั ใชพ้ ระองคอ์ ยา่ งเดิม เพราะ ถงึ อย่างไรกเ็ ปน็ เพอื่ นคลายเหงาได้ นทิ านเร่ืองนม้ี คี ติสอนว่า สงิ่ ทเ่ี หน็ วา่ เสยี น้ันมกั มีดำอี ยดู่ ำ้วยเสมอ ไม่มีสง่ิ ใดำจะเสยี อย่างเดำยี วโดำยไม่มีดำี อยเู่ ลย หรอื มแี ตด่ ำอี ยา่ งเดำยี วโดำยไมม่ เี สยี อยดู่ ำว้ ย ทกุ อยา่ งมสี องดำา้ น อยทู่ เี่ ราวา่ จะ มองในดำ้านใดำเท่านัน้ มองดำา้ นดำกี ็เห็นดำ้านดำี มองดำ้านเสยี ก็เห็นดำา้ นเสีย การทพี่ ระราชานวิ้ หวั แมม่ อื ขาดำในเรอ่ื งนี้ สว่ นทเี่ สยี กค็ อื ทา� ใหม้ นี วิ้ มอื ไมค่ รบ มือใช้งานไดำ้ไม่เต็มท่ี แต่ในขณะเดำียวกันก็เป็นเหตุให้พระองค์รอดำพ้นจากการถูก ตม้ มาไดำ้ นีค้ อื สว่ นทด่ี ำี ท่านพุทธทาสภกิ ขจุ งึ ประพันธเ์ ปน็ ขอ้ คดิ ำไวว้ ่า

เขามีสว่ นเลวบ้างชา่ งหัวเขา จงเลอื กเอาสง่ิ ดำีเขามอี ยู่ เป็นประโยชน์โลกบา้ งยังนา่ ดำู ส่ิงที่ชั่วอยา่ ไปรขู้ องเขาเลย จะหาคนมดี ำโี ดำยส่วนเดำยี ว อยา่ มัวเทย่ี วคน้ หาสหายเอ๋ย เหมอื นตามหาหนวดำเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยมองแตด่ ำมี คี ุณจริง

นทิ านธรรมสาธก

578

579

ปัญญาพาตวั รอด

“ชีวิตจะปลอดภยั เพราะอาศยั ปญั ญา”

สมยั หน่ึง พระพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ ณ วดั พระเชตวันมหาวหิ าร เมือง สาวตั ถี ทรงปรารภบตุ รของอตุ ตรเศรษฐี ผอู้ อกบวชเพราะเหน็ ความทกุ ขแ์ ละ โทษในการครองเรือน จึงตรสั เลา่ เรอื่ งในอดตี วา่

ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธสิ ตั ว์ได้ถือกา� เนดิ เกดิ เป็นนกกระจาบ ครงั้ นน้ั มีนาย พรานคนหนง่ึ เทยี่ วจบั นกกระจาบมาใสก่ รง บา� รงุ ดว้ ยอาหารจนนกอว้ นพี ก็ ขายแกค่ นท่มี าซ้ือไปเปน็ อาหาร

วันหนึง่ เขาจบั ได้นกกระจาบโพธิสัตว์ และนกอ่ืน ๆ อีกจา� นวน มาก น�ามาใส่กรงและใหอ้ าหาร เพือ่ บา� รุงให้นกอ้วนท้วนสมบูรณ์ โดยนก ตวั ใดกนิ อมิ่ มรี ปู รา่ งอว้ นพี กจ็ ะถกู ขายกอ่ นนกตวั อนื่ สว่ นนกทผี่ า่ ยผอมและ แขง็ แรงชา้ จะถูกบา� รงุ ด้วยอาหารต่อเพ่อื ใหอ้ ว้ นพีจะไดข้ ายในภายหลงั

นกกระจาบโพธิสัตว์ เห็นเชน่ นน้ั ก็คดิ วา่ “ถา้ จะกนิ อาหารตามที่นาย พรานให้กนิ ตัวเรากจ็ ะอว้ นพีเหมอื นนกตวั อน่ื และจะถกู ขายแกผ่ มู้ าซ้ือโดย เร็ว อยา่ กระนนั้ เลย เราจกั กนิ อาหารและดืม่ น�า้ เท่าท่ีจ�าเปน็ ตัวเราจะไดไ้ ม่ อว้ น ชวี ติ ก็จะปลอดภยั ”

เม่อื คดิ อยา่ งนแ้ี ล้ว นกกระจาบโพธสิ ัตวก์ ็กินอาหารวนั ละเมด็ สองเม็ด ดื่มน้�านิดหน่ึง เพียงเพ่ือรักษาชีวิตไว้เท่าน้ัน ไม่กินจนอิ่มเหมือนนกตัวอื่น ทา� ให้รา่ งกายซบู ผอม จนไมม่ ีใครอยากได้ ในขณะที่นกอน่ื ๆ ซง่ึ เหน็ แก่กนิ นน้ั มรี า่ งกายอ้วนพี จงึ ถูกนายพรานขายไปหมด

วนั หน่ึง นายพรานคิดจะตรวจดนู กกระจาบโพธิสตั ว์ จงึ นา� ออกจากกรง และวางไวด้ า้ นนอกโดยไม่ทนั ระวังตัว เพราะคิดว่านกปว่ ยคงไมส่ ามารถบนิ หนไี ปได้ นกกระจาบโพธิสตั ว์ฉวยโอกาสท่ีนายพรานเผลอ จึงรวบรวมก�าลัง

580

ท่ีมีอย่บู นิ หนอี อกจากทน่ี ้ันอย่างรวดเร็ว แลว้ มุง่ หน้าสู่ที่อยขู่ องตน เมื่อกลบั ไปถึงทอ่ี ย่เู ดิม บรรดานกทง้ั หลายสงสยั ว่ารอดพน้ จากเงอ้ื มมือของนายพราน ไดอ้ ยา่ งไร จึงสอบถามความเปน็ ไปนกกระจาบโพธิสตั วก์ ลา่ ววา่

“คนเรา ถ้าไมร่ ูจ้ ักคิดใครค่ รวญ ไม่รู้จกั ใชป้ ัญญา ก็ยอ่ มไมป่ ระสบผล สงู สุด เรารอดพ้นจากการถกู ฆา่ และจองจา� มาได้ กเ็ พราะรู้จักคดิ ใครค่ รวญ และรูจ้ กั ใชป้ ญั ญาหาทางรอดนั่นเอง”

พระพุทธเจา้ ทรงประชุมชาดกวา่ นกกระจาบโพธสิ ัตวใ์ นครัง้ นัน้ ไดม้ า เสวยพระชาตเิ ป็นพระองค์ ในบดั นี้

ชาดกเรือ่ งนใี้ ห้ขอ้ คดิ ว่า เมือ่ เกิดำวกิ ฤติในชวี ติ คนเฉลยี วฉลาดำมักเอาตัวรอดำไดำเ้ สมอ เพราะ มปี ญั ญารจู้ กั วธิ แี กป้ ญั หาทเ่ี กดิ ำขน้ึ ขณะทค่ี นโงเ่ ขลา ไมม่ คี วามเฉลยี วฉลาดำ เพราะขาดำปัญญา ย่อมจะประสบกบั ความวบิ ตั ิ ปญั ญา คอื ความเฉลยี วฉลาดำ จงึ เปน็ สงิ่ จา� เปน็ สา� หรบั ชวี ติ ปญั ญานนั้ มิใช่ใช้เพ่ือพินิจพิจารณาให้ชีวิตอยู่รอดำเท่าน้ัน แต่เพื่อพัฒนาชีวิตให้เจริญ สงู สดุ ำในทกุ ๆ ดำา้ น ทงั้ ในดำา้ นรา่ งกาย จติ ใจ ตลอดำจนคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ท่ที �าใหพ้ น้ ทุกข์และประสบสขุ ท่ยี ั่งยนื ดำ้วยเหตุที่ปัญญามีความจ�าเป็นต่อการดำ�าเนินชีวิตอย่างนี้ ท่านจึง ยกยอ่ งปญั ญาวา่ สุโข ปญฺ ญาปฏิลาโภ แปลวา่ ความไดำ้ปัญญา ใหเ้ กดิ ำสุข ปญฺ ญาชีวี ชีวิตมาหุ เสฏฺ � แปลว่า ปราชญ์กล่าวชวี ิตของผเู้ ปน็ อยดู่ ำว้ ยปญั ญาวา่ ประเสรฐิ สดุ ำ

(วัฏฏกชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หนา้ ๓๔๓)

581

582

รอดตายเพราะธรรม

“คนขยัน แกล้วกล้า เฉลียวฉลาด

ทา� ให้รอดชีวิตจากศตั รูได”้

ในอดีตกาล ครัง้ พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบตั อิ ยใู่ นกรงุ พาราณสี มีลิงฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ที่หิมวันตประเทศ ในหมู่ลิงเหล่านั้น มีจ่าฝูงตัวหน่ึง ปกครอง จ่าฝูงนน้ั กลวั วา่ ลกู ลงิ เพศผทู้ ่เี จรญิ วยั มีก�าลงั สามารถแล้ว จะแยง่ ความเป็นจ่าฝูงของตนไป จงึ กดั อวัยวะเพศของลกู ลิงเหล่าน้ันใหใ้ ช้การไมไ่ ด้ เพอ่ื ไม่ให้มกี า� ลังในฝงู ต่อไป

ตอ่ มา มนี างลงิ ตวั หนง่ึ ตงั้ ครรภ์ ซงึ่ เปน็ ครรภพ์ ระโพธสิ ตั วท์ มี่ าอบุ ตั ใิ น กา� เนดิ ลงิ นางลงิ เกดิ ความหว่ งลกู ในครรภ์ เกรงวา่ เมอ่ื คลอดออกมาเปน็ เพศ ผแู้ ลว้ จะถกู จ่าฝงู กดั ทา� ลายอวยั วะเพศให้ใชก้ ารไมไ่ ด้ จงึ อุ้มครรภ์หนีออก จากฝงู ไปอยู่ท่ีเชิงเขาแห่งหนง่ึ เม่ือออกลูกแลว้ ก็เลยี้ งดอู ยา่ งดี จนเจรญิ วยั มีความรคู้ วามสามารถ

อยมู่ าวนั หนงึ่ ลกู ลงิ ไดถ้ ามถงึ พอ่ แมล่ งิ จงึ บอกความจรงิ และเหตทุ หี่ นี มาอยอู่ ีกทีห่ นง่ึ ใหล้ กู ทราบ ลูกลงิ จงึ ขอร้องแมใ่ ห้พาไปหาพ่อ วนั หนงึ่ แม่ ลงิ จึงพาลูกลงิ ไปหาพ่อท่เี ป็นจา่ ฝงู ฝา่ ยพ่อลงิ พอเหน็ ลกู ลงิ ก็เกิดความกลัว ว่าจะมาแยง่ จา่ ฝูงของตน ครนั้ จะกัดท�าลายอวยั วะเพศก็ทา� ไมไ่ ด้ เพราะลกู ลงิ โตแลว้ จึงคดิ หาวธิ ที จ่ี ะฆ่าให้ตาย เบื้องตน้ ก็แสดงอาการท�าทเี ป็นรกั ใคร่ เรียกมาสวมกอด โดยคิดว่าจะกอดรัดให้แน่นจนหายใจไม่ออกให้มันตาย คาอก แตล่ ูกลิงนัน้ รทู้ นั จงึ กอดตอบให้แน่นและแรงย่งิ กวา่ พอ่ ลงิ จึงตอ้ ง ยอมปล่อย เพราะสกู้ า� ลงั ของลกู ลิงไมไ่ ด้

เมื่อท�าอุบายสวมกอดให้ตายไม่ส�าเร็จ จึงคิดหาวิธีอื่นที่จะฆ่าให้ตาย ต่อไป คิดไดว้ ่าในที่ไม่ไกลจากทน่ี ้นี ัก มสี ระน�้าแห่งหนง่ึ ที่มีดอกบวั งอกงาม อยู่ แตว่ ่าภายในสระที่น้�าทว่ มถึง เปน็ อาณาเขตของผีเส้ือน�้า ใครกล�้ากราย ลงไปจะถกู ผีเสื้อน�้าจับกินเป็นอาหาร จึงออกอุบายใหล้ กู ลงิ ไปเก็บดอกบัว

583

ดังกลา่ ว เพ่ือจะได้ถกู ผเี สอ้ื น�้าจับกิน โดยบอกว่าถ้า เก็บดอกไม้เหล่าน้ไี ปให”้ ท�าส�าเรจ็ จะมอบตา� แหน่งจ่าฝูงให้ แต่ต้องเกบ็ ให้ได้ ผเี ส้อื น�า้ ได้ฟงั แลว้ ก็คดิ ว่า “เราไม่สมควรใหล้ ิง ๓ ชนิด คอื ดอกโกมทุ ๒ ดอก ดอกอุบล ๓ ดอก และดอกปทุม ๕ ดอก ท่ีดีสุดเช่นนี้น�าดอกไม้ไปเอง เราควรน�าไปจะดี กว่า”จากน้ันก็ช่วยถือดอกบัวเดินตามหลังพระ ลิงพระโพธิสัตว์รับค�าแล้วไปที่สระน�้าแห่งน้ัน โพธสิ ัตวไ์ ป เมื่อพญาลงิ เหน็ พระโพธิสตั วย์ ังมีชวี ิต พจิ ารณาโดยรอบขอบสระ เห็นมแี ตร่ อยเท้าเดนิ ลง ก็เกิดความเสียใจท่ีความประสงค์ของตนไร้ผล ถึง ไปในสระ แต่ไมม่ รี อยเทา้ ข้ึน จึงเกดิ ความสงสยั วา่ หัวใจแตกออกเปน็ ๗ เสยี่ งและเสยี ชวี ิตลงตรงนน้ั ท�าไมหนอมีแต่คนเดินลง ไม่มีคนเดินข้ึนเลย ชะรอยจะมอี นั ตรายอยใู่ นสระนา้� แหง่ นเ้ี ปน็ แน่ สระ เมอ่ื เปน็ ดงั นนั้ พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ไดร้ บั การยกยอ่ ง นา�้ แหง่ นค้ี งเปน็ อาณาเขตของผเี สอื้ นา้� บดิ าตอ้ งการ ให้เปน็ พญาลงิ ปกครองฝูงต่อไป ให้ผีเสื้อน้�าในสระน้�านี้จับเรากินเป็นแน่ จึงใช้ให้มา เก็บดอกบัวข้ึน แม้จะพิจารณาเห็นอันตรายถึงแก่ นิทานชาดกเร่อื งนี้ มขี อ้ คุณธรรมท่ีท�าใหพ้ ระ ชีวิตดังน้ี ก็ไม่เป็นเหตุให้ย่อท้อลังเล มุ่งปฏิบัติกิจ โพธิสัตว์รอดพ้นจากอันตราย อันเป็นศัตรูของชีวิต ของตนให้ส�าเร็จ คือเก็บดอกบัวใหไ้ ดต้ ามท่บี ิดาส่ัง อยู่ ๒ ตอน คอื

ธรรมดาผีเสือ้ น้า� มีอา� นาจเฉพาะในนา้� ผทู้ ล่ี ง ตอนแรก ทพี่ ระโพธสิ ตั วร์ อดำพน้ จากอนั ตราย ไปในน�า้ เท่าน้นั ทีผ่ เี สือ้ นา�้ สามารถจบั กินได้ ถา้ ไมล่ ง ถึงชีวิต เพราะถูกกอดำรัดำจากลิงผู้เป็นบิดำาไดำ้ ก็ ไปในนา้� อยแู่ ตบ่ นบก ผเี สอื้ นา�้ กไ็ มส่ ามารถจะจบั กนิ ดำ้วยมีสุขภาพพลานามัยและพละก�าลังที่สมบูรณ์ ได้ เพราะไม่ใช่อาณาเขตของตน พระโพธิสัตว์ หากขาดำสิ่งน้ีก็ย่อมจะประสบอันตรายถึงชีวิตไดำ้ พิจารณาเห็นดังนี้ จงึ ไม่ยา่ งกรายลงไปในนา�้ เดนิ ไป เพราะฉะนั้น สุขภาพพลานามยั และพละกา� ลัง ก็ มาเฉพาะแต่ในบริเวณขอบสระ พิจารณาเลือก เป็นคุณที่สา� คญั ประการหนึง่ ดอกบวั ทอ่ี ยใู่ กลฝ้ ง่ั ทสี่ ามารถยนื อยบู่ นบกแลว้ เออ้ื ม มอื ไปเกบ็ ได้ เมอ่ื เกบ็ ไดต้ ามตอ้ งการแลว้ กว็ างไวบ้ น ตอนทส่ี อง เปน็ คณุ ธรรมทช่ี ว่ ยใหร้ อดำพน้ ศตั รู ขอบสระ ขณะทกี่ า� ลงั รวบรวมดอกบวั ทวี่ างไวบ้ นขอบ ไดำ้ คณุ ธรรมดำงั กลา่ วมี ๓ ประการ ตามทผี่ เี ส้ือนา้� สระเพอ่ื น�าไปให้บิดานั้น ผีเส้อื นา้� ท่ีเหน็ ความฉลาด กลา่ วไว้ คอื ทกั ขยิ ะ ความขยนั สรู ยิ ะ ความแกลว้ ของพระโพธสิ ตั วม์ าโดยตลอด กเ็ กดิ ความนบั ถอื จงึ กลา้ และปญั ญา ความรทู้ วั่ ถงึ อบุ ายทงั้ ปวง ขึ้นมาจากสระน�า้ แล้วกลา่ ววา่ เพราะฉะนนั้ เพอ่ื ความสขุ สวสั ดำใี นการดำา� เนนิ “ขา้ แตพ่ ญาวานร ผใู้ ดำมคี ณุ ธรรม ๓ ประการ ชวี ิต พงึ สร้างสขุ ภาพพลานามยั ความขยัน ความ คือ ทกั ขยิ ะ ความขยนั ๑ สรู ยิ ะ ความแกลว้ กลา้ แกล้ากล้า และความรู้ทั่วถึงอุบายทั้งปวง ให้เกดิ ำ ๑ ปญั ญา ความรทู้ ว่ั ถงึ อบุ ายทงั้ ปวง ๑ ผนู้ น้ั ยอ่ ม แก่ตนดำว้ ยความไม่ประมาทเถิดำ ลว่ งพ้นศัตรไู ดำ้เหมือนกับท่าน” (ตโยธรรมชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย คร้ันกล่าวจบจงึ ถามพระโพธิสัตวว์ า่ “ท่านนา� ดอกไมเ้ หลา่ นไ้ี ปเพอื่ ทา� อะไร?”พระโพธสิ ตั วต์ อบวา่ ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๙ หน้า ๗๘) “บิดาของเราตอ้ งการจะใหเ้ ราเป็นจา่ ฝงู จึงใหเ้ รามา

584

585

อยา่ ผัดวนั ประกนั พรุง่

“กาลเวลาย่อมกลืนกนิ สรรพสัตว์

พรอ้ มกบั ตวั มันเอง”

ครง้ั หนงึ่ พระบรมศาสดาประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั มหาวหิ าร เมอื ง สาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ ๒ รูป ซึ่งชอบผัดวันประกันพรุ่งเพราะความ เกยี จครา้ น ตรสั กบั ภกิ ษทุ งั้ หลายวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มใิ ชแ่ ตใ่ นบดั ำนเ้ี ทา่ นน้ั ที่ภกิ ษุทงั้ สองนนั้ เปน็ ผูเ้ กียจคร้าน แม้ในกาลก่อน ก็เป็นผ้เู กยี จคร้าน มี ความอาลัย หว่ งใยในทอี่ ย่”ู ดังน้ีแลว้ ตรัสเร่ืองในอดตี ว่า

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี มีปลา ๓ ตวั อาศัยอยใู่ นปา่ แห่งหนึ่ง ห่างไกลจากท่ีอยู่ของมนษุ ย์ ปลาทง้ั ๓ ตัวนน้ั มีชอื่ ว่า พหจุ นิ ตี ๑ อัปปจินตี ๑ และมิตจนิ ตี ๑

วันหน่งึ ทงั้ ๓ ตัวไดพ้ ากนั วา่ ยน้�าออกจากป่ามาสถู่ ิ่นทีอ่ ยูข่ องมนษุ ย์ ปลามิตจินตี ไดก้ ล่าวกบั ปลาพหจุ นิ ตีและอัปปจนิ ตวี า่ “ธรรมดาถ่ินท่อี ย่ขู อง มนษุ ย์ เต็มไปดว้ ยอนั ตราย มภี ยั รอบด้าน พวกชาวประมงชอบวางข่ายและ ดกั ไซไว้เพือ่ จบั ปลา พวกเรากลับเขา้ ป่าตามเดิมเถอะ”

ปลาพหจุ ินตแี ละปลาอปั ปจินตี ซงึ่ ขเี้ กียจท่จี ะกลบั เข้าปา่ เพราะติดใจ ในเหยี่อกลา่ วว่า “พวกเราจะกลับวันนี้ หรืออย่างชา้ พร่งุ น”้ี ดังน้ีแล้ว ก็ไม่ ยอมกลบั จนเวลาลว่ งไปถึง ๓ เดือน คร้งั น้นั พวกชาวประมงพากันวางข่าย ในแม่น้า� ที่ปลาท้งั สามอาศัยอยู่ ปลาพหุจนิ ตแี ละปลาอัปปจนิ ตี คดิ จะออก ไปหาอาหารจงึ พากนั วา่ ยไปตามแมน่ า�้ ไมท่ นั ไดส้ งั เกตกลนิ่ ขา่ ยทชี่ าวประมง วางไว้ จงึ ตกเขา้ ไปในทอ้ งขา่ ยทนั ที

ปลามติ จนิ ตวี า่ ยตามมาขา้ งหลงั สงั เกตกลนิ่ ขา่ ยในนา้� ได้ และรวู้ า่ ปลา ทง้ั สองไดเ้ ขา้ ไปในทอ้ งขา่ ยเสยี แลว้ จงึ คดิ ทจ่ี กั ชว่ ยเหลอื ปลาทง้ั สอง จงึ แสดง อาการลวงใหช้ าวประมงเข้าใจว่าข่ายขาดปลาหนีไปได้ ด้วยการกระโดดขา้ ม ข่ายไปมา

586

พวกชาวประมงเขา้ ใจวา่ ขา่ ยขาด จงึ ยกข้นึ เพ่ือตรวจดู ปลาทั้งสองจงึ หนรี อดออกมาได้

พระบรมศาสดาทรงประชมุ ชาดกว่า ปลาพหุจินตแี ละปลาอปั ปจนิ ตี ใน ครัง้ นนั้ ไดม้ าเปน็ ภิกษุ ๒ รปู ในบัดนี้ สว่ นปลามิตจนิ ตี ได้มาเสวยพระชาติ เป็นเราตถาคต ฉะนีแ้ ล

ชาดกเร่ืองนใี้ ห้ขอ้ คดิ ว่า การผดั ำวนั ประกนั พรงุ่ คอื เลอื่ นกา� หนดำเวลาออกไปเรอ่ื ย ๆ ทา� ใหเ้ สยี ประโยชนไ์ ดำ้ เชน่ ทา� ใหโ้ อกาสทจ่ี ะหาทรพั ยเ์ กดิ ำสะดำดุ ำขดั ำขอ้ ง ทา� ใหเ้ ปน็ คน ขาดำความน่าเชือ่ ถือ เพราะมองวา่ เปน็ คนเหลาะแหละ ไม่มีความเดำด็ ำเดำยี่ ว จรงิ จัง เพราะฉะนั้น ผ้หู วังความความส�าเร็จในชวี ิต พึงตระหนักว่าการผดั ำ วนั ประกนั พรงุ่ เปน็ ส่งิ ทีไ่ ม่ดำี เม่ือไม่ดำีก็ไม่ควรประพฤติ กิจอันใดำทีต่ นรบั ผดิ ำ ชอบมีอยู่ กค็ วรรบี ทา� กิจอันน้ันเสยี ให้ทันเวลา ตรงเวลา และเหมาะสมกบั เวลา ผใู้ ดำทา� กจิ ทต่ี นรบั ผดิ ำชอบไดำท้ นั เวลา ตรงเวลา และเหมาะสมกบั เวลา ไมย่ อมผดั ำวนั ประกนั พรงุ่ ใหผ้ ดิ ำจากเวลาทก่ี า� หนดำไว้ ผนู้ น้ั นอกจากนา� ชวี ติ พน้ จากความเส่ือมแลว้ ยังมโี อกาสพบกับความกา้ วหนา้ มากกวา่ คนอ่ืน ๆ อีกดำว้ ย เพราะสามารถใชเ้ วลาให้เกดิ ำประโยชน์อยา่ งเต็มท่ี ไดำ้ชือ่ ว่าเปน็ ผู้ ไม่ถูกเวลากลืนกินฝ่ายเดำียว แต่เป็นผู้กลืนกินเวลาดำ้วย เนื่องจากท�า ประโยชน์ตนและประโยชน์บุคคลอ่ืนไดำ้ทันเวลา ตรงเวลา และเหมาะสม กบั เวลานั่นเอง

(มิตจนิ ตีชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หนา้ ๓๓๑)

587

588

อย่าดแี ตส่ อนคนอื่น

“สอนคนอื่นเช่นไร พึงทา� ตวั เช่นนนั้ ”

คร้ังหน่ึง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร เมอื งสาวตั ถี ทรงปรารภภกิ ษุณรี ูปหนง่ึ ท่ชี อบพร�า่ สอนคนอืน่ แตต่ ัวเองไม่ ปฏิบัติตามท่สี อนเขา ตรัสแกภ่ ิกษุท้ังหลายว่า

“ภกิ ษุท้ังหลาย มใิ ช่แต่ในบดั ำนีเ้ ท่าน้นั แม้ในกาลก่อน ภิกษณุ รี ปู นน้ั ก็เอาแตส่ ัง่ สอนคนอื่น แตต่ นเองไม่ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ต้องเสวยทุกข์ ตลอดำกาลเปน็ นติ ย์ทเี ดำียว” แล้วทรงน�าเร่อื งในอดีตมาแสดงดงั น้ีว่า

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธสิ ตั วบ์ งั เกดิ เปน็ นกปา่ เมอ่ื เจรญิ เตบิ โตสมควรแกว่ ยั แลว้ ก็ได้รับต�าแหน่งเป็นจ่าฝูง มีนกหลายร้อยตัวเป็นบริวาร อาศัยในป่า หิมพานต์ ในขณะนนั้ มนี างนกจัณฑาลตัวหน่ึง ชอบบินออกไปหากินใน ป่าลึกตามล�าพัง นางนกจัณฑาลนั้นได้กินเมล็ดข้าวเปลือกและถ่ัวเป็นต้น ทห่ี ลน่ จากเกวยี นชาวบา้ นในทางสญั จรไปมาของเกวยี นทง้ั หลาย กต็ ดิ ใจใน รสอาหาร ไมอ่ ยากใหน้ กตวั อืน่ มาแยง่ กิน จึงคดิ ว่า

“ตั้งแตน่ ไี้ ป เราจักหาวิธกี ารไม่ให้นกตวั อื่นมาหากินบริเวณน”้ี ดงั น้ี แล้ว กลา่ วแกฝ่ งู นกวา่ “ข้ึนชื่อว่าทางสัญจรไปมาในป่าลึก มอี ันตรายรอบ ดา้ น ฝูงสัตวใ์ หญ่ๆ เช่น ช้าง ม้า และยวดยานพาหนะทเี่ ทยี มด้วยโคดๆุ ย่อมจะผ่านไปมาในทางน้ัน ถา้ ไมม่ คี วามสามารถจะโผบนิ ได้ทนั กอ็ ยา่ ไป ในทีน่ ้นั เลย”

ฝูงนกทั้งหลาย ต้งั ช่ือให้นางนกจัณฑาลนัน้ ว่า “อนุสาสิกา” ซง่ึ แปล วา่ นางนกผู้ชอบพร�่าสอน

วนั หนง่ึ นางนกจัณฑาลนนั้ ได้บนิ ไปหากินในป่าลึกเหมือนเชน่ เคย ระหวา่ งหากินข้าวเปลอื กและถ่วั ในทางเกวยี น นางได้ยินเสยี งยานแล่นมา

589

ดว้ ยความเรว็ สงู กเ็ หลยี วไปดู คดิ วา่ ยงั อยหู่ า่ งไกลจากตน จงึ หากนิ ขา้ วเปลอื ก และถวั่ ไปเรอื่ ยๆ ดว้ ยความเอรด็ อรอ่ ย ในทสี่ ุดยานก็พลันแลน่ มาถึงตวั นาง อย่างรวดเร็ว นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน ล้อยานจึงทับร่างนางขาดเป็นสอง ท่อน นอนตายตรงทเี่ กดิ เหตุน้ันเอง

ในเวลาเยน็ นกโพธสิ ตั วผ์ เู้ ปน็ จา่ ฝงู จงึ เรยี กประชมุ ฝงู นกเพอื่ ตรวจสอบ บรวิ าร เมอื่ ไม่เห็นนางนกจัณฑาล จึงส่ังให้บริวารชว่ ยกนั ค้นหา และไปพบ รา่ งนางขาดเปน็ สองท่อนในทางเกวยี น

นกโพธิสตั ว์ผจู้ ่าฝงู จึงกลา่ วกับบรวิ ารของตนว่า “นางนกจณั ฑาลนี้ คอยห้ามแตน่ กอ่ืนๆ ไมใ่ หไ้ ปทีน่ ัน่ ทน่ี ี่ แต่ตนเอง กลบั บนิ ไปทกุ ทท่ี หี่ า้ มเขา เพราะความละโมบ เหน็ แกก่ นิ เพราะฉะนน้ั นาง จึงถกู เกวียนทับร่างขาดเป็นสองท่อน” พระบรมศาสดา คร้ันตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นางนก จณั ฑาลในครั้งน้ัน ไดม้ าเกดิ เป็นภกิ ษณุ ีผู้ชอบพร่�าสอนคนอ่ืนในบดั น้ี สว่ น นกโพธสิ ตั ว์ผู้จา่ ฝูง ไดม้ าเปน็ เราตถาคต ฉะนี้แล ชาดกเรือ่ งนีส้ อนให้ร้วู า่ บุคคลท่ชี อบสอนคนอนื่ นั้น เมอ่ื สอนและแนะน�าเขาอยา่ งไร ก็ควร ปฏบิ ัติตนใหเ้ หมอื นกับทส่ี อนเขา ผู้ปฏิบัติตนอยา่ งทส่ี อนเขาไดำ้ ยอ่ มไดำ้ ช่ือว่าเป็นแบบอย่างที่ดำี คนอื่นฟังแล้วก็เกิดำศรัทธาที่จะปฏิบัติตาม เพ่ือ ความเจรญิ ทจ่ี ะเกดิ ำแกต่ น เหมอื นเกดิ ำแกผ่ พู้ รา�่ สอนนน้ั อยา่ งไรกต็ าม ถา้ จะใหด้ ำีจรงิ ๆ บคุ คลท่จี ะสอนเขา ควรมีการฝึกตนมากอ่ น จนประจักษช์ ดั ำ วา่ แนวทางทีแ่ นะน�าเขาน้ัน เป็นไปเพ่ือความสขุ ความเจรญิ อยา่ งแท้จรงิ สา� หรบั แนวทางการฝกึ ตนเพอื่ ความสขุ ความเจรญิ นนั้ ควรเนน้ การ ฝึกในส่ิงสา� คัญ ๕ อย่าง คือ กาย วาจา ใจ ปัญญา และสติ ซง่ึ เปน็ ของดำี ประจา� ตวั โดำยฝกึ กายวาจาดำว้ ยศลี ฝกึ ใจดำว้ ยสมาธิ และใชป้ ญั ญากบั สติ ในการดำ�าเนินกายวาจาให้ถูกต้องตามศีลและสมาธินั้น ผู้ฝึกไดำ้อย่างนี้ รับรองวา่ ประสบกับความเจริญอยา่ งแนน่ อน

(อนุสาสกิ ชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๓๓๔)

590

591

สองสหายแสวงโชค

“ผู้ใดรูจ้ ักเลือกสิ่งทเี่ ปน็ ประโยชน์

ผู้นนั้ ย่อมประสบความเจรญิ ”

มเี รื่องเลา่ ว่า สหาย ๒ คน รักใครช่ อบพอกันตงั้ แต่เดก็ จนเติบใหญ่ มคี รอบครวั กนั แลว้ ทง้ั คกู่ ย็ งั รกั กนั อยา่ งเหนยี วแนน่ ไปมาหาสกู่ นั ไมข่ าดสาย มีอะไรก็เผ่ือแผ่แบ่งปนั กนั แต่แมจ้ ะรักใครก่ นั มานานแค่ไหน ท้งั ๒ กม็ ีบาง ส่ิงบางอย่างที่ต่างกัน โดยเฉพาะในเรื่องการตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ท้งั ๒ คนแตกต่างกนั มาก

วันหนึ่ง สหายท้งั ๒ ปรึกษากันทีจ่ ะไปทา� มาหากินในทีอ่ ่ืน เพือ่ ปาก ท้องของบุคคลในครอบครัว เพราะถ้าท�าแตง่ านในไร่ในนากค็ งไมม่ ีทางสรา้ ง ครอบครวั ได้ เนื่องจากบางปีฝนตกดี การเพาะปลูกกไ็ ดผ้ ล บางปีฝนไมต่ ก ตามฤดูกาล การเพาะปลกู กเ็ สียหาย คดิ ไปคดิ มาท้ัง ๒ ก็เลยชวนกนั ไป ทา� งานตา่ งถนิ่

“สหาย ถา้ ปนี ้ีฝนไมต่ ก เราลองไปเสย่ี งโชคทอ่ี น่ื ดูไหม?” สหายคน ทห่ี น่ึงกลา่ ว

“เรากค็ ดิ อย่างนั้นเหมือนกนั รอดูสกั ระยะหนงึ่ คอ่ ยตดั สนิ ใจ” สหาย อกี คนตอบ

หลงั จากเข้าฤดฝู นแลว้ แตฝ่ นไมต่ ก ทงั้ ๒ จึงชวนกนั ไปหาทรพั ย์ ณ ชนบทแหง่ หน่ึง ระหวา่ งทางได้ไปพบปา่ นท่ีไม่มีเจา้ ของ ท้งั ๒ จงึ ช่วยกนั เก็บปา่ นนนั้ แลว้ หอ่ มดั แบกเดินไป พอแบกป่านเดนิ ทางไปสกั พกั หนงึ่ ทงั้ ๒ กไ็ ปเหน็ ด้ายทเี่ ขากรอจากปา่ น พวกเขาครุ่นคดิ กนั อยพู่ กั หนงึ่ ความคิด เห็นก็แตกตา่ งกนั

คนหนึง่ เหน็ ว่า ดา้ ยมีราคากว่าปา่ น ก็ทงิ้ ปา่ นท่แี บกมาน้ันแล้วหอ่ ด้าย ไป ส่วนอกี คนไม่ยอมทิ้งป่าน เพราะถอื วา่ ได้แบกมาแต่ไกลแลว้ ผูกมัดไว้ ดแี ลว้ ทง้ั ๒ จงึ ต่างคนต่างทา� ไปตามความคดิ ของตนเอง โดยไม่ไดท้ ะเลาะ อะไรกัน

592

โดยทา� นองนี้ สองสหายได้เดนิ ทางไปพบผา้ เปลอื กไม้ ผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดบี ุก ตะก่วั เงนิ ทอง เม่อื พบของแตล่ ะอย่าง ๆ คนหนึ่งกท็ งิ้ ของเก่าทีแ่ บกมา ถือ เอาของใหม่ท่ีมีราคากว่า ส่วนอีกคนยังคิดแบบเดิม จึงไม่ยอมท้ิงป่านที่แบกมา ตั้งแตแ่ รก เพราะคดิ แต่เพียงว่าไดแ้ บกมาไกลแลว้ ผูกมดั ไว้ดแี ลว้

เม่ือกลบั ไปถึงบา้ น พ่อแม่บุตรภรรยาและเพื่อนฝงู ของคนทแ่ี บกหอ่ ปา่ นมา ก็ไม่แสดงความชื่นชม เพราะเห็นว่าป่านเป็นของไม่มีราคา เขาจึงไม่ได้รับความ สุขโสมนสั ท่ีเกดิ จากหอ่ ปานนน้ั เลย ส่วนพ่อแม่บุตรภรรยาและเพื่อนฝงู ของคนที่ แบกทองมาล้วนแต่แสดงความชน่ื ชม เพราะเห็นวา่ ทองเปน็ ของมคี ่ามีราคา เขา จึงได้รับความสขุ โสมนัสทเ่ี กดิ จากห่อทองนั้น

เรือ่ งนมี้ คี ติสอนใจว่า สหายผแู้ บกหอ่ ทองกลบั บา้ น เพราะมสี มั ปชญั ญะรวู้ า่ อะไรคอื ประโยชน์ ทแ่ี ทจ้ รงิ ทตี่ นปรารถนาในการแสวงโชคครงั้ นนั้ สว่ นสหายอกี คนทแี่ บกหอ่ ปา่ น กลบั บา้ น ทท่ี า� เชน่ นน้ั เพราะขาดำสมั ปชญั ญะ จงึ แบกของทไ่ี มม่ คี า่ กลบั บา้ น ซงึ่ ไมต่ รงกับเจตนาเดำิมที่ตอ้ งการไปแสวงโชค สมั ปชัญญะลกั ษณะน้ีท่านเรียกว่า “สาตถกสมั ปชญั ญะ” คอื ความรชู้ ดั ำวา่ มปี ระโยชน์ กจิ การและสงิ่ ทงั้ ปวงในโลก ยอ่ มระคนปะปนกนั อยู่ ทเี่ ปน็ ประโยชนเ์ ปน็ คณุ กม็ ี ทไ่ี มเ่ ปน็ ประโยชนเ์ ปน็ โทษ ก็มี ทเี่ ปน็ กลาง ๆ ไมเ่ ป็นประโยชน์ ไมเ่ ป็นคุณ ไม่เป็นโทษ กม็ ี ความรู้ชดั ำ คัดำเลือกสิ่งท่ไี มเ่ ปน็ ประโยชน์และเปน็ กลางๆ ออกไปเสีย เอาไวแ้ ต่เฉพาะสิ่ง ทเี่ ปน็ ประโยชนเ์ ปน็ คณุ สว่ นเดำยี วเทา่ นน้ั ทบ่ี คุ คลควรยดึ ำถอื ปฏบิ ตั ใิ นการดำา� เนนิ ชีวิต

พระธรรมเทศนาเรอ่ื ง สติสมั ปชัญญกถา (๑๘ ก.ค. ๒๕๔๗)

593

594

คตชิ วี ิตจากชาดก

โดย สมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท์ พฺรหมฺ คตุ ฺโต)

พิมพโ์ ดยเสด็จพระราชกศุ ล ในการพระราชทานเพลิงศพ สมเดจ็ พระวนั รัต (จนุ ท์ พฺรหฺมคตุ โฺ ต)

๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ จา� นวนพิมพ์ ๒๐๐๐ เล่ม

ผจู้ ดั พมิ พ์ วดั วชิรธรรมาราม ตา� บลบ้านใหม่ อา� เภอมหาราช จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา

ท่ีปรกึ ษา พระราชมนุ ี (ฉลอง ชลติ กิจฺโจ)

คณะผู้จัดทา� พระมหาจรัญ สุจารโณ พระมหาธัชพล คณุ พโล พระมหาจตพุ ล พลญฃาโณ พระมหาจักรธร อตฺถธโร พระมหาปภาวิน อิฏฺฐฃวทิ ู

ศลิ ปกรรมและการออกแบบ ศวสั ศิริพงษ์

ควบคุมการผลิต พจมาลย์ เกียรตธิ ร

รปู ภาพ วิโรจน์ สายดนตรี

พมิ พ์ท่ี บริษทั พิมพด์ ี จ�ากดั ๓๐/๒ หมู่ ๑ ถนนเจษฎาวถิ ี ต�าบลโคกขาม อ�าเภอสมุทรสาคร จังหวัดสมทุ รสาคร

595

596

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง