Green wave club friday fm ม ว นไหน

ช่วงนี้ฝนตกแทบจะทุกวัน! เราก็ต้องมีทริคในการดูแลตัวเองช่วงนี้กันหน่อย ใครอยากรู้วิธีเตรียมพร้อมร่างกายให้ฟิต เคล็ดลับเสริมภูมิคุ้มกันให้เป๊ะ ตามหมอเพื่อนกับพี่เป้ไปหาคำตอบใน EP. นี้กัน . . #เพื่อนเป็นหมอ

GreenWave1065 #หมอเพื่อน #ดีเจโก #หน้าฝน #ไอเท็มเสริมภูมิคุ้มกันหน้าฝน #ดูแลตัวเองช่วงหน้าฝน #สุขภาพ

14 มิ.ย. 2023

มีด้วยหรอ วิตามินกินแล้วผอม ? | EP.22

เอาหละใครหนอใคร ลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่เวิร์คซักที EP. นี้หมอเพื่อนมีตัวช่วยมาให้ทุกคนน วิตามินอะไรน้าากินแล้วผอม กินแล้วช่วยเรื่องเผาผลาญ อยากรู้ไปหาคำตอบใน EP.นี้กันนน

06 มิ.ย. 2023

กินแบบนี้ (เกิร์ด) กรดไหลย้อนแน่! | EP.21

เพิ่งจะรู้เลยนะเนี่ยว่านอกจากการกินแล้วนอนที่ทำให้เป็นเกิดกรดไหลย้อนได้แล้ว มะเขือก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไปกระตุ้นได้เหมือนกัน OMGGG!! เธอแล้วเหนืออื่นใด น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเร็ว นางเป็นอีก 1 ตัวการเหมือนกันน ฮืออออ TT แต่ว่าจะกินเท่าไหร่ หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ถึงเสี่ยง ตามไปดูกันเลยย

COVER NIGHT LIVE

EVENTS

HEALTHY LIFESTYLE

22 ธ.ค. 2023

NEW YEAR GIFT IDEAS ปีใหม่นี้ให้ของขวัญอะไรดี ?

ใกล้จะปีใหม่แล้ว หลาย ๆ คนคงกำลังเตรียมของขวัญกันอยู่ใช่ไหม ไม่ว่าจะให้ผู้ใหญ่ เอาไปจับฉลาก กว่าจะได้แต่ละชิ้นก็เลือกแล้วเลือกอีกว่าจะดีรึเปล่า คนได้ไปจะชอบไหม จะได้ใช้ประโยชน์ไหม วันนี้กรีนเวฟเลยมีไอเดียเลือกของขวัญมาฝาก จะให้ผู้ใหญ่ พ่อแม่ หัวหน้า เพื่อน หรือคนรัก ก็ตอบโจทย์ ดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็นสายไหน ๆ ก็แฮปปี้ วิน ๆ ทั้งผู้ให้และผู้รับ ตามไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้างชุดเครื่องหอมเครื่องหอมสำหรับบ้านถือเป็นของขวัญอีกหนึ่งอย่างที่คนมักจะเลือกซื้อให้กันในช่วงเวลาที่สำคัญรวมถึงปีใหม่ที่จะถึงนี้ด้วย เพราะสามารถช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดี และตอนนี้ก็มีให้เลือกหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นเทียนหอม ก้านไม่หอม เครื่องพ่นไอน้ำ ซึ่งก็จะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านเราได้ นอกจากนี้ในทางวิทยาศาสตร์ยังมีผลวิจัยอีกด้วยว่า เมื่อเราได้กลิ่นเพียงไม่กี่วินาทีประสาทรับกลิ่นจะไปกระตุ้นสมองให้ระบบไร้ท่อหลั่งสารแห่งความสุข เอ็นดอร์ฟิน และ เซโรโทนิน ออกมาช่วยให้คลื่นสมองปรับเข้าสู่ช่วงคลื่นอัลฟ่า ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขNew Year Gift Tricksส่วนจะเลือกกลิ่นแบบไหนผู้ให้ต้องลองสังเกตพฤติกรรมและความชอบของคนที่จะให้ซะก่อน หรืออาจจะดูจากบุคลิกและการแต่งตัวก็ได้ หรือถ้าใครยังเลือกกลิ่นไม่ได้อาจจะลองดูเป็นกลิ่นที่ช่วยเรื่องอารมณ์ ความผ่อนคลาย ก็จะเป็นพวก ลาเวนเดอร์ที่ช่วยให้รู้สึกสงบ คาโมมายด์ ทำให้คลายความกังวล โรสแมรี่ ช่วยลดการปวดศรีษะเพิ่มความจำ หรือถ้าอยากรู้สึกสดชื่น ก็เลือกมิ้นท์ หรือ ซิตรัส ก็ได้นะ ชา / ชุดชงชาเรียกได้ว่ารุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ การได้ดื่มชาร้อน ๆ สักแก้ว ก็ช่วยทำให้ผ่อนคลายได้แล้ว นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกจิตใจสงบสงบ เหมาะแก่การทำเป็นกิจกรรมยามว่าง ช่วยผ่อนคลายสมองและความเครียด และเดี๋ยวนี้ชาก็จะมาเซ็ตพร้อมชุดชงชาที่น่ารักและสวย ถือเป็นของขวัญสำหรับสายรักสุขภาพได้ดีเลยทีเดียว เพราะ ในชาจะมีสารโพลีฟีนอล ที่ช่วยลดโคเลสเตอรอล และยับยั้งการดูดซึมไขมันได้ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อย่างคาเทชิน แซนทีน และมีสารไฟโตเคมีคอลที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงNew Year Gift Tricksแต่ข้อควรระวังก็มีนะ ถ้าใครที่ได้ชาเป็นของขวัญ ต้องระวังไม่ดื่มชาที่เข้มข้นมากจนเกินไป เพราะชามีส่วนผสมของคาเฟอีนถ้าดื่มแบบเข้มข้นมากไปจะได้ทั้งคาเฟอีนและแทนนิลเยอะเกินไป และจะทำให้ท้องผูกได้ส่วนการเลือก หากเลือกชาเป็นใบๆ ควรอ่านฉลากวันเดือนปีที่หมดอายุก่อนทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงความชื้นที่อาจทำให้เกิดเชื้อราอุปกรณ์ออกกำลังกายยุคนี้สุขภาพดีคือสิ่งที่มีค่าที่สุด การให้ของขวัญเป็นอุปกรณ์กีฬา ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าวิ่ง คนที่ได้รับก็จะรู้สึกมีแรงจูงใจในการวิ่ง หรือจะเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายอื่น ๆ ก็น่าสนใจ เพราะเดี๋ยวนี้คนเองก็หันมาดูแลสุขภาพกันเยอะมากขึ้น และอีกหนึ่งสิ่งที่สายออกกำลังกายน่าจะชอบก็คงจะเป็น Smartwatch ที่ไว้ใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ดูสุขภาพโดยรวมของตัวเอง รวมไปถึงป้องกันสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวNew Year Gift Tricksการออกกำลังจะช่วยให้สุขภาพเราดี ภูมิคุ้มกันแข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่อากาศเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว หลาย ๆ คนอาจจะไม่สบาย ก็ต้องค่อยหมั่นเสริมภูมิคุ้มกันซึ่งมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบ ระหว่างคนที่เดินเฉย ๆ กับกับคนที่ออกกำลังกาย 20 นาที 3 วันติดกันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน 2 เท่าแต่ถ้าเราออกกำลังกายหนักจนเกินไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะทุกครั้งที่ออกหนักมากจนเกินไปหัวใจก็จะเต้นเร็ว 180 – 190 ครั้ง / นาที หรือถ้าอยู่ในประมาณ โซน 5 ต่อเนื่องนานเกิน 1 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสเป็นหวัดมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย 6 เท่า เพราะฉะนั้นถ้าออกมากจนเกินไปก็เสี่ยงภูมิตกได้นะจ๊ะเซตจาน / เซตเครื่องครัวเห็นแล้วอดใจไม่ไหว เพราะเดี๋ยวนี้จาน หรือพวกแก้ว น่ารักปุ๊กปิ๊กมาก หรือจะเป็นแบบเรียบหรู แบบมินิมอลก็มีให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นของขวัญเอาใจสายรักการทำอาหารมาก ๆ นอกจากจะใช้งานได้จริงแล้วบางชิ้นอาจจะนำมาตั้งโชว์ได้ด้วย แหม ซื้อเป็นของขวัญแล้วต้องได้ซื้อติดบ้านไว้ด้วยแน่ ๆNew Year Gift Tricksแต่ก็ต้องใช้หรือต้องเลือกวัสดุของภาชนะให้ปลอดภัยและเหมาะกับการใช้งานด้วยนะจานพลาสติก ต้องหลีกเลี่ยงของที่มีความร้อนจัด เพราะอาจทำให้สีหรือสารบางประเภทละลายมาปนกับอาหารซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้จานเมลามีน เหมาะสำหรับใส่อาหารที่อุณหภูมิต่ำกว่า 60๐C เพราะว่าเมลามีนจะปล่อยสาร Formaldehyde ออกมาเมื่อใส่อาหารที่มีอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ซึ่งโครงการพิษวิทยาแห่งชาติจากสหรัฐจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้นเมลามีนจึงไม่สามารถนำเข้าเตาไมโครเวฟได้จานเซรามิก จะมีทั้งแบบกระเบื้อง ที่หาซื้อง่ายและมีราคาไม่แพง แต่ควรระวังจานกระเบื้องที่เคลือบไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกายได้ แบบพอร์ซเลน เซรามิกเนื้อสีขาว ทนทานต่อการกัดกร่อนจากปฏิกิริยาเคมี สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้โดยปลอดภัย หรือแบบโบนไชน่า จะคล้าย ๆ กับพอร์ซเลน ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ดีจานแก้ว ใส่อาหารได้ทุกประเภททั้งร้อนและเย็น เป็นวัสดุที่เป็นกลางต่อปฏิกิริยาเคมีที่สุด ไม่สามารถทนต่อแรงกระทบเท่าวัสดุอื่น ทำให้ตกแตกได้ง่ายต้องระวังในการใช้งานชุดเครื่องนอน / หมอนเพื่อสุขภาพการพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือการนอน เพราะฉะนั้นอีกหนึ่งของขวัญที่น่าซื้อ และรับรองว่าถูกใจคนชอบนอน ดีต่อใจคนปวดคอ ปวดไหล่ ก็คงหนีไม่พ้นชุดเครื่องนอนและหมอนเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ หลายลาย ใครได้ของขวัญชิ้นนี้นอกจากจะได้ใช้งานจริงแล้ว ตอนนอนก็คงคิดถึงหน้าคนให้แน่ ๆ 3New Year Gift Tricksถ้าพูดถึงการนอน โดยปกติคนเราควรนอนให้ได้ 6- 8 ชั่วโมง แต่ถ้าใครที่นอนน้อยกว่านั้นบ่อย ๆ ต้องระวัง เพราะได้มีการศึกษาและวิจัยว่าในคน 1,240 คน พบว่ามีคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง ถึง 47% จะมีอาการของมะเร็งลำไส้ มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชม.ขึ้นไป นอกจากมีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งลำไส้แล้วยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดฝ้าได้อีกด้วยแพ็กเกจสุขภาพให้อะไร ก็ไม่เท่าให้สุขภาพที่ดี หรือการเห็นคนที่เรารักแข็งแรง แพ็กเกจสุขภาพเลยเป็นอีกหนึ่งอย่าง ที่มักจะถูกหรือให้เป็นของขวัญของคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ใหญ่ เพื่อย้ำว่าเราอยากให้พวกเขาแข็งแรงและอยู่กับเราไปนาน ๆNew Year Gift Tricksหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าตรวจสุขภาพปีละครั้งก็เพียงพอแล้ว แต่การทานอาหารของเรา การเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของเราที่เปลี่ยนไปในแต่ละเดือน ซึ่งทุก 3 เดือน ค่าน้ำตาล ค่าไขมันของเราก็เปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะฉะนั้น เราสามารถตรวจได้มากกว่าปีละครั้ง การลงทุนเรื่องสุขภาพยังไงก็ไม่ขาดทุน ร่างกายเราเปรียบเสมือนรถยนต์ ขนาดรถยังต้องเข้าศูนย์เพื่อซ่อม เพื่อดูคุณภาพของอะไหล่ อันไหนไม่ดียังเปลี่ยนได้ แต่อะไหล่สุขภาพของเรามันเปลี่ยนยาก เพราะฉะนั้นการเช็กดูอย่างตลอดเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นยังไงกันบ้างกับของขวัญที่เราลิสต์มาให้นอกจากดีต่อใจแล้วยังดีต่อสุขภาพ และมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพอีกด้วยนะ เพราะไม่ว่าจะปีไหน ๆ การที่เรามีร่างกายที่แข็งแรง ก็จะทำให้คนที่รักเราและเรารักสุขใจ ปีใหม่นี้ถ้ายังไม่มีของขวัญ ก็ลองเลือกจากลิสต์ไปกันได้เลย

19 ธ.ค. 2023

8 อาการ ร่างกายฟ้องว่าคุณกำลัง “ทำงานหนัก”

1.ปวดตาและตาแห้งคนที่ทำงานหนักมักจะมีอารมณ์เครียด ทำให้ตับเสียสมดุล ดวงตาเป็นประตูแห่งตับ เมื่อตับร้อน จะทำให้ปวดตา ตาร้อน และตาแห้งได้นะคะ แพทย์แผนจีนแนะนำให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนแล้วประคบไว้บริเวณดวงตาประมาณ 30 นาทีค่ะ2.เจ็บคอ เสียงแหบการทำงานหนักจะทำให้ใจร้อน เร่งรีบ แล้วร่างกายจะร้อนตามหัวใจไปด้วย คนที่ทำงานหนักมักจะเจ็บคอ หรือเป็นแผลในปากได้ง่าย อันนี้แพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งนะคะ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ค่ะ3.ปวดหัว มึนหัวความเครียด ทำให้ตับขาดสมดุล เมื่อตับขาดสมดุลก็จะเกิดความร้อนที่ตับ ความร้อนมีลักษณะที่พุ่งขึ้น ทำให้รู้สึกปวดหัวหรือมึนหัวได้ง่าย แพทย์แผนจีนแนะนำให้ใช้นิ้วมือนวดด้วยตัวเองบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ท้ายทอย และขมับสัก 30 นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหัวได้ แต่ถ้ามีโอกาสลองไปฝังเข็มดูนะคะ จะทำให้หัวโล่งโปร่งสบายทีเดียว4.กล้ามเนื้อบริเวณไหล่แข็งกว่าปกติอาการนี้เป็นผลจากการนั่งท่าเดียวนานๆ ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี และเกิดการเกร็งบริเวณไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งกว่าปกติ แพทย์แผนจีนแนะนำให้นวด หรือไม่ก็ลองจัดกระดูก ฝังเข็มค่ะ5.รับประทานอาหารมากกว่าปกติภาวะเครียดจะทำให้เรารับประทานอาหารมากเป็นพิเศษ ตามหลักแผนจีนนั้นเมื่อม้ามอ่อนแอจะทำให้ไฟในกระเพาะมากขึ้น ไฟมากก็เผาพลาญแรง พลอยให้กินอาหารไม่อิ่ม และอยากกินเรื่อยๆ ข้อนี้อาจต้องใช้ยาทานเข้าช่วยปรับสมดุลในร่างกายค่ะ6.ความจำลดลงการทำงานหนักจะเผาพลาญพลังของร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วพลังนี้จะมาจากไต พลังไตเป็นพลังที่หล่อเลี้ยงสมอง หากพลังไตโดนใช้ไปหมด พลังไตก็จะขึ้นไม่ถึงสมอง ทำให้ความจำเราลดลง แพทย์แผนจีนแนะนำให้นั่งสมาธิค่ะ ช่วยได้จริงๆ7.หงุดหงิดง่ายหงุดหงิดง่ายอันนี้ปกติค่ะ ใครทำงานหนักแล้วไม่หงุดหงิด นับถือจริงๆ ความหงุดหงิดเกิดมาจากความเครียดที่สะสม อาการนี้ตามหลักแพทย์แผนจีนเรียกว่า 'พลังตับติดขัด' แบบว่ามันแน่นอก ต้องยกออก เป็นบ่อยกับคนที่เครียด วิธีแก้อาจจะต้องปล่อยวาง หรือกินยาปรับสมดุล ลดไฟในตับค่ะ8.ร่างกายรู้สึกเหนื่อยง่ายเหนื่อยง่ายมาจากสาเหตุที่ร่างกายทำงานหนัก ใช้พลังจนหมด ในทางแพทย์แผนจีน เมื่อพูดว่าพลัง ก็คือ'ชี่' เมื่อพลังชี่อ่อนแอ หรือใช้จนหมดก็เหมือนแบตเตอรี่ที่เหลือไฟแค่ขีดเดียว รอเวลาชาร์ต ซึ่งแพทย์แผนจีนแนะนำให้ดื่มชา หรือซุปที่มีส่วนผสมของโสมอเมริกา เพราะสรรพคุณเป็นยาบำรุงพลังและหยิน หรือว่าทานยาปรับสมดุลก็ได้เช่นกันค่ะ มีกันกี่อาการคะ ลองสังเกตตัวเอง หาเวลาพักผ่อน หรือจะเปิด GREEN WAVE ฟังไปด้วยตอนทำงาน ช่วยผ่อนคลายไปในตัวนะคะ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

06 ธ.ค. 2023

ออกกำลังกาย vs ปรับการกิน แบบน้ำหนักลดไวกว่ากัน ?

ตั้งใจจะลดน้ำหนักมาทั้งปี แต่ทำไมน้ำหนักขึ้นอย่างเดียวเลย เป็นกันบ้างไหม พอจะลดน้ำหนักที ไหนจะต้องออกกำลังกาย ไหนจะต้องปรับการกิน คนผลัดวันประกันพรุ่งอย่างเรา ๆ ก็ไม่ได้เริ่มสักที เอาหละ ๆ รอบนี้ต้องจริงจัง ฉันจะต้องมีเอว S ให้ได้! ว่าแต่มันควรจะเริ่มจากการออกกำลังกาย หรือการกินก่อนดีหละ ติ๊กต่อก ๆ ยังคิดไม่ออกใช่มะว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ไม่เป็นไรวันนี้กรีนเวฟไปหาคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว ไปดูกัน!การที่เราจะตั้งใจลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการปรับการกิน จริง ๆ แล้วนั้น เราจะต้องทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกัน แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่อยากน้ำหนักลดได้เร็ว แค่เริ่มต้นด้วยปรับการกิน น้ำหนักก็จะสามารถลงได้เร็ว ประมาณ 10 % ของน้ำหนักตัว เช่น สมมุติหนัก 50 กิโลกรัม 5-10 % ก็จะลดได้ประมาณ 2-5 กิโลกรัมซึ่งจะเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ง่ายกว่าและเหมาะสมกับคนที่ไม่อยากออกกำลังกายเริ่มปรับการกินจากตรงไหนดี ?หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นชิ้นกับคำว่าการนับแคลใช่ไหม แต่เทรนด์ตอนนี้เราเชื่อว่า คุณภาพอาหารสำคัญกว่าแคลอรี่ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการที่จะลดน้ำหนักด้วยการปรับการกินจริง ๆ เราต้องมองที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญ แต่นอกเหนือจากนั้นเรื่องของอาหารก็ต้องมีปรับด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงเย็นเราจะต้องรับคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกายให้น้อยลง ถ้าจะลดการกินก็ควรลดช่วงเย็นนี่แหละ เพราะช่วงเย็นนั้นการเผาผลาญเราจะต่ำเป็นเท่าตัว และถ้าเราจะดูว่าอาหารในแต่ละมื้อเราจะต้องกิน หรือปรับยังบ้าง ที่สำคัญเลยที่จะต้องดูก็คือโปรตีนต้องถึง เพราะ โปรตีนจะเป็นตัวที่ช่วยจูนให้ร่างกายเราเกิดการเผาผลาญได้มากขึ้นคาร์โบไฮเดรตที่กินอยู่อาจจะน้อยลงไฟเบอร์หรือพวกผัก จะเป็นกากใยอาหารที่จะทำให้เราอิ่มได้นานไขมันดี อย่างเช่นพวก อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถ้าใส่เข้าไปได้จะทำให้เรา Burn Fat ได้ดีมากขึ้นทำไมโปรตีนถึงสำคัญกับการลดน้ำหนัก ?สาเหตุที่โปรตีนมีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักก็เพราะ อัตราการเผาผลาญจะมากขึ้นถ้ามีโปรตีนที่ถึงพอ การควบคุมความหิวอิ่ม เช่น ฮอร์โมนที่ชื่อ Leptinถ้าสมมุติช่วงเช้ากับเที่ยง เราทานอาหารที่มีโปรตีนถึงพอ ตอนบ่ายจะไม่ค่อยหิว เพราะ Leptin ออกมา แต่ถ้าเรากินโปรตีนไม่ถึง ช่วงบ่ายอาจจะรู้สึกหิวได้ เพราะ Leptin ไม่ออกมา นอกจากจะให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานแล้วนั้น โปรตีนยังทำให้ภาวะดื้ออินซูลินลดลงดื้ออินซูลิน หมายความว่า การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลเข้าไปจากการกิน ได้ถูกเอาไปใช้ ไม่ถูกสะสมไม่ดื้ออินซูลิน = ความเสี่ยงในเรื่องเบาหวานลดลง การเผาผลาญไขมันในช่องท้องเกิดได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้โปรตีนยังเป็นตัวที่ทำให้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อ เวลาที่เราออกกำลังเราก็ต้องการที่จะสร้างกล้ามเนื้อ สมมุติเวลาที่เราเวทเทรนนิ่ง ในแต่ละเซ็ตที่เราเวทเทรนนิ่งนั้น ใยกล้ามเนื้อมันจะฉีกขาดไปทีละเล็ก ๆ แล้วมันก็จะต้องสร้างใหม่ ซึ่งในขั้นตอนที่มันจะสร้างใยกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่นั้น มันจะต้องการโปรตีนในการโหลดเป็นเส้นใยของกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นโปรตีนเลยเข้าไปช่วยในการซ่อมแซม และทำให้กล้ามเนื้อเยอะขึ้นการคำนวนโปรตีนโปรตีนใน 1 วัน เราสามารถกินตามน้ำหนักตัวได้เลย แต่ถ้าต้องการเพิ่มเวทเทรนนิ่ง หรือต้องการเพิ่มกล้าม ให้เอา 1.2 x น้ำหนักตัว พอได้จำนวนโปรตีนที่ต้องการใน 1 วันแล้ว ก็มาหารจำนวนมื้อเอา ซึ่งโปรตีนที่กำลังบอกอยู่นี้ ไม่ใช่การเอาเนื้อสัตว์ไปชั่ง แล้วนับออกมาเป็นจำนวนกรัม แต่โปรตีนมันคือสิ่งที่อยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู 1 ขีดมี 100 กรัม ใน100 กรัมไม่ได้เป็นโปรตีนไปซะหมด แต่อาจจะมีโปรตีนแต่ 30 กรัม ที่เหลือก็อาจจะเป็นเนื้อหรือสารอาหารอื่น ๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะเปรียบง่าย ๆ เนื้อไก่หรือเนื้อหมู 1 ชิ้น ที่มีขนาดเท่ากับกำมือ จะมีโปรตีนอยู่ประมาณ 20-30 กรัมปรับการกินมาสักพัก น้ำหนักเริ่มทรงตัว ไม่ลดลง หมายความว่ายังไงโดยปกติพอเราลดไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน น้ำหนักจะเริ่มนิ่ง เราเรียกว่า Plateau Phase คือลดยังไงก็ไปต่อไม่ได้ จุดนี้แหละเป็นช่วงเวลาที่เราต้องเพิ่มการออกกำลังกาย ต้องจูน Metabolism ให้มันเผาผลาญมากขึ้น โดยปกติน้ำหนักเราจะลดลง 1 สัปดาห์ประมาณ 5 ขีด 1 เดือนลง 1-2 กิโล แต่คนที่ลดได้เร็วหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นที่มีน้ำหนักตัวเยอะ อาจจะลดได้ 6 โลภายใน 1 เดือนร่างกายเราจะมีอัตราการเผาผลาญขั้นต่ำที่เราต้องใช้พลังงาน ซึ่งมันจะมากขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้นคนที่มีน้ำเยอะมาก ๆ ก็จะมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐานเยอะ เพียงแต่ว่าในแต่ละมื้อ กินเยอะเกินอัตราการเผาผลาญ แต่ถ้าเริ่มกินน้อยลง อัตราการเผาผลาญที่มีมากอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เค้าเบิร์นได้ดีขึ้น น้ำหนักก็เลยลดลงได้ไวนั่นเองเอาหละเป็นยังไงอ่านจนมาถึงตอนนี้ ก็รู้แล้วสินะว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก ต่อให้ไม่มีเวลาออกกำลังกายแต่ถ้าเริ่มการจากการปรับพฤติกรรมการกิน เอว S ที่ใฝ่ฝันก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ขอแค่มีวินัย ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง และมีเป้าหมายแค่นี้ ลดน้ำหนักก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ แล้ว

01 พ.ย. 2023

สวยจากภายใน ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ

เราทุกคนอยากดูเด็ก ชอบให้คนอื่นทักยิ่งมองยิ่งสวยนะทำอะไรมา? ทำอย่างไรให้สวยแบบธรรมชาติที่สุดโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ฉะนั้นเราควรรู้ว่าอวัยวะภายในของเราทำงานอย่างไร มันทำให้เราสวยได้ยังไง สวยอยู่แล้วต้องบำรุงแบบไหน ตรงจุดไหม แล้วความสวยของเรานั้นมันเกี่ยวอะไรกับอวัยวะของเรา วันนี้แพทย์แผนจีน มีคำตอบค่ะ1. ใบหน้างามด้วยหัวใจที่สดใส หน้าที่ของหัวใจจะเกี่ยวข้องกับการสูบฉีดเลือดโดยตรง คือพลังของหัวใจนั้นจะผลักดันให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ใบหน้านั้นเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงมาก ถ้าหากระบบการทำงานของหัวใจไม่ดีจะแสดงออกมาในรูปสีบนใบหน้า เช่นพลังหัวใจแข็งแกร่งเลือดลมไหลเวียนดี ก็จะทำให้ใบหน้าผิวแดง ดูสดใส หากพลังของหัวใจไม่เพียงพอ เลือดลมไหลเวียนไม่ดี ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใสหัวใจพลังไม่พอ อาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น ใจหวิว ฝันบ่อย ปัสสาวะเหลืองมาก แนะนำให้ทาน ลำใยแห้ง เมล็ดบัว อย่างละ30g ข้าวเหนียว 100g ต้มรวมกัน ทำเป็นโจ๊ก แล้วรับประทานบ่อยๆ จะช่วยในการบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด ให้ความชุ่มชื่นกับผิว ทำให้ผิวแดงดูสดใส2. สวยได้ถ้าตับไม่ร้อน ในแพทย์แผนจีนตับมีหน้าที่เก็บเลือด ช่วยในเรื่องการขับเคลื่อนของชี่(气机คือพลังของร่างกายที่ เคลื่อนที่ ขึ้น ลง เข้า ออก ในร่างกาย) รักษาสมดุลของอารมณ์ ใบหน้าของเราเลือดลมไหลเวียนดี จะทำให้ใบหน้าแดงเรืองๆ ดูมีชีวิตชีวา หากตับมีปัญหา การขับเคลื่อนของชี่หยุดชงักเลือดลมไม่เดินเลือดคลั่งอยู่บริเวณใบหน้า ทำให้หน้าดูหมองเขียว เป็นสาเหตุให้เกิดฝ้าที่ใบหน้าได้ เลือดในตับพร่องทำให้ใบหน้าดูซีดเหมือนขาดเลือด ผิวแลดูไม่ชุมชื้น ผิวไม่มีประกาย อาจจะมีอาการของตาแห้งง่าย มองวัตถุไม่ค่อยเห็นอาการที่เกี่ยวกับตับ เช่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย ปวดด้านข้าง เรอบ่อย พายลมบ่อย ตาแห้ง แนะนำให้ทาน เห็ดหูหนูขาว ดอกเก๊กฮวย อย่างละ 10g ต้มน้ำรับประทานบ่อยๆ หรือใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวาน จะสามารถช่วย รักษาตับบำรุงเลือดแก้ปวดหัวที่มาจากความร้อนในตับสูงทำให้ดวงตาสว่าง บำรุงผิว และยังรักษาฝ้าได้อีกด้วยค่ะ3. บำรุงม้ามทำให้ผิวสวย หน้าไม่เหลือง สิ่งที่เป็นคุณค่า สารอาหาร ต่างๆ ที่รับประทานและส่งไปทั่วร่างกาย ล้วนมาจากพลังม้ามทั้งสิ้นม้ามจะเป็นที่ผลิตพลังและเลือดให้กับร่างกายด้วย(ม้ามในหลักของแพทย์จีน)จะเห็นได้ว่าเมื่อเลือดลมไหลเวียนได้ดีแล้ว จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ความยืดหยุ่นของผิวจะดี ผิวไม่แห้งกร้านและไม่เหี่ยวง่าย ถ้าหากม้ามไม่แข็งแรง การส่งอาหารให้กับร่างกายก็จะช้าลง เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่อาจจะไปหล่อเลี้ยงผิวหนังบนใบหน้าได้อาการที่เกี่ยวข้องกับม้ามพร่อง เช่น หน้าดูซีดเหลือง ไม่มีชีวิตชีวา เหนื่อยง่าย อาหารไม่ย่อย มีเสียงดังในลำไส้บ่อยๆ แนะนำให้ทาน พุทราแดง วันละ 10 เม็ด เพราะพุทราแดง จะช่วยบำรุงม้ามบำรุงเลือดจะทำให้ผิวพรรณดูแดงสดใส4. บำรุงปอดหน่อย ผิวจะได้ไม่แห้งกร้าน หน้าที่ของปอดคือหายใจ แต่ในทางแพทย์แผนจีนปอดจะช่วยนำพลังชี่(พลังจากสารอาหาร น้ำ)ส่งลงล่างเพื่อให้ เลือดลม น้ำ สารอาหารต่างๆกระจายสู่ร่างกาย ถ้าหากปอดทำงานผิดปกติ จะทำให้ผิวหนังของเราแห้งง่าย กระด้าง ใบหน้าดูหมองหม่น และขาวซีดผิดปกติอาการที่ร่วมกับปอดเช่น หายใจสั่น ติดขัด ผิวหนังแห้ง ไอ บ่อย เป็นภูมิแพ้ แนะนำให้ทาน ดอกแปะฮะหรือดอกลินลี่(百合หาได้ตามร้านยาจีนทั่วไป) 15g เห็ดหูหนูขาว30g ใบเตย 2 ใบ น้ำตาลกรวด 1 ก้อน พอให้หวาน ต้มรวมกัน ทานแทนน้ำ สรรพคุณจะทำให้ร่างกายเย็นบำรุงปอดทำให้ผิวชุ่มชื้นขับเสมหะ แก้ไอได้5. ถั่วดำต้มบำรุงไต ตามหลักแพทย์จีนไตทำหน้าที่เก็บสารจิง(精คือ สารจำเป็นพื้นฐาน ช่วยพยุงร่างกายให้ดำรงชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ และยังหมายถึงสารจำเป็นต่อการสืบพันธุ์) ถ้าหากไตมีสารจิงเพียงพอ อวัยวะในร่างกายก็จะสมบูรณ์ไปด้วย เลือดลมก็จะไหลเวียนดี หน้าจะไม่แก่ง่าย ผมก็จะไม่ขาวเร็ว ฟันจะไม่ร่วงง่าย และไม่แก่ก่อนวัยถ้าหากไตพร่องสามารถทาน ข้าวเหนียวถั่วดำ เพราะ ข้าวเหนียว จะช่วยบำรุงเลือดลมช่วยกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้น ถั่วดำมีฤทธิ์ช่วยบำรุงไตเสริมหลังอินในไต ในกะทิจะมีไขมันดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และใบหน้าของคุณได้ค่ะ หลายคนที่มองตัวเองแล้วรู้สึกใบหน้าดูแล้วไม่เปล่งประกาย ไม่บริ้ง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแก่ ขาวซีด หรือใบหน้าคล้ำลง ผิวหนังไม่รื่นเรียบเหมือนสมัยก่อน ใบหน้ามีทั้งฝ้าทั้งกระ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วมาจากอวัยวะต่างในร่างกายที่ขาดสมดุลทั้งสิ้น ฉะนั้นถ้าอยากจะสวย ต้องเพิ่มพลังให้กับอวัยวะนั้นๆ จะได้สวยโดยที่ไม่ต้องพึ่งมีดหมอนะคะ ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

07 ต.ค. 2023

เช็กตัวเองก่อนเป็น Burnout Syndrome

เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ผ่านมาครึ่งทางแล้ว เหลืออีก 3 เดือนสุดท้ายของปี เหนื่อยกันไหมมม ??หลาย ๆ คนประสบความสำเร็จมากขึ้น หลาย ๆ คนเติบโตมากขึ้น หลาย ๆ คนความสำเร็จอาจจะยังไม่มาถึง แต่เราเชื่อว่าอีกไม่นานต้องมาถึงคุณแน่นอนและก็มีอีกหลายคนรู้สึกว่าเรากำลังจะหมดไฟในการทำงานแล้วรึเปล่านะ ?อาการเครียด หดหู่ เบื่อ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน หรือที่เราเรียกกันว่า Burnout Syndrome ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยเป็นโรคที่เป็นผลจากการความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงานเป็นปัญหาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากความเครียด ความกดดันในการทำงานเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเรากำลังตกอยู่สภาวะ Burnout Syndromeอาการ Burnout Syndrome คือ ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดของงานที่มากเกินไป อย่างต่อเนื่องยาวนานรวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ จนทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกหมดไฟ มองตัวเองในแง่ลบ ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน รู้สึกห่างเหินจากผู้ร่วมงาน และไม่รู้สึกผูกพันกับสถานที่ทำงานลองมาเช็กกันว่าคุณจะเสี่ยงเป็น Burnout Syndrome ไหมผู้ที่ทำงานหนัก มีภาระงานมาก ทำงานล่วงเวลางานมีความซับซ้อน รีบเร่ง ทำให้เกิดความกดดันจริงจังเกินไป ขาดความยืดหยุ่น ยึดติดในความสมบูรณ์แบบทำงานที่ไม่ได้มีความรักหรือความปรารถนาที่จะทำขาดอำนาจในการตัดสินใจ มีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงานไม่ได้รับการตอบแทนหรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ทุ่มเทไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และไม่เปิดใจยอมรับรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม ไร้ตัวตนระบบบริหารงานหรือค่านิยมองค์กรขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตองค์กรไม่มั่นคง นโยบายบริหารไม่มีความชัดเจนสัญญาณเตือนว่าคุณมีภาวะหมดไฟในการทำงานหลังจากที่เช็กจากด้านบนแล้วสงสัยว่าตัวเองจะมีภาวะหมดไฟในการทำงานรึเปล่า สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ดังนี้อาการทางกาย สูญเสียพลังงานหรืออ่อนเพลีย (Exhaustion) นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อย หมดแรง ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ภูมิตก ไม่มีสมาธิ ความ สามารถในการจำลดลงอาการทางอารมณ์ รู้สึกไม่อยากทำงาน หรือมีทัศนคติเชิงลบต่องานที่ทำ (Negativism) รู้สึกเบื่อ ไม่มีความสุข หดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา สิ้นหวัง ไม่มีแรงจูงใจ อารมณ์แปรปรวน โกรธ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย ไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลมากขึ้น สงสัยในความสามารถของตัวเองอาการทางพฤติกรรม ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง (Professional Efficacy ) มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยลง แยกตัวออกจากกลุ่ม หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน ไม่กระตือรือร้น ผัดวันประกันพรุ่ง บริหารจัดการเวลาไม่ได้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ไปจนถึงมีการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์วิธีรับมือและจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงานพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อให้รับทราบปัญหา และหาทางออกด้วยกัน เช่นการลดปริมาณงาน การเรียงลำดับความสำคัญของงาน เพื่อทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมายได้พักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ช่วยปรับสมดุลร่างกายลองมาออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมทำ เพื่อช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ช่วยให้ร่างกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และถือว่าเป็นพักสมองจากเรื่องงานไปในตัวทำสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด ยืดหยุ่นในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น ลดความกดดันตนเองสร้างความสัมพันธ์และบรรยากาศที่ดีในการทำงาน หรืออาจะหาช่วงเวลาสังสรรค์หลังเลิกงานกับเพื่อนในที่ทำงานบ้างหยุดพักบ้าง เราทุกคนมีวันลาพักร้อน เราก็ใช้วันลาพักร้อนเหล่านั้น ไปเที่ยวต่างจังหวัด เปิดหู เปิดตา ให้สมองปลอดโปร่ง ให้เวลากับตัวเองในการจัดการความเครียดหากรู้สึกว่าเราจะหมดไฟในการทำงาน มีความเครียดมาก ๆ การพูดคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจและเข้าใจ อาจจะเป็นการได้ระบายอย่างหนึ่ง แต่ที่สำคัญเราควรมีเวลาพักผ่อน ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองสนใจ ให้ตัวเองได้จัดการอารมณ์ หา Work Life Balance ในการทำงาน เท่านี้อาจจะทำให้เราออกห่างจากภาวะหมดไฟในการทำงานได้บ้างแล้วว่าแล้ววันหยุดนี้ก็ออกไปเที่ยวกัน

29 ส.ค. 2023

“น้ำเต้าหู้” ประโยชน์คับแก้ว

1.หลายคนดื่มน้ำเต้าหู้เพื่อลดความอ้วน ลดน้ำหนัก และไขมัน มีงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองประสิทธิผลของนมวัว นมถั่วเหลืองปรุงแต่ง และอาหารเสริมแคลเซียมที่มีผลต่อการลดไขมันในผู้หญิงก่อนวัยทองที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน พบว่าการบริโภคนมไขมันต่ำอย่างนมถั่วเหลืองปรุงแต่ง ช่วยลดภาวะอ้วนและภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มตัวอย่างทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญอีกหนึ่งการทดลองได้เปรียบเทียบประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้กับนมวัวขาดมันเนยกับระดับไขมันในเลือดและการทำปฏิกิริยากับผนังเซลล์ไขมัน (Lipid Peroxidation)ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ผลลัพธ์ที่ได้ชี้ว่าน้ำเต้าหู้มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันในเลือดและลดการเกิดปฏิกิริยาที่สารอนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในผนังเซลล์ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง ส่วนการทดลองเพื่อหาประสิทธิผลในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายด้วยเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง โดยทำการทดลองในกลุ่มตัวอย่างชาวฝรั่งเศสที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงในกลุ่มความเสี่ยงระดับปานกลาง ผลที่ได้คือ การบริโภคเครื่องดื่มจากถั่วเหลืองที่มีสารแพลนท์ สเตอรอล (Plant Sterol)ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลชนิดเลว (non-HDLและLDL)ลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า น้ำเต้าหู้อาจช่วยควบคุมและลดระดับไขมันในผู้ป่วยที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงที่อยู่ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง2.น้ำเต้าหู้บำรุงกระดูก การทดลองเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมถั่วเหลืองที่มีสารไอโซฟลาโวนที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและกระบวนการสร้างหรือสลายกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนชาวสเปน พบว่าการบริโภคนมถั่วเหลืองช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินดี และช่วยลดกระบวนการสลายกระดูก นอกจากนั้น การบริโภคสารไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองเพิ่มเติม อาจช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างได้ และช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกได้อีกด้วย3.สำหรับคนที่ความดันสูงเป็นประจำ น้ำเต้าหู้ช่วยลดความดันโลหิต มีการทดลองศึกษาประสิทธิผลของเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลือง ในด้านคุณค่าทางโภชนาการและอิทธิพลต่อการลดน้ำหนัก พบว่าเครื่องดื่มที่ทำมาจากถั่วเหลืองอาจช่วยลดระดับความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลงได้ ซึ่งเป็นความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว ในกลุ่มตัวอย่างเยาวชนเพศหญิงที่มีภาวะอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ตาม ในการทดลองนี้ยังไม่พบผลลัพธ์ในด้านน้ำหนักตัวที่ลดลง หรือขนาดเส้นรอบเอวที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด อีกงานทดลองที่ศึกษาผลลัพธ์จากการบริโภคน้ำเต้าหู้ที่สัมพันธ์กับระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2ที่มีภาวะไตผิดปกติร่วมด้วย พบว่าการบริโภคน้ำเต้าหู้มีผลต่อการควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้ค่ะ4.มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน จากการค้นคว้าหาประสิทธิผลของการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวันทั้งก่อนมื้ออาหาร30นาที และพร้อมมื้ออาหารในกลุ่มทดลองเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี เพื่อศึกษาหาอิทธิพลต่อระบบย่อยอาหาร ระดับน้ำตาลและสารอินซูลินในเลือด พบว่า การดื่มนมทั้งนมถั่วเหลืองและนมวัวก่อนมื้ออาหาร30นาที จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้มากกว่าการดื่มพร้อมมื้ออาหาร ซึ่งวิธีการนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานจากการบริโภคอาหารที่มีค่าGIสูง (Glycemic Index:ค่าดัชนีน้ำตาล) ซึ่งยังต้องค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดและเป็นประโยชน์ในอนาคต5.ลดความเครียดแถมยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย งานวิจัยมากมายได้นำเสนอประสิทธิผลของน้ำเต้าหู้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง มีงานวิจัยหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ของโปรตีนถั่วเหลืองเช่นกัน แต่นำเสนอในด้านที่แตกต่าง คือ การทดลองให้ผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองในปริมาณแต่น้อยเพียง25กรัม ทุกวัน ผลคือกลุ่มทดลองได้บริโภคโปรตีนถั่วเหลืองปริมาณ25กรัม ทุกวัน เป็นเวลา90วัน โดยไม่พบผลข้างเคียงในการทดลองนี้ และยังเป็นประโยชน์ในทางรักษา คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มไขมันดี (HDL)ในผู้ป่วยกลุ่มอาการเมตาบอลิกอีกด้วยค่ะ พูดง่ายๆคือน้ำเต้าหู้อุดมไปด้วยโปรตีนและฮอร์โมนเอสโตรเจน น้ำเต้าหู้ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังและขจัดความอ่อนแอให้กับร่างกาย ลดสารตะกั่วในเลือดช่วยป้องกันตับไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายและยังช่วยให้เมทาบอริซึมในร่างกายเผาพลานทำงานดีขึ้นแนะนำผู้สูงอายุดื่มบ่อยๆจะช่วยไม่ให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวหรือโรคกระดูกพรุนได้ง่ายอีกด้วยนะคะขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

LOVE INSPIRED

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - COCKTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN HEART

27 ธ.ค. 2023

รู้ว่าฤดูหนาวกลับมาอีกครั้ง แต่โรคผิวหนังที่ต้องระวังล่ะ รู้หรือยัง?

เมื่ออากาศหนาวมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงการหาเสื้อผ้าให้เข้ากับฤดูหนาว หาวิธีทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่ต้องอย่าลืมวิธีดูแลผิวหนังของเราเมื่อต้องเจออากาศหนาว ที่จะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น หรือสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ จนเกิดการแห้งตึง เป็นขุยแดง จนเกิดเป็นโรคผิวหนังที่น่ากังวลขึ้นได้ โดยโรคผิวหนังที่ต้องระวังในหน้าหนาว เช่น1.โรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน ส่วนใหญ่พบในหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือเด็ก 6 เดือนแรก พบในเพศชายมากกว่าหญิง ลักษณะเป็นผื่นแดง สะเก็ดเล็ก มีขุยลอกเป็นมัน ขอบชัดเจน มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมัน เช่น ระหว่างคิ้ว, ศีรษะ และรูหู ผื่นเหล่านี้มักจะเป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะอากาศที่หนาว หรือร่างกายภูมิต้านทานตก2.โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หน้าหนาวแบบนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการของโรคนี้ได้ โดยจะมีอาการคันตามข้อพับแขน ข้อพับขา หรือผิวหนัง อาจทำให้เกิดผื่นแดง มีผิวหนังแห้งลอกเป็นขุย ใครที่เคยเป็นอาจกลับมาเป็นอีกครั้งได้ ความรุนแรงของแต่ละรายอาจแตกต่างกันไป ถ้าอากาศเริ่มหนาวขึ้น ก็ควรหมั่นทาครีมบำรุงผิวและพบแพทย์เพื่อทำการรักษา3.โรคเริม โดยจะเกิดตุ่มน้ำเล็ก ๆ มีขอบแดง ส่วนมากพบบ่อยที่บริเวณริมฝีปาก อวัยวะเพศและก้น มีอาการไข้ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงมีการอักเสบ ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้แล้วอาจมีโอกาสเป็นซ้ำได้4.โรคอีสุกอีใส ติดต่อได้จากการหายใจ สัมผัสโดนตุ่มแผลหรือถูกของใช้ เช่น ที่นอน ผ้าห่ม ของผู้ป่วย ส่วนมากมักเกิดในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้ บางรายอาจจะรุนแรงกว่า อาการผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ต่อมาจะเริ่มมีเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นตามตัวได้ เพราะฉะนั้นห้ามเกาหรือแกะแผล เพราะอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้5.โรคงูสวัด มักเกิดกับผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส เชื้อไวรัสจะหลบเข้าไปอยู่ในปมประสาทรับความรู้สึก อยู่แบบไม่แบ่งตัว แต่พอเมื่อร่างกายเราอ่อนแอ ภูมิตกเมื่อไหร่ เชื้อไวรัสก็จะแสดงตัวออกมาเป็นโรคงูสวัด มีตุ่มน้ำใส ๆ เป็นแนวด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายตามแนวยาวของปมประสาท และหลายคนจะเชื่อว่ารอยแผลจะพันรอบตัว ซึ่งไม่เป็นเช่นนั้น อาจมีไข้ และปวดบริเวณปลายประสาทแบบแปล๊บ ๆ6.โรคหัด เด็กอายุ 1 ปี ถึงประถมศึกษาเป็นกันบ่อยครั้ง ติดต่อกันทางระบบทางเดินหายใจ สามารถแพร่เชื้อให้กันโดยง่าย เด็ก ๆ จึงเป็นกลุ่มน่าสุ่มเสี่ยง อาการมีไข้สูง ไอหนัก ตาแดง คล้ายเป็นหวัด ต่อมาผื่นแดงขนาดเล็ก ๆ จะขึ้นทั่วตัว แขน และขา แต่โรคนี้สามารถฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันการเกิดโรคได้7.โรคหัดเยอรมัน ติดต่อทางระบบหายใจ เกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ที่กำลังเป็นโรคหัดเยอรมัน ก็สามารถทำให้เด็กในครรภ์ติดโรคได้จากทางกระแสเลือด อาการจะมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยตามตัว จากนั้นจะมีผื่นขึ้นที่หน้า คอ ลำตัว แขนและขา ผื่นมักขึ้นเต็มตัวภายในเวลา 1 วันและหายเองใน 3 วัน ต่อมน้ำเหลืองก็จะโตด้วย********************************************โรคผิวหนังที่มาพร้อมกับหน้าหนาว อาจทำให้เราเกิดปัญหาและกังวลใจ หากโดนลมหนาว แล้วผิวแห้งเมื่อไหร่ ก็ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวสักหน่อย ถ้ามีอาการคันหรือเห็นความผิดปกติที่ผิวหนังเรา แต่เกิดกังวลใจว่าอาการเหล่านี้เป็นโรคต้องระวังหรือไม่ รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษา รักษาตามอาการทันที และอย่าลืมดูแลทั้งสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างนะคะขอบคุณข้อมูลจาก- //www.thairath.co.th/lifestyle/woman/48852- //www.synphaet.co.th/7%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87/- //chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/- //www.bangkokhospital.com/content/get-to-know-3-symptoms-of-atopic-dermatitis

26 ธ.ค. 2023

ได้บุญหรือบาป? ทำทานฉาบฉวย กระทบระบบนิเวศ

การทำบุญทำทาน เป็นความเชื่อที่อยู่กับชาวไทยมาอย่างช้านาน และการปล่อยสัตว์เช่น ปล่อยนกปล่อยปลา ก็เป็นการทำบุญวิธีหนึ่งที่ชาวพุทธนิยมทำกันมาก ไม่ว่าจะในวันสำคัญทางศาสนา วันปีใหม่ หรือแม้แต่ตอนไปเที่ยววัดดังๆเพราะเชื่อว่าการช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังเดือดร้อนถือว่าเป็นเมตตากรุณา ได้บุญ บรรเทาบาป สะเดาะเคราะห์ให้ผู้ปล่อยพ้นทุกข์ ซึ่งการทำบุญโดยการปล่อยสัตว์นั้น ตามความเชื่อแล้ว แต่ละชนิดมีความหมายในการทำบุญแตกต่างกันไปความหมายของการปล่อยสัตว์ เช่นปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่น ไม่ติดขัดปลาหมอ หมายถึง สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่ายกบ หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรหอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุขตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่างๆ จะหายไป อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืนเต่า หมายถึง อายุยืนยาวมากขึ้นนก หมายถึง ชีวิตมีความก้าวหน้า รุ่งเรือง ช่วยป้องกันในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สินแต่รู้หรือไม่ สัตว์ยอดฮิตที่คนนิยมปล่อยกันนั้น มีไม่น้อยเลยที่เป็น เอเลี่ยนสปีชีส์“เอเลี่ยนสปีชีส์” (Alien Species) คือ สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่ไม่ใช่ชนิดพันธุ์ท้องถิ่น ไม่ได้มีต้นกำเนิดในพื้นที่นั้น ๆ แต่มาจากการนำเข้ามา หรือแพร่กระจายพันธุ์เข้ามา ซึ่งไม่ได้หมายความถึงสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงพืช จุลินทรีย์ เชื้อรา ด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะสร้างผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศดั้งเดิม หากไม่มีกลไกทางธรรมชาติในการควบคุมประชากร เอเลี่ยนสปีชีส์ก็จะสามารถปรับตัว และขยายอิทธิพลในพื้นที่ เข้าไปเบียดเบียนชนิดพันธุ์ท้องถิ่นดั้งเดิม ด้วยการไล่กัดกิน แย่งอาหาร รวมถึงผสมพันธุ์กับพันธุกรรมที่มีความใกล้เคียง แต่ลูกที่เกิดมาจะเป็นหมัน ส่งผลทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมเดิมเสื่อมลง จนเกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว และอาจสูญเสียชนิดพันธุ์พื้นเมืองในระบบนิเวศไป สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน” (Invasive Alien Species)จากการประเมินระบบนิเวศแห่งสหัสวรรษ (Millennium Ecosystem Assessment, 2005) พบว่า การคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก มีเรื่องชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานสร้างปัญหาเป็นอันดับสอง ซึ่งเป็นรองเพียงแค่การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยเท่านั้นสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) มีข้อมูลว่าปัจจุบันประเทศไทยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอยู่มากกว่า 3,500 ชนิด ที่ส่วนมากเป็นสัตว์น้ำ และส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาโดยตรง เพื่อผลประโยชน์ทางการเกษตร การเพาะเลี้ยง บางชนิดได้แพร่ระบาดข้ามพรมแดนผ่านการติดมากับการคมนาคมขนส่งคุณเพชร มโนปวิตร รองหัวหน้ากลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (IUCN) ยืนยันชัดเจนว่าปัจจุบันประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไว้ประมาณ 3,500 ชนิด แต่มีศักยภาพในการรุกรานในประเทศไทยทั้งสิ้น 182 ชนิดสัตว์น้ำยอดฮิตที่ผู้คนมักปล่อยลงระบบนิเวศเพื่อทำทาน อย่างเช่นปลาดุก ซึ่งนิยมเลี้ยงเพื่อนำมาทำเป็นอาหารในปัจจุบัน มักเป็นปลาดุกลูกผสมที่เกิดจากปลาดุกยักษ์จากทวีปแอฟริกาและปลาดุกอุย กลายเป็นปลาดุกเลือดผสมที่เรียกว่า ปลาดุกบิ๊กอุย ถือเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีลักษณะ โตเร็ว เป็นหมัน กินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้งพืชและสัตว์ หรือปลาซัคเกอร์ ปลาหมอสียักษ์ เต่าญี่ปุ่น(เต่าแก้มแดง) ตะพาบไต้หวัน ล้วนเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ทั้งสิ้น เมื่อปล่อยสัตว์เหล่านี้ลงระบบนิเวศก็จะแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ และรุกรานสัตว์ท้องถิ่น ทำให้ปลาท้องถิ่นของประเทศไทยอยู่ในสถานเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แม้กระทั่งการปล่อยสัตว์โดยไม่เลือกบริเวณก็ส่งผลให้สัตว์ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ เช่น ปลาไหลหรือกบ หากปล่อยกบลงในแม่น้ำลึกก็จะทำให้กบตาย เพราะกบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เมื่อไม่มีที่ให้พักก็ส่งผลให้ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ รวมถึงการปล่อยเต่า ต้องแยกให้ดีระหว่างเต่าบกและเต่าน้ำ แต่ถึงอย่างไร เต่าก็จำเป็นต้องมีที่ให้พักเช่นกันและรู้หรือไม่ว่าการปล่อยสัตว์น้ำชนิดพันธุ์ต่างถิ่นลงแหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากจะบาป และทำลายระบบนิเวศแล้ว ยังผิดกฎหมายตามมาตรา 65 และมาตรา 144 แห่งพรก.ประมง 2558 ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจําคุกไม่่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับสัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะทางกายภาพ พฤติกรรม และถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะเลือกปล่อยสัตว์ชนิดใดแล้ว ควรศึกษาชนิดพันธุ์ที่จะปล่อย ความเหมาะสมของสถานที่ รวมถึงตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมด้วย หรือเลือกที่จะไม่ปล่อยก็ได้ เพราะระบบนิเวศสามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเองขอบคุณข้อมูลจาก ://www.sanook.com/horoscope/87917///www.wongnai.com/articles/fish-release-charity//www.facebook.com/whatwild/photos/a.652850552051113/1034762210526610///www.seub.or.th/bloging/knowledge/%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99///www.seub.or.th/bloging/knowledge/2023-99/

23 ธ.ค. 2023

คริสต์มาสที่ต้องคิดมากกับสิ่งแวดล้อม

คริสต์มาส เทศกาลที่หลายคนตั้งตารอให้มาถึง แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เทศกาลสุดคลาสสิคนี้มาถึง นอกจากความสุขแล้ว ยังนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เราสร้างขยะอาหาร 7 ตันต่อปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จากช่วงคริสต์ที่ผ่านมามีรายงานว่า ในประเทศอังกฤษมีการทิ้งไก่งวง 2 ล้านตัว คริสต์มาสพุดดิ้งกว่า 5 ล้านชิ้น และยังรวมไปถึง มินซ์มีทพายอีกกว่า 74 ล้านชิ้น ทางรายงานยังกล่าวเสริมอีกว่า หากนำอาหารเหล่านี้ไปรีไซเคิลเป็นพลังงาน จะสามารถใช้พลังงานที่ได้นี้ในประเทศอังกฤษถึง 57 ปี แต่ปัญหา Food Waste นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในช่วงคริสต์มาสเท่านั้น ตราบใดที่เรายังคงกินอาหารมากขึ้นเท่าใด ปัญหา Food Waste ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปัญหา Food Waste นั้นส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าการใช้พลาสติกเพียงแค่หนึ่งชิ้นเสียอีกของขวัญเพื่อคนพิเศษการให้ และการรับของขวัญ นั้นถือเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมที่เรามักทำในช่วงเทศกาล เพื่อเป็นการส่งต่อความรักให้กันและกัน นอกจากการเลือกสรรของขวัญแล้ว ยังมีกระดาษห่อของขวัญและกล่องห่อของขวัญ ซึ่งในแต่ละปีจะมีขยะจากสิ่งเหล่านี้มากถึง 10 ตันในทุกปี เมื่อวนมาถึงคริสต์มาส รวมไปถึงการ์ดวันคริสต์มาส ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า การ์ดคริสต์มาสจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เพราะท้ายที่สุดการ์ดเหล่านี้ก็ต้องถูกนำไปรีไซเคิลอยู่แล้ว แต่ที่จริงแล้วการ์ดคริสต์มาสราว 33 เปอร์เซ็นไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิล ถึงแม้หลายคนอาจจะทิ้งการ์ดเหล่านี้ลงในถังขยะสำหรับรีไซเคิล แต่พอไปถึงจุดแยกขยะ การ์ดอวยพรที่กลายเป็นกระดาษก็ถูกนำไปทิ้งไม่ต่างจากขยะอื่น ๆ เพราะมีแต่เศษกลิตเตอร์ซึ่งไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ต้นคริสต์มาสจริง VS จำลองต้นคริสต์มาสจำลองที่เราเห็น และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนั้น ทำมาจากพลาสติกและไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทางองค์กรด้านการเกษตรอินทรีย์สำคัญของสหราชอาณาจักร ( Soil Association) แนะให้ใช้ต้นคริสต์มาสจริงเพราะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากต้นคริสต์มาสหรือต้นสนเฟอร์นั้น ใช้เวลาในการเจริญเติบโต 10 ถึง 12 ปี ในช่วงที่ต้นไม้เจริญเติบโตนั้น มันได้ทำหน้าที่ในการเป็นที่พักของสัตว์ป่า และคอยจับคาร์บอนในอากาศแต่หากคุณเลือกที่จะใช้ต้นคริสต์มาสจำลอง คุณต้องใช้มันซ้ำปีต่อปี เนื่องจากต้นคริสต์มาสจำลองขนาด 2 เมตรสามารถสร้างก๊าซเรือนกระจกราว 40 กิโลกรัม ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องใช้ต้นคริสต์มาสจำลอง 10 ครั้ง ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยถึงจะเท่ากับต้นคริสต์มากจริง แต่ก็น่าเศร้าที่ต้นคริสต์มาสจำลองเหล่านี้มักจะถูกนำใช้แค่ 4 ครั้งโดยเฉลี่ยแล้วก็ถูกทิ้งไปเราจะช่วยลดขยะยังไงในเทศกาลคริสต์มาสเทศกาลคริสต์มาสนั้น เป็นเทศกาลที่หล่อเลี้ยงไปด้วยวัฒนธรรม ทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เราสามารถทำให้ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนั้นลดลงได้ ดังนี้1.เลือกใช้กระดาษห่อของขวัญที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และเลี่ยงการใช้กระดาษตะกั่ว หรือ กระดาษที่มีส่วนประกอบของโลหะ2.เลือกการ์ดอวยพรที่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลและไม่มีกลิตเตอร์3.ซื้อและทำอาหารให้พอเหมาะกับจำนวนคน4.เลี่ยงการใช้ต้นคริสต์มาสจำลองขอบคุณข้อมูลจาก : //energym.io/blogs/braingains/what-is-the-environmental-impact-of-christmas

25 พ.ย. 2023

5 สัญญาณที่บอกว่าเราไม่รักตัวเอง และ 8 วิธีแก้

เวลาฟังคลับฟรายเดย์ สายต่าง ๆ ที่โทรเข้ามาปรึกษา ปัญหาความทุกข์ใจจากความรัก ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจาก การไม่รักตัวเองมากพอ ถ้าเรารักตัวเองมากพอ เราจะไม่รอเอาความสุขไปฝากที่คนอื่น เราจะไม่ด้อยคุณค่าตัวเอง เราจะเข้มแข็งพอที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ และทำร้ายเราได้รักตัวเองคืออะไรการรักตัวเอง คือ การสร้างความสัมพันธ์กับตัวเอง ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ทั้งข้อดี และ ข้อเสีย ยอมรับทั้งความสำเร็จ อุปสรรค รวมถึงความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง การรักตัวเอง เกิดจากวิธีมองให้คุณค่าตัวเอง มากกว่า ตัดสินจากมุมมองของคนอื่นทำไมเราต้องรักตัวเองงานวิจัยพบว่า ถ้าเราไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเอง เราจะไม่มีความสุขในชีวิตเลย เพราะเราคือคนที่อยู่กับตัวเราเองมากที่สุด วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองมากที่สุด เราจะรู้สึกด้อยตลอดเวลา บางคนอาจชดเชยความรู้สึกแย่ หรือ ว่างเปล่าในใจ ด้วยวิธีที่อาจทำร้ายตัวเองได้ในระยะยาว และถ้าตัวเรายังไม่มีความสุข คนรอบข้างก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยสัญญาณที่อาจบอกได้ว่าเราไม่รักตัวเอง มีหลายอย่างเช่น1.ไม่มีขอบเขต และ ระยะของความสัมพันธ์ที่ชัดเจนการที่เรามีความชัดเจน ถึงขอบเขต ว่าสิ่งไหนที่เรายอม และ เต็มใจทำ หรือ ไม่ยอม และไม่เต็มใจทำ จะทำให้เราไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่โดนผู้อื่นเบียดเบียน จนเราสูญเสียคุณค่า และ ความเป็นตัวเองความสัมพันธ์ที่ดีจะเคารพขอบเขต ไม่ล้ำเส้น คนอื่นในความสัมพันธ์ และไม่ยอมให้คนอื่นล้ำเส้น หลายคนปฏิเสธคนอื่นไม่เป็น “ยอม” คนอื่นจนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ยอมให้คนอื่นทำอะไรกับเราก็ได้ โดนคนรักนอกใจ หลายครั้งก็ปล่อยให้ทำ หรือ ยอมถูกด่า ถูกด้อยค่า ไปจนถึง ถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆเรื่องที่ทำร้ายจิตใตต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะยอมครั้งแรกของเรา จริงอยู่ว่า คนเราอาจมีผิดพลาดได้ แต่ถ้าเรายอมให้เขากระทำซ้ำ ๆ ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเขาจะดีขึ้น ซึ่งสุดท้ายเขาจะดีขึ้นหรือไม่ ไม่รู้ แต่ในที่สุดเราก็จะจมวนอยู่ในวัฏจักรโดนกระทำที่เราไม่ชอบซ้ำ ๆ และลดคุณค่าตัวเองลงในที่สุด2.รู้สึกตัวเองดีไม่พอ ไม่น่ารักพอ ไม่คู่ควรหลายคนรู้ตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีความสามารถมากพอ ไม่น่ารักพอ ไม่ควรค่าพอที่จะได้รับสิ่งดี ๆ วิจารณ์ตัวเองในด้านลบ ตลอดเวลา จนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงความรู้สึก หรือ ความต้องการที่แท้จริง ต้องคอยขออนุญาต ขอการยอมรับจากผู้อื่นเสมอซึ่งจริง ๆ แล้ว ทุกคนต่างมีข้อดี และข้อเสียกันทั้งนั้น การยอมรับตัวเองที่ง่ายที่สุด คือการเห็นข้อดีของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น หลายครั้งบางคนก็นึกถึงข้อดีของตัวเองไม่ค่อยออก เพราะเราชอบวิจารณ์ตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง บางคนด้อยค่าตัวเอง ซ้ำร้ายยังหยุดพัฒนา และไม่ดูแลตัวเอง เพราะคิดว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งไม่แฟร์กับตัวเอง และไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริงที่จะเป็นประโยชน์ที่สุด คือ เราไม่ควรมองแต่ด้านแย่ หรือ ด้านดีของเราเพียงด้านเดียว เราควรเห็นครบทุกด้านตามความเป็นจริงแล้วถ้าเรายอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้ เราถึงจะสามารถเข้าใจตัวเอง พัฒนาตัวเองได้เต็มศักยภาพ เริ่มจากการพัฒนาจุดแข็ง หรือ ข้อดีของตัวเองให้ดีขึ้นก่อน ซึ่งได้ผลเร็ว และดีกว่า การพยายามกำจัดข้อเสีย หรือ ปิดจุดด้อยของตัวเอง ซึ่งใช้เวลา และกำลังมากกว่า เป็นต้น3.เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นการเปรียบเทียบเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เรามักเปรียบเทียบ เมื่อเราเห็นผู้อื่น ทั้งในชีวิตจริง ใน Social Media หรือ ในทีวีซึ่งเรามักเปรียบเทียบในเชิงลบกับคนอื่น ในสิ่งที่เราขาด แต่เราไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง ว่าเราก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด และลืมมองส่วนดีอื่น ๆ ที่เรามีดีด้วยสิ่งที่สามารถหยุดความรู้สึกแย่จากการเปรียบเทียบได้คือ-การมีสติรู้ทัน เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย-ลองเปลี่ยนมุมมองเปรียบเทียบเพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจให้ตัวเราเอง-การรู้จักชื่นชม ยินดีกับผู้อื่น เมื่อเขาได้พบเจอสิ่งที่ดี-ปรับความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เราเห็นผู้อื่น เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เราไม่ได้เห็นเบื้องหลังความลำบาก ที่คนอื่นต้องเจอ กว่าจะได้ความสำเร็จนั้นมา4.มีความสุขไม่เป็น รู้สึกแย่ เวลาที่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเองหลายคนไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข มีชีวิตที่ตึงเคร่งเครียด ทุกครั้งที่ตัวเองมีความสุข จะรู้สึกผิด ว่าทำไมมีเวลาพักผ่อน รู้สึกผิดเวลาที่ใช้เงินซื้อของที่ตัวเองชอบ เวลาที่ได้กินอาหารอร่อย ด้วยความรู้สึกที่ถูกปลูกฝังมาว่า คนอื่นสมควรได้ก่อน เราไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ คำพูดดี คุณภาพชีวิตที่ดีทั้งที่จริง ๆ แล้ว ชีวิตมนุษย์ปกติทั่วไปทุกคน ก็มีทั้งสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ และ สิ่งที่ชื่นใจทั้งนั้น แต่การที่เราไม่สามารถอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้ อาจมาจากวิธีคิดที่สุดโต่ง ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพียงถ้าเราใจดีกับตัวเอง ปฏิบัติกับตัวเอง เหมือนกับที่เราใจดีกับคนที่เรารักบ้าง เห็นตัวเองเป็นคนปกติ ที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง เราก็จะมีชีวิตที่ผ่อนคลาย และมีความสุขมากขึ้น5.ชอบโทษตัวเอง ก้าวข้ามความรู้สึกผิดไม่ได้ทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ ถ้าไม่เคยทำผิดเลย เราคงไม่เรียนรู้อะไรเลย แต่มีวิธีคิดบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับการรักตัวเอง ทำให้เราไม่เติบโต ไม่เป็นอิสระ เช่น การไม่สามารถก้าวข้ามความผิดในอดีตที่ตัวเองทำได้ ทำให้รู้สึกมีความละอายใจอยู่ในตัวเองลึก ๆ หรือ พอทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่ได้ดั่งใจ เราเลือกที่จะโทษตัวเองการก้าวข้ามความรู้สึกผิด เป็นทักษะที่เราต้องฝึก ทำความเข้าใจ และ ปล่อยวาง ซึ่งถ้าไม่สามาถทำด้วยตัวเองได้ เราสามารถปรึกษาพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจ ก็สามารถช่วยคลายใจได้แล้วรักตัวเองทำยังไง1. มีขอบเขตความสัมพันธ์ที่ชัดเจน เรื่องไหน ยอมได้-ไม่ได้หลายครั้งขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ก็กำหนดท่าที ของคนที่เข้ามาในชีวิตด้วย เหมือนหลายความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ แต่กลับอยู่มาได้ยาวนาน เช่น คนช่างเสียสละ มาลงเอย กับคนเห็นแก่ตัว2.ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นหลายคนรักตัวเอง อย่างมีเงื่อนไข เช่นคิดไปเอง หรือ ถูกปลูกฝังว่า ฉันจะไม่น่ารัก ถ้าฉันไม่ประสบความสำเร็จ ฉันไม่สมบูรณ์แบบ หรือ มองตัวเองดีกว่าความเป็นจริง จนปฏิเสธไม่มองด้านลบของตัวเองเลยซึ่งจริง ๆ แล้ว เราสามารถรักตัวเองได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละ เพราะไม่มีใครเลยที่สมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนน่ารักพอ และทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ของสำเร็จรูป แต่ทุกคนก็กำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สิ้นสุดทั้งนั้น3.ฝึกสติให้อยู่กับความจริงในปัจจุบัน ไม่อยู่กับความคิดฟุ้งซ่านสิ่งที่เราคิดไม่ใช่ความจริงทุกเรื่อง และไม่ได้มาจากตัวตนของเรา มันมีหลายความคิดที่โผล่เข้ามาเอง ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีเจตนา ไม่มีความตั้งใจ มีทั้งความคิดไร้สาระ เรื่องตลกขบขัน ไปจนถึงความคิดที่เลวร้ายมาก ๆ นั่นหมายความได้ว่าเราเป็นคนชั่วร้าย แต่มันเกิดขึ้นได้เองในธรรมชาติ อาจมาจากประสบการณ์เลวร้ายในอดีต หรือ โผล่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ที่มาที่ไปเลยก็ได้ทุกครั้งที่ใจเป็นทุกข์ จากความคิดของตัวเอง เราสามารถหยุดความคิดได้ ด้วยการรับรู้ และดึงสติมาอยู่กับปัจจุบัน ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำ จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อาจใช้การสังเกตอารมณ์ ลมหายใจ ของ ปัจจุบันขณะก็ได้เวลาที่เราคิดลบ หรือ รู้สึกดีเกินจริง ไม่ว่าจะเรื่องตัวเอง หรือ คนอื่น ลองตั้งสติทำ Reality Check ด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า “สิ่งที่ฉันคิดจริงรึเปล่า?” และ ตั้งอีกคำถามว่า ”แล้วสิ่งที่ฉันคิดไม่จริงได้ด้วยรึเปล่า?" เช่นคิดไปเองว่าเขาคงไม่ชอบหน้าเรา จริงรึเปล่า มันอาจมีความเป็นไปได้ และในทางกลับกัน “ไม่มั้ง เค้าคงไม่ได้เกลียดฉันหรอก?" ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปหรือไม่กล้าสมัครงานที่ใหม่ เพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ “เราดีไม่พอ จริงรึเปล่า?” ก็อาจจริง “เราอาจจะดีพอก็ได้” ก็อาจจริงเหมือนกัน ไม่มีใครรู้แน่ว่า คุณสมบัติที่เขาตามหาคืออะไร เราก็ดึงสติ หยุดความฟุ้งซ่านไว้ก่อนได้ แล้วลองลงมือทำสิ่งที่เราควบคุมได้ ให้เต็มความสามารถ4.ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ และทำให้สำเร็จเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องภายนอก ไม่จำเป็นต้องสิ่งที่จับต้องได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องวัดผลขนาดชั่ง ตวง วัด ออกมาเป็นหน่วยได้ มันอาจเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกก็ได้ เช่น วันนี้สามาถควบคุมอารมณ์ได้ดี เมื่อเจอสิ่งรบกวนจิตใจ หรือ วันนี้สามารถอดใจ ไม่กินของหวานได้ หรือ วันนี้ ฮึบพาตัวเองไปวิ่งได้และความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องถึงเป้าเสมอไป แค่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นจากเดิม ก็เป็นความสำเร็จแบบนึงแล้ว เช่น ตั้งเป้าไว้ ว่าอยากวิ่ง 10 กิโลเมตร แต่พอไปวิ่งจริง ๆ วิ่งไป 5 กิโลเมตร ก็เหนื่อยแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่ รู้สึกผิด ที่ไม่เข้าเป้า อาจเพราะเราไม่เคยวิ่งมาก่อน ทำให้วางเป้าเกินจริงไป แค่มีพัฒนาการมากขึ้นกว่าเดิม พาตัวเองออกมาวิ่งได้ จากที่ไม่เคยวิ่งเลย ก็ถือว่าสำเร็จไปส่วนนึงแล้วนะการที่เราตั้งเป้าหมาย และ สามารถทำสำเร็จได้ ทำให้เรามีความรู้สึกดี ภาคภูมิใจกับตัวเอง ซึ่งการที่เราทำตามที่สัญญากับตัวเองไว้ได้ จะสร้างความรู้สึกปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ในทางกลับกัน การตั้งเป้าที่เกินจริง อาจทำให้เรากดดันที่ทำตามเป้าไม่ได้ ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองด้วย5.บันทึกความภาคภูมิใจในตัวเองหลายครั้งที่เราลืม ความน่ารัก ความน่าภูมิใจของตัวเอง เพราะเราไม่เคยจดจำมัน คิดว่า เป็นเรื่องปกติ ธรรมดา แต่ถ้าเราใส่ใจ เราจะรู้ว่า สิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่า และน่าชื่นชมทุกคืนก่อนนอน ลองบันทึกสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง ภูมิใจกับตัวเอง สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับตัวเอง ลงในสมุดแล้วเปิดอ่านดูบ้าง เราจะรู้ว่า เราพาตัวเองมาไกลขนาดไหนแล้ว6.ให้อภัย และ ขอบคุณตัวเองหากมองย้อนไป ทุกคนมีเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจในตัวเองทั้งนั้น แต่ความผิดพลาดในอดีต เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเอง เมื่อเรารับผิดชอบต่อความผิดพลาดนั้นแล้ว ให้อภัยตัวเอง ทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้เติบโตและเช่นเดียวกัน เวลาที่มีใครช่วยเหลือเรา เราซาบซึ้ง ชื่นชมและขอบคุณคนอื่นอย่างไร เราก็ควรทำแบบนั้นกับตัวเองด้วย แบบนี้คือ การมีเมตตากับตัวเอง ที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น7.ใช้เวลากับสิ่งที่เรารักพาตัวเองไปทำสิ่งที่ชอบ อยู่ใกล้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ให้เวลากับตัวเอง ทำในสิ่งที่อยากทำ อยู่ท่ามกลางคนที่รักเรา ในแบบที่เราเป็น ในสถานที่ ที่เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น ทำให้จิตวิญญาณ เรามีความสุข และ ผ่อนคลาย8.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถ้าเราได้ลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่รู้สึกดีขึ้น หรือ มีบางอุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้ซักที เราสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความชำนาญ สามารถเพิ่มมุมมองใหม่ให้เราได้การขอความช่วยเหลือ ก็เป็นการรักตัวเองอีกวิธีหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องผ่านทุกเรื่องคนเดียวเสมอไป

24 พ.ย. 2023

วันที่คนรักตายจากไป

การจากลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้จะรู้สัจธรรมอย่างนี้ เมื่อต้องเจอด้วยตัวเอง กลับยากที่จะทำใจ โดยเฉพาะความตายของคนที่รักการตายจาก ของคนที่รัก เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเครียด และสะเทือนใจมากที่สุด ผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์นี้มีอาการทางใจที่หลากหลาย แตกต่างกันไป เช่น- ปฏิเสธความจริง- ไม่เชื่อ- สับสน- ช็อค- เศร้า- โหยหา- โกรธ- อับอาย- สิ้นหวัง- รู้สึกผิดอาการเหล่านี้ เป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่ความรุนแรง ระยะเวลา อารมณ์ที่เปลี่ยนฉับพลัน ต่างกันไป ในแต่ละคนสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเศร้าโศกบางคนแสดงออกทางอารมณ์ มีร้องไห้ เศร้าซึม หาที่พึ่งทางใจ เช่นศาสนา หาหมอดูบางคนอาจมีอาการทางกาย ปวดท้อง ปวดหัว แน่นหน้าอก เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน นอนไม่หลับ หมดเรี่ยวแรง บางคนอาจถึงขั้นล้มป่วย หรือ อาการป่วยเดิมกำเริบขึ้น ทั้งทางกายและใจ เช่น มีความคิดวนเวียนกับผู้ตาย มีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือ ความคิดอยากฆ่าตัวตายความตายของคนรักเป็นเรื่องที่ยากเสมอ ความรุนแรงของความสูญเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ ความสัมพันธ์กับผู้ตาย ยิ่งถ้าผู้จากไป เป็นหัวหน้าครอบครัวที่หาเลี้ยงครอบครัว การปรับตัวเรื่องการเงิน การเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว การต้องกลับไปเริ่มทำงานอีกครั้ง ภาระหน้าที่ ที่โถมเข้ามาพร้อมกันในผู้สูงอายุที่เสียสามี/ภรรยา อาจเกิดความอ้างว้างโดดเดี่ยว จากการเสียเพื่อนคู่คิด ที่อยู่มาด้วยทั้งชีวิตการรับมือ การฆ่าตัวตายของคนรัก เป็นอีกเรื่องที่ยากที่สุด คนที่ยังอยู่อาจต้องแบกรับความรู้สึกผิด ความช็อค ความงงสงสัย ความโกรธ ความละอายใจ หรือ รู้สึกมีส่วนรับผิดชอบกับความตาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังเกิดเหตุการณ์จะสามาถช่วยเยียวยาใจได้การรับมือกับความสูญเสีย1.อนุญาตให้ตัวเองเศร้าเวลาเศร้าโศก คร่ำครวญ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาทางใจ เราควรอนุญาตให้เรามีความรู้สึกตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติ ในที่สุดมันก็อาจแสดงออกมาเป็นอาการป่วยทางกาย หรือ ทางใจ ซึ่งการร้องไห้ ก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะมันสร้างฮอร์โมนความสุข และช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกาย และ ทางใจ2.คุยกับคนที่ไว้ใจการได้พูดคุย ได้แสดงความรู้สึก กับเพื่อน ญาติพี่น้อง ครอบครัว หรือ คนที่กำลังผ่านความสูญเสียไปเหมือนกันจะช่วยทำให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ดีขึ้น เพราะการเยียวยาหัวใจทำได้ดีกว่า จนคนรอบตัวผู้ที่สูญเสีย มากกว่าการพบจิตแพทย์ซะอีก3.รักษาสุขภาพให้แข็งแรงในขณะที่ใจไม่แข็งแรง ก็พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไว้ก่อน กิน และ นอนให้พอ ระวังการพึ่งพาสารเสพติด หรือ เหล้า ในการรับมือ กับความโศกเศร้า เพราะจะยิ่งทำให้สภาพจิตใจไม่มั่นคงมากขึ้น4.อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตในช่วงเวลาที่ใจแกว่ง ขาดสติ อย่าเพิ่งตัดสินใจเรื่องใหญ่ ให้พักเอาไว้ให้พร้อมก่อนแล้วค่อยลงมือจัดการ เช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน การมีลูก5.ยอมรับความเป็นจริงการปรับวิธีคิด และยอมรับความเป็นจริง ทีละน้อย จะช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเอง และสถานการณ์ชัดขึ้น ซึ่งทุกการเปลี่ยนแปลง ต้องใช้เวลาในการยอมรับ และ ปรับตัว6.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถ้ารู้สึกว่าความเศร้าโศกที่กำลังเผชิญ หนักเกินที่จะรับมือไหว การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยทำให้รับมือผ่านเรื่องนี้ไปได้ การขอความช่วยเหลือ เป็นความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความอ่อนแอช่วยคนใกล้ตัวผ่านความเศร้า1.ให้โอกาสเขา ได้พูดถึงความรู้สึกของตัวเอง2.อย่าปลอบโยนด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง เช่น “ทุกเรื่องที่เกิดแล้ว ดีเสมอ” หรือ “ไม่เป็นไรนะ”3.รับฟัง4.ช่วยทำธุระ จัดการชีวิต ด้านต่าง ๆ ระหว่างที่เขายังอ่อนแอ เช่น ช่วยดูลูกเล็กให้ ทำอาหาร ทำธุระให้5.หากพบความผิดปกติ พาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญช่วยเด็กที่กำลังโศกเศร้าเด็กมีวิธีแสดงออกความเศร้าต่างจากผู้ใหญ่ เพราะเด็กสับสน และ แสดงออกไม่เป็น บางคนอาจจะมีพฤติกรรมย้อนวัย เช่นกลับไปฉี่รดที่นอน ถามคำถามเกี่ยวกับการตายที่ดูใจร้าย หรือ ปฏิเสธไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิงผู้ปกครองที่กำลังเศร้า แล้วต้องรับมือกับเด็กอาจเป็นเรื่องยาก แต่การใช้อารมณ์กับเด็ก ยิ่งทำให้เด็กฟื้นตัวช้าลงไปอีก การเปิดใจพูดคุย อธิบายในภาษาที่เด็กเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่ คือ สิ่งที่เด็กต้องการ**********************อย่าเพิ่งกังวลไปไกลถึงพรุ่งนี้รับมือกับวันนี้ ทีละวันล้มบ้าง ลุกบ้าง ค่อย ๆ เข้าใจมันเปิดใจยอมรับ สิ่งนั้นตามที่เป็นจริง

25 ต.ค. 2023

การทำงานจากบ้าน Work From Home ช่วยลดโลกร้อนมากกว่า!!!

“ทำงานจากบ้าน VS ทำที่ออฟฟิศ อันไหนมีประสิทธิภาพมากกว่า”ก่อนที่จะไปเรื่องสิ่งแวดล้อม ต้องมาถกกันก่อนว่าประสิทธิภาพของการทำงานทัดเทียม ดี หรือ ด้อยกว่า การทำงานที่ออฟฟิศมั้ย มีผลการศึกษา แตกออกเป็น 2 เสียงมีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานจากบ้าน เพราะทำให้เกิดประสิทธิภาพงานมากขึ้น โดยมีหลายงานวิจัยสนับสนุน เช่นงานวิจัยจากสแตนฟอร์ด ศึกษา คนงานกว่า 16,000 คน พบว่า ประสิทธิภาพของคนเพิ่มขึ้น 13% เมื่อได้ทำงานจากบ้าน เพราะเงียบสงบกว่า ทำงานได้นานกว่า พักเบรคน้อยกว่า และลาป่วยน้อยกว่า คน 77% สร้างผลลัพธ์งานได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานที่มีรายได้สูง นิยมทำงานจากบ้านมากกว่า เพราะมีความพร้อม มีอิสระในการทำงาน ลดเวลาการเดินทาง เริ่มงานได้เร็วขึ้น และเมื่องานเสร็จไวก็มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้นในขณะเดียวกัน หลายบริษัทมองว่า ประสิทธิผลของงานอาจลดลงในระยะยาว เพราะพนักงาน อาจเหี่ยวเฉาจากการขาดปฏิสัมพันธ์กับสังคม และมีบางงานวิจัยก็ออกมายืนยันว่า ประสิทธิภาพของพนักงานลดลง 18% เมื่อทำงานที่บ้าน ทำให้หลายบริษัทเริ่มมอง การทำงานแบบไฮบริด คือ ทำทั้งที่บ้าน + เข้าออฟฟิศ ผสมกันไป แต่ในอุตสาหกรรมบริการ เช่นภาคธนาคาร โรงแรม ศูนย์ราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานระดับสูง ผู้บริหารมองว่า ควรต้องทำจากที่ออฟฟิศเท่านั้น“ทำงานจากบ้าน VS ทำที่ออฟฟิศ อันไหนช่วยลดโลกร้อนมากกว่า”มีการศึกษาระหว่าง มหาวิทยาลัย Cornell และ Microsoft ร่วมกันเก็บข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบการทำงานของพนักงานระหว่างทำงานที่บ้านหรือทางไกลแบบ WFH กับทำงานที่สำนักงานแบบไหนปล่อยคาร์บอนมากกว่ากัน โดยเก็บข้อมูล ตั้งแต่ การใช้อินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีการสื่อสาร การใช้พลังงานภายในบ้านและสำนักงาน การเดินทาง ระหว่างผู้ที่ทำงานทางไกล กับพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดผลการศึกษาพบว่า การทำงานระยะไกล หรือ Work from home 1 วันต่อสัปดาห์ช่วยลดคาร์บอนได้ 2%แต่หากทำงานที่บ้าน 2-4 วันต่อสัปดาห์ จะลดคาร์บอนลงได้ถึง 29% แต่การทำงานแบบไฮบริด สำนักงานก็ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมากตามปกติ เช่น เครื่องทำความร้อน แอร์ แสงสว่าง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องเปิดแม้จะมีคนทำงานอยู่น้อยแต่หากทำงานจากบ้าน เต็มเวลาตลอดทั้งสัปดาห์จะลดคาร์บอนได้ 54%แต่การทำงานในออฟฟิศก็สามารถลดคาร์บอนได้ หากบริษัทนั้น ๆ มีการจัดการที่ดีทีมศึกษาวิจัยของ Microsoft แนะว่าองค์กรต้องออกนโยบายที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำงานของพนักงานยุคปัจจุบัน และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ งานวิจัยบางชิ้นก็ยังเผยว่า งานบางอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อได้ทำงานพร้อมหน้าพร้อมตากัน ดังนั้น บริษัทต้องสร้างสมดุลในการดูแลจัดการใช้พลังงานในองค์กร และนโยบายเพื่อพนักงานเช่น มีระบบการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการใช้จักรยาน อาจจะช่วยให้การลดคาร์บอนมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเมื่อดูงานวิจัยต่างประเทศ องค์กรต่าง ๆ ในบ้านเรา อาจนำมาปรับใช้ เพื่อลดทั้งค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงานขององค์กร เพิ่มคุณภาพชีวิตพนักงาน ซึ่งตอนนี้ มีหลายองค์กร เช่นบางธนาคารใหญ่ในไทย ให้พนักงาน IT ทำงานจากบ้านเป็นการถาวร หรือ กลุ่มโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่บางราย ยุบแผนกคอลเซ็นเตอร์ ในกรุงเทพ ให้ทำงานจากบ้านได้ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพการจราจร และน้ำท่วมของกรุงเทพ ที่ยังไม่มีวี่แววจะจัดการได้ในเร็ว ๆ นี้ข้อมูลจาก ://www.pnas.org/doi/full/10.1073/pnas.2304099120//www.apollotechnical.com/working-from-home-productivity-statistics///www.businessinsider.com/wfh-workers-less-efficient-than-people-in-office-new-research-2023-8#:~:text=A%20study%20published%20by%20the,of%20those%20in%20the%20office.

GREEN CHARITY

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

CLUB PRIDE DAY

21 ธ.ค. 2023

Club Pride Day x ใหม่ Powerpuff Gay | 21 ธ.ค. 66

Club Pride Day x ใหม่ Powerpuff Gay | 21 ธ.ค. 66 . คนนั้นก็เหมือน คนนี้ก็เหมือน เหมือนยันสวิซต์หม้อหุงข้าว อินฟลูผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์ "ใหม่ Powerpuff Gay" พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #ใหม่ #ใหม่PowerpuffGay #ใหม่ลอเรน #ตัวแม่

PowerpuffGay #ลอเรน

Fantasy

worldequality #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

15 ธ.ค. 2023

Club Pride Day x หมอปิแอร์ (คุณหมอต่อมไร้ท่อ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพศและฮอร์โมน) | 14 ธ.ค.66

Club Pride Day x หมอปิแอร์ (คุณหมอต่อมไร้ท่อ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพศและฮอร์โมน) | 14 ธ.ค.66 . หลากคำถามที่ยังต้องการคำตอบ เกี่ยวกับเรื่องเพศและฮอร์โมน - การข้ามเพศที่ถูกวิธีเป็นยังไง? - "ผู้หญิงข้ามเพศ" ข้ามเพศแล้วอ่อนแอลงจริงไหม? - ใช้ฮอร์โมนแล้ว 'อ๊อง' จริงๆรึป่าว? - ยาคุมใช้ในการข้ามเพศได้รึป่าว? - "ผู้ชายข้ามเพศ" มีน้องชาย(อวัยวะเพศชาย)ได้จริงๆ แล้วใช้งานได้เหมือนผู้ชายจริงๆรึเปล่า? - ผู้หญิงหมดประจำเดือนแล้วต้องใช้ฮอร์โมนหรือไม่? อีกมากมายคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศและฮอร์โมน ที่ไม่ใช่แค่ 'คนข้ามเพศ' เท่านั้นที่ต้องการรู้ รวมตัวกันเข้ามา!! ชาย หญิง ตุ๊ด เกย์ กะเทย LGBTQ+ ทั้งหลาย พฤหัสนี้ มีคำตอบ!! . 3-4 ทุ่ม ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #คุณหมอปิแอร์ #คุณหมอหล่อ #หมอหล่อ #หมอต่อมไร้ท่อ #เพศ #เพศและฮอร์โมน #ฮอร์โมน #ข้ามเพศ #การข้ามเพศที่ถูกต้อง #การข้ามเพศที่ถูกวิธี #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจพี่อ้อยนภาพร #ก๊อตจิ #ตัวแม่ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย

LGBTQ

LGBT #ตัวมัม

08 ธ.ค. 2023

Club Pride Day x ชาล็อต ออสติน | 7 ธ.ค. 66

เปิดไมค์ต้อนรับ รองอันดับ 5 Miss Grand Thailand 2022 "ชาล็อต ออสติน" นางฟ้าบนดิน นางงามคู่จิ้นเงินล้าน กับความสามารถเกินต้าน สู่การเป็นนางเอกคนต่อไป พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #ชาล็อต #ชาล็อตออสติน

itscharlotty

CharlotteAustin #อิงล็อต

MissGrandThailand

MissGrandThailand2022

worldequality #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

01 ธ.ค. 2023

Club Pride Day x เป้ย ไปเรื่อย | 30 พ.ย. 66

Club Pride Day x เป้ย ไปเรื่อย | 30 พ.ย. 66 . มิ้นท์ - จอย ขอออกจากโซเชียลมาเที่ยวกับ "เป้ย ไปเรื่อย" อดีตสไตลิสต์สุดคูล สู่อินฟลูฯ สุดปัง!! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #เป้ย #เป้ยไปเรื่อย #ตัวแม่

toppeii

peii

Fantasy

worldequality #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

27 พ.ย. 2023

Club Pride Day x น้อยหนึ่ง-นุ่น | 23 พ.ย.66

พฤหัสนี้เตรียมพับกบ เอ้ย! พบกับ! เอ้ย! ถูกแล้ววว!! คู่รักนักสร้างมีม ที่จะมาช็อตฟีลกันให้แสบ แบบสับๆ! กับ "น้อยหนึ่ง เมคอัพ" และ "นุ่นผัวน้อย" . เติมสีสันให้กัน 3-4 ทุ่ม ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #น้อยหนึ่ง #น้อยหนึ่งเมคอัพ #น้อยหนึ่งนุ่น #นุ่นผัวน้อย #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจพี่อ้อยนภาพร #ก๊อตจิ #ตัวแม่ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย

LGBTQ

LGBT #ตัวมัม

17 พ.ย. 2023

Club Pride Day x กอล์ฟ กิตติพัทธ์ | 16 พ.ย. 66

นุ่งโจง ห่มสไบ ฟังเรื่องราวประทับใจ กับ "กอล์ฟ กิตติพัทธ์" จากคนเบื้องหลังอารมณ์ดี ที่กล้าเอาชนะความขี้อาย จนกลายเป็นพิธีกรงามอย่างไทย ทัชใจเหล่าเทยทั้งประเทศ! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! .

ClubPrideDay

GreenWave1065

GreenWave #กอล์ฟ #กอล์ฟกิตติพัทธ์ #กอล์ฟเทยเที่ยวไทย #เรือนยายกอล์ฟ

gorfern #เทยเที่ยวไทย

GMMTV #เล่าหนังสือ

CheerReader

worldequality #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day Recap

25 ธ.ค. 2023

เปิดสีสันชีวิตทำความรู้จักตัวตน ของ “ใหม่ Powerpuff Gay” อินฟลูเอนเซอร์สุดเก๋ ผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์

รายการ CLUB PRIDE DAY ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “ใหม่ Powerpuff Gay” หรือ “ใหม่ ลอว์เรน” อินฟลูเอนเซอร์สุดเก๋ ผู้สร้างตำนานบทใหม่ทุกครั้งที่ไลฟ์ กว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราว ฝ่าฝันบททดสอบของชีวิตมากมาย และมีหลากหลายแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้นำมาแชร์ไว้ในรายการด้วยใหม่ ลอว์เรน ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“ลอว์เรน เป็นชื่อหมอผี ใน The Conjuring ค่ะ เรื่องของเรื่องคือ วันนั้นแก๊งเราแต่งหน้าสไตล์ฝรั่ง แล้วนั่งคุยกันกับ น้องหนุ่ม ผ่านไลฟ์สด แล้ว น้องหนุ่ม ก็แซวว่า วันนี้ดูฝรั่งนะจ๊ะ ลอว์เรน เราก็ถามว่า หนุ่ม หล่อนเอา ลอว์เรน มาจากไหน หนุ่มบอกว่า หนูนึกอะไรไม่ออก แล้วเมื่อคืนหนูดูหนังผี The Conjuring แล้วหมอผีที่ปราบผีมันชื่ ลอว์เรน ก็เลยตั้งชื่อให้ว่า ลอว์เรน ซึ่งหนูว่าชื่อมันดูเปรี้ยวดี มันเลิศ ก็เลยใช้ชื่อ ใหม่ ลอว์เรน ตั้งแต่นั้นมาค่ะ”ย้อนวัยใส ของ ใหม่ ลอว์เรน“จริง ๆ แล้วพ่อกับแม่ของ ใหม่ รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นมาตั้งแต่เด็ก เค้าก็พยายามที่จะปรับเปลี่ยนให้เราคบกับเพื่อนผู้ชาย ให้เราแต่งตัวที่ดูแมนขึ้น ซึ่งเราก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะเราลองทำแล้ว ลองตามใจเค้าแล้ว ด้วยความที่เราเป็นลูกคนเล็ก แล้วมีพี่สาวสองคน ก็เลยติดเล่นกับผู้หญิง แล้วแม่ก็ดันตามใจอีก จำได้เลยว่าของเล่นชิ้นแรกที่หนูอ้อนแม่ซื้อก็คือ บาร์บี้ แล้วพอโตขึ้น ถามว่าเราได้พิสูจน์ตัวเองไหม บอกเลยว่า ใหม่ ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย หนูแค่เป็นคนชอบทำมาหากินคนนึง แล้ววันหนึ่งเราก็เลี้ยงดูครอบครัวเราได้ เราใช้หนี้ให้แม่ได้ เราสามารถดูแลครอบครัวพี่สาวเรา ดูแลแม่บ้าน ดูแลคนงานในบ้านเราได้ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้เอาตัวเองมาพิสูจน์อะไรกับใครหนูเป็นคนที่รักตัวเอง รักความรู้สึกตัวเอง รักในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่หนูเข้าใจความคาดหวังของผู้ใหญ่นะ ที่คาดหวังว่าเรียนจบเสร็จรับปริญญา รับปริญญาเสร็จบวช บวชเสร็จทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง เป็นลำดับขั้นของชีวิต ซึ่งเราเข้าใจ แต่หนูก็จะพูดกับแม่เสมอว่า หนูไม่บวชนะ หนูรู้สึกว่าหนูทำอะไรให้แม่ได้ทุกอย่างเลย แต่หนูขอไม่บวชได้ไหม เพราะหนูรู้สึกว่า อะไรที่มันไม่ได้ทำมาจากใจของเรา เราจะทำมันได้ไม่ดี มันก็เหมือนอย่างเพจที่หนูทำอยู่ ถ้ามันไม่ได้มาจากใจ จากความชอบ หนูก็ทำมันไม่ได้ดีเช่นกัน”กว่าจะเป็น Powerpuff Gay แก๊งสุดเก๋ สร้างไวรัลสุดปัง“แต่เดิมความฝันของหนูคือ อยากเป็นดารานักแสดง เมื่อก่อนพ่อของหนูเคยเปิด จิรวัฒน์การละคร เป็นบ้านที่สอนเกี่ยวกับศิลปะการแสดง หนูก็จะซึมซับว่า ตัวเองอยากเล่นละคร อยากเป็นดารา เราเคยไปแคสงานโฆษณาเยอะมาก แต่ก็ไม่เคยได้ ก็เลยคิดแค่ว่า ถ้ามันได้มันก็กลายเป็นโบนัสของชีวิต เพราะเราก็มีธุรกิจส่วนตัวที่บ้านอยู่แล้ว แล้วการมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ทุกวันนี้ได้ ย้อนกลับไปตอนนั้น หนูไม่รู้เลยว่าในอนาคตมันจะกลายมาเป็นแบบนี้Powerpuff Gay เป็นเพจที่หนูสร้างขึ้นมาด้วยตัวของหนูเอง แล้วก็ไปจิ้มน้องใน Facebook ที่เป็นเพื่อนกันแต่ไม่เคยเจอกัน ซึ่งหนู กับ เต้ รู้จักกันมาก่อน จากรายการ Take Gay Out Thailand จากนั้นก็ชวนคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มหนูสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า Powerpuff Gay หนูสร้างมากับมือที่เริ่มจากศูนย์ตอนนั้นหนูไม่มีความรู้อะไรเลย เรื่องรายได้ตัวเอง รายได้ให้น้อง คิดคอนเทนต์ ทำเองหมด เวลาคนมาเห็นกองถ่ายของ Powerpuff Gay ก็จะตกใจว่ามีกันแค่สี่คนเหรอ แล้วพอมีงานใหญ่ ๆ บางครั้งคนก็ไม่เชื่อว่าเราทำกันแค่สี่คนเราทำกันสี่คน ตั้งกล้องเอง ทุกอย่างที่เห็นทั้งหมดไม่ว่าตำนานไหน ๆ ไม่มีใครอยู่หลังกล้องเลย เราอยู่หน้ากล้องกันทุกคน แต่มีงานหนึ่งที่มีคนอยู่หลังกล้อง เพราะมันเป็นงานที่หนูช่วยเหลือสังคม คือตอนนั้นสมัยที่โควิดมันหนักมาก ๆ แล้วพ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถค้าขายได้ หนูก็เลยพิมพ์เลยว่า ใครอยากจะให้หนูไลฟ์สดขายอะไร หนูทำให้ฟรีเลย จำได้ว่ามีประมาณเกือบสามร้อยกว่าแบรนด์ที่ส่งมา แล้วหนูตั้งใจไลฟ์ให้เพราะหนูอยากทำด้วยใจจริง ๆ เพราะว่ามีบางคนที่อายุเยอะแล้ว เขานั่งวินมอเตอร์ไซค์จากปิ่นเกล้า มาบางกะปิ เพื่อที่จะเอาใบมายื่นให้ดูว่า ป้าตรวจโควิดแล้วนะ ป้าจึงทำกระท้อนยำนี้ แล้วเอามาให้พวกหนูไลฟ์สดเพื่อโปรโมท วันนั้นน้ำตาหนูจะไหล หนูรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่เขาเห็นความสำคัญตรงนี้ คือเขาไม่เก่งโซเชียล เขาไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง ต้องถ่ายรูปยังไง แต่เขานั่งมอเตอร์ไซค์จากปิ่นเกล้าเพื่อมามาหาเรา งานนั้นกลายเป็นงานที่คนอยู่หลังกล้องทั้งหมด เพราะว่ามันเยอะมาก มีสินค้าเป็นร้อย ๆ อย่างคอนเทนต์แรก ๆ หนูตั้งใจทำเลียนแบบ MV เพลงเหรอ ของ Zaza แล้วก็เลียนแบบโฆษณา ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีสปอนเซอร์ตัวหนึ่งเข้ามาเป็นสเปรย์พ่นเท้า ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เขาถามว่าคิดค่าลงโฆษณาเท่าไหร่ แล้วเป็นงานแรกในชีวิต หนูก็เลยคิดว่าสองหมื่นห้าก็แล้วกัน เพราะเรามีกันห้าคน คนละห้าพันบาท ซึ่งหนูมองว่าการออกจากบ้านหนึ่งครั้ง ถ้าเกิดได้เงินห้าพันมันคุ้มละต่อวัน หลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็มาติดต่อเป็นสปอนเซอร์ต่อ เป็นครีมสี่ตัวที่เป็นแบรนด์เดียว หนูก็เลยได้งานนั้นงานแรกที่ถูกจ้างราคาหนึ่งแสนบาท แล้วเราได้คนละสองหมื่นห้า เป็นครั้งเลยที่ได้เงินแสนเข้ามาในทีม แล้วทีมรู้สึกว่าพวกเราหาเงินได้พวกหนูทำคอนเทนต์จากความชอบโดยตรง ในระยะแรกหนูเป็นคนก่อตั้งแก๊งขึ้นมาหนูมีความรู้เรื่องเสื้อผ้า แล้วหนูมีความรู้เรื่องคอนเทนต์บ้างเล็กน้อย ก็พยายามช่วยเหลือกันทั้งสี่คน น้องเต้ เป็นตากล้อง พี่อาร์ต เป็นครีเอทีฟ น้องหนุ่มเป็นผู้ช่วยหนู คอยช่วยในการหาของทำพร็อบ แล้วหนูเป็นคอสตูม มีเท่านี้เลยหนูอยากจะบอกน้อง ๆ ทุกคนที่อยากจะเป็นครีเอเตอร์ หรือทำคอนเทนต์ว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีโปรดักชันใหญ่เลยนะ อย่าพยายามคิดว่าต้องมีโปรดักชันใหญ่ ต้องมีตากล้องเยอะ บอกเลยว่าโทรศัพท์เครื่องเดียวมันหาเงินได้ และอย่างหนึ่งที่หนูจะคอยสอนน้องทุกคนว่า ความไร้สาระมันหาเงินได้เสมอ”ย้อนคลิปสุดไวรัล แจ้งเกิด ใหม่ Powerpuff Gay“คลิปที่มียอดดูสูงมากถล่มทลาย คือ ตำนานกรีดอายไลน์เนอร์ มันเป็นตำนานที่หนูไม่ได้ตั้งใจ แล้วหนูก็ขอโทษลูกค้าไปเรียบร้อย เรื่องมันเกิดจากวันนั้น หนูไปที่สตูดิโอของเพื่อน ซึ่งหนูจะกลับอยู่แล้ว แต่เพื่อนบอกว่าฉันได้อายไลน์เนอร์มา อยากให้เธอเอาไปเล่นกับไลฟ์สดขำ ๆ วันรุ่งขึ้นหนูก็นั่งเล่นแต่งหน้าเปิดกล้องไลฟ์สด ก็เลยเอาอายไลน์เนอร์มาไลฟ์ว่าใช้ดีนะ เป็น Water proof ก็กรีดที่หน้า แล้ว พี่อาร์ต ก็ดันพูดขึ้นมาว่า อายไลน์เนอร์ที่ดีมาก มันกันน้ำยังไงมันก็จะไม่หลุด ตอนนั้นหนูก็เช็ดเลย ปรากฏว่าอายไลน์เนอร์มันหลุด แต่หนูก็พยายามขอโทษลูกค้า ซึ่งเหตุผลจริง ๆ คือหนูไม่ได้ลงรองพื้น แล้วหนูเป็นคนหน้ามัน แล้วถ้าไม่ลงรองพื้นเครื่องสำอางทุกอย่างมันหลุดง่ายมาก หลังจากนั้นมันกลายเป็นการรีวิวแบบใหม่ที่ลูกค้าหลาย ๆ แบรนด์ชอบ และมันเริ่มกลายเป็นกระแสที่คนเริ่มชอบ ลูกค้าเริ่มบรีฟว่าพี่ขายไปเลย พี่อยากขายยังไงพี่ขาย พี่อยากรีวิวยังไงพี่รีวิว หนูไม่อยากบังคับพี่ หนูอยากได้ความเป็นตัวพี่หลังจากนั้นก็เริ่มมีกระแสแต่มันก็ยังไม่ใช่จุดที่พีคที่สุด พวกเรามาดังตอนที่เราเป็นแบบ ม้าม่วง ลอว์เรน เริ่มไลฟ์สดเล่นกัน คนก็เริ่มรู้จักมากขึ้น 4 เดือนนั้น หนูทำงาน ตลอด 120 วันเต็ม บางวันรับ 9 งานก็มีเป็นช่วงที่อาหารเต็มบ้าน เราตื่นมากินแล้วไลฟ์สด ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดที่ปิดเมืองด้วย แล้วน้อง ๆ ก็ได้งานกันด้วย ก็ต้องแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง พอ 4 โมงปุ๊บก็กลับมาเจอกันเพื่อไลฟ์สดต่อ จนหนูทนไม่ไหวก็เลยตั้งกล้องแล้วนอนเลย ก่อนนอนหนูก็ขายของก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วหนูก็ตัดสติ๊กเกอร์เป็นหน้าพวกเรา 4 คน แปะที่ผลิตภัณฑ์ว่า 4 คนนี้จะเฝ้าของไว้ตั้งแต่คืนนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วตื่นเช้าขึ้นมา ฉันจะพูดใส่กล้องเพื่อขายอีกรอบ จนกลายเป็นตำนานที่คนชอบมากคือการ นอนไลฟ์ หลับบ้าง กรนบ้าง หนูก็ปล่อยเลยเพราะเราชอบความเรียล จนคนดูโทรมาปลุก หนูก็ตื่นขึ้นมาหันไปที่กล้อง ตัวเลขคนดูมันพุ่งขึ้น เพราะคนรอดูหนูตื่น จากเดิมมีคนดูอยู่ 1,800 คน แค่หนูบอกว่าตื่นแล้วนะ คนดูพุ่งเป็น 3,800 คนเลย สปอนเซอร์ก็ชอบเพราะได้มีเวลานานขายของตั้ง 8 ชั่วโมงเลย”ใหม่ Powerpuff Gay กับตำนานเหมือนทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง“หนูก็เป็นคนชอบแต่งตัวมาก แต่หนูแต่งตัวยังไงมันก็ตลก หนูใส่กางเกงลายจุดสีดำพื้นกางเกงสีชมพู หนูก็เหมือนนมชมพูที่ใส่ไข่มุก แล้วพอหนูมีหนวด ก็ดันไปเหมือนคนอื่นไปหมด พี่ป๊อป แคลอรี่ บ้าง พี่โอ๊ต ปราโมทย์ บ้าง หมอสุนิล บ้าง ล่าสุดคนบอกว่าหนูเหมือนหม้อหุงข้าว คือจริง ๆ แล้ว หนูต้องขอบคุณชาวเน็ต ที่เขาสรรค์สร้างอะไรให้เราหลาย ๆ อย่าง แล้วหนูก็เอามาต่อยอด แล้วพวกเราพยายามที่จะทำคอนเทนต์ในแง่บวก หนูจะเน้นกับน้อง ๆ เลยว่า ทุกอย่างที่ออกมาต้องเป็น positive แล้วก็ให้ความสุขเท่านั้น เราต้องเล่นอยู่บนความสุขที่ไม่ได้อยู่บนความทุกข์ของคนอื่นแล้วก่อนจะเป็น Powerpuff Gay หนูเคยจะเป็น Powerpuff Ghost มาก่อนนะ หนูรู้สึกว่า LGBTQ+ บวกกับผีแล้วมันตลก ทีแรกหนูตั้งใจจะทำ Powerpuff Ghost ขึ้นมา โดยการเล่าเรื่องผีแต่ไม่มีผีเลย เล่าไปเรื่อยโดยให้เป็นกะเทยเป็นคนเล่า จริงหรือไม่จริงก็เล่าไป แล้วหนูรู้สึกว่าเอนเกจเมนท์มันน่าจะดี แต่ด้วยงานที่มันเยอะ ก็เลยไม่มีเวลาในการทำ แต่โลโก้เสร็จแล้วนะ เพราะตั้งใจทำไว้นานแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ เดี๋ยวในอนาคตอาจจะเอามาปัดฝุ่นแล้วทำดูสักครั้ง”คำบูลลี่ ที่เคยกระทบจิตใจของ ใหม่ Powerpuff Gay“โดยปกติหนูเป็นคนค่อนข้างสตรองมาก หนูรู้สึกว่า อะไรบางอย่างถ้าเราปิดตาได้ข้างนึงแล้วไม่ดูมัน มันก็ทำให้เราก้าวข้ามไปได้ บางคอมเมนต์ที่มันแย่หนูเห็นนะ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูด มันอาจจะทำร้ายจิตใจเราได้ แต่สุดท้าย มันไม่ใช่หน้าที่ที่หนูต้องคอยบอกคนทั้ง 76 ล้านคน ในประเทศไทย 77จังหวัดว่า ฉันเป็นคนแบบไหน เค้าจะคิดยังไง หรือเชื่อยังไงหนูก็ปล่อยผ่าน หนูแคร์เฉพาะคนที่อยู่รอบตัวเรา เข้าใจเราและอยู่ข้างเราเท่านั้นก็พอหนูเคยโดนครั้งหนึ่งที่หนูใส่ชุดว่ายน้ำ แล้วหนูโดนเพจหนึ่ง เข้ามาคอมเมนต์ว่าหนูเยอะมาก ๆ แล้วแชร์ภาพหนูไป แล้วด่าในคอมเมนต์แบบแรงมาก ๆ ซึ่งภาพมันอาจจะดูโป๊นิดนึงเพราะมันเป็นชุดว่ายน้ำ แต่ด้วยองค์ประกอบด้วยสี มันเป็นภาพที่สวยมาก ตอนที่โดนด่าหนูรู้สึกว่าทำไมใจร้ายจังเลย ทำไมคุณถึงใจแคบจังเลย เค้าตัดสินเราจากอะไร แต่หนูก็คิดได้ว่า อย่าแคร์คนที่ไม่ได้เข้ามารู้จักเราจริง ๆ หนูก็เลยปล่อยผ่าน”ใหม่ Powerpuff Gay กับการปลดหนี้ให้ครอบครัวกว่า 10 ล้าน!“หนูใช้หนี้ให้กับครอบครัวมาโดยตลอด เพียงแต่หนูไม่เคยออกมาเล่าเฉย ๆ ชีวิตหนูก็คือหนูใช้หนี้มาตลอด แล้วหนูเป็นคนชอบหาเงินมาก ได้เงินมาก็เอามาช่วยปิดหนี้บ้านบ้าง หนี้รถบ้าง จนกระทั่งล่าสุดที่หนูทำงานอย่างเต็มที่เพื่อจะปลดหนี้บ้านให้มันจบสักทีในชีวิต ทุกวันนี้บ้านที่หนูอยู่หนูรักมาก หนูอยากจะอยู่ที่นี่มาก ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ได้อยู่จริง ๆ หนูก็เลยคิดว่า หนูจะยอมเสียทุกอย่าง แต่หนูไม่ยอมเสียบ้านหลังนี้ไป เพราะมันเป็นโลเคชันที่หนูชอบและรักมันมาก ๆ หนูอยากจะเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้แล้วก็อยากใช้หนี้ให้แม่ให้มันจบ เพราะว่าหนูทนความเจ็บปวดของการเป็นหนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว มันทรมานมาก ๆ แต่มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองแกร่ง ในวันที่อาหารในบ้านหมดไม่มีเงินกินข้าว แล้วเราต้องแก้ปัญหาว่าจะกินอะไรที่มันอิ่มทั้งบ้าน มันทำให้หนูมองว่าการแก้ไขปัญหามันสนุก มันเหมือเล่นเกมว่าต้องจัดการยังไง ทำวิธีไหน ถึงจะจัดการปัญหานั้นได้สำเร็จ แล้วหนูชอบทดลอง ชอบแบบพิสูจน์ จนกว่าจะเจอผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”เรื่องนี้ที่ ใหม่ อ่อนไหวมากที่สุดในชีวิต!“เรื่องแม่ เรื่องครอบครัว เป็นเรื่องที่หนูอ่อนไหวที่สุดแล้ว หนูเคยมีวันที่ต้องออกไปหาโลเคชันถ่ายคลิป แล้วมันเป็นโปรเจคใหญ่มาก ๆ แล้วแม่ไปด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้นตอนตี 3 แม่กลับมาจากต่างจังหวัด แล้วแม่บอกว่าเหมือนไม่สบายเลย หนูก็บอกว่าแม่อาจจะเพลียเพราะเดินทางไกล แม่ไปนอนเถอะ แล้วใหม่ก็จะรีบนอนด้วย พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นไปสวนสาธารณะ พอประมาณตี 5 หนูก็ออกจากบ้าน ซึ่งโชคดีมากเพราะว่าพี่สาวเข้ามาที่บ้านพอดี เพราะแม่ตกเตียง แล้วปากเบี้ยวเลย เพระเส้นเลือดในสมองตีบ ตอนนั้นเรียกว่า สโตรค ซึ่งเราไม่มีความรู้ เพราะเราไม่คิดว่าคนในบ้านเราจะเป็น แล้วเราต้องมาเห็นแม่นอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเป็นช่วงทำ Powerpuff Gay ใหม่ ๆ หนูไม่มีเงิน แล้วต้องเอาแม่ไปอยู่โรงพยาบาลที่ไม่ได้เสียเงินแพง นอนห้องรวม พอเห็นแม่เราแบบนั้น หนูต้องทำหน้าปกติ แล้วหันหลังกลับมาร้องไห้ เป็นอยู่หลายวันมาก ๆ แต่ในวันที่หนูต้องดูแลแม่ หนูยอมจ่ายค่าจ้างพยาบาลในการดูแลแม่ตลอด 24 ชั่วโมง ต่อเดือน ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนูหาได้ถูกสุดคือเดือนละ 2 หมื่นบาท เขาต้องตื่นตลอด 24ชั่วโมงเพราะแม่หนูทำอะไรไม่ได้เลยในช่วงแรก ๆ โรคนี้มันน่ากลัวมาก หนูต้องพยายามหาเงินเดือนละ 2 หมื่นบาท เพื่อมาจ่ายค่าพยาบาล ค่าน้ำค่าไฟ แล้วจ่ายหนี้ ที่มันยังมีอยู่เต็มไปหมด หนูเคยต้องผ่อนบ้านเดือนละ 6 หมื่นบาท หนูก็ปล่อยให้เขาทวง เพราะทำอะไรไม่ได้ รอเจอกันที่ศาล จะยึดเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน ทำได้แค่นั้น เพราะมันทำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เปิดความรัก ส่องหัวใจ ของ ใหม่ Powerpuff Gay“ความรักครั้งแรกเป็นความรักเรียนปี2 เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ตื่นเต้นมาก เพราะว่ามีวัยรุ่นตีกันอยู่แถวตรอกข้าวสารตรงวัดชนะสงคราม แล้วหนูวิ่งหนีเพราะเค้าตีกัน แล้ว วิ่งหนีไปเจอผู้ชายที่เป็นรักแรก แล้วเค้ามาขอเบอร์เรา คือเจอกันที่หน้าวัด เป็นการได้เบอร์ครั้งแรก กลายเป็นความรักครั้งแรก แล้วเราก็เวอร์จิ้น เลยโกหกผู้ชายว่ามีรายงาน มาช่วยทำหน่อย เค้าก็มาทำการบ้านให้เรา แต่เราไปนั่งซักถุงเท้าให้เค้าในห้องน้ำ แต่สุดท้ายก็ได้กันกลายเป็นความรักครั้งแรก แต่ผู้ชายคนนี้เจ้าชู้มาก คบแฟนพร้อมกัน 12 คน วันที่เค้าซื้อของขวัญวาเลนไทน์มาให้หนู เค้าซื้อหมอนสำเพ็งโหลนึง ให้คนคุยทุกคน ก็เลิกกันไป แล้วความรักของหนูส่วนใหญ่จะสั้น ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรส่วนความรักครั้งที่เฮิร์ทที่สุด คือ ครั้งที่ได้คบกับพี่คนนึงอายุประมาณ 35 ปี แล้วเราอายุ 32 ปี ซึ่งอายุไม่ได้ห่างกันมาก แต่เขากลับรู้สึกว่าเราเด็ก อาจจะเพราะว่าเขาชอบผู้ใหญ่แต่เขาดันมาคุยกับเรา เรารู้จักครอบครัวเขา แล้วเราดูแลพ่อแม่กับหลานเขา ซื้อขนมไปฝาก เราค้าขายมาด้วยกัน มันวางแผนทุกอย่างว่าจะเปิดร้านด้วยกัน แต่สุดท้ายเขาก็บอกเลิกเรา มันกะทันหัน แล้วหนูเฮิร์ทหนักมาก เหมือนคนเป็นไบโพลาร์ เป็นอยู่ 6 เดือน แล้วหนูมีแฟนใหม่ โดยการไปคว้าเขามา ด้วยความเหงา แล้ววันนึงการที่เราเอาเขามา โดยที่ไม่ได้รักเขาจริง เพราะเรายังลืมคนเก่าไม่ได้ หนูก็เลยบอกเลิกเขาในร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งมันก็เป็นปมให้กับเขาจนทุกวันนี้เหมือนกัน เพราะทุกวันนี้เราเป็นเพื่อนกัน แล้วเขาพยายามจะพูดถึงเรื่องเก่าที่เราเคยบอกเลิกเขาอยู่เสมอ มันทำให้หนูรู้สึกว่า เวลาเราเลิกกับใคร เราไม่ควรที่จะรีบคว้าใครมาเลย เราต้องคิดให้มากกว่านั้นณ วันนี้ มันก็มีทั้งสถานที่เที่ยว มันมีทั้งการทักข้อความมาหา มันมีแอพหาคู่ มันเหมือนมีโอกาสที่เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ปล่อยมันทิ้งไป มันก็เลยทำให้ได้คุย ได้เจอคนมากขึ้น พยายามหาคนที่ใช่ไปเรื่อย ๆเรื่อง #สมรสเท่าเทียม หนูมองว่า มันมีข้อดีอยู่เยอะ แต่สำหรับตัวหนูเอง หนูเป็นคนที่แบบว่าแต่งงานก็ได้ ไม่แต่งก็ได้ แต่หนูเคยมีแฟนคนหนึ่งที่เขาอยากแต่งงานกับหนูมาก ๆ ทุกวันนี้เค้าก็ยังอยากแต่งงานกับหนู เพียงแต่ว่าเค้ามีคนใหม่ไปละ เราก็อยู่ของเราไปละ หนูก็รู้สึกว่าเรื่องของกฎหมาย เรื่องของการพยาบาล การเซ็นยินยอม การตัดสินใจ หนูว่ามัน จริง ๆ แล้วทุกคนต้องการแค่ตรงนี้ ที่ทุกคนต่อสู้กันมา จุดนี้มันเป็นจุดสำคัญที่จะครอบคลุมใน LGBTQ+ ทุกคน”แรงบันดาลใจ จาก ใหม่ Powerpuff Gay“หนูรู้สึกว่า การมั่นใจในตัวเอง และการรักตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ทำร้ายใคร สำหรับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่อยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ อยากจะทำโซเชียล อยากจะฝากไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าเอาแต่ยอดไลค์ จนลืมคุณธรรม แล้วถ้าอยากจะเริ่ม หนูเริ่มต้นได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอมีนั่นมีนี่ ถ้าอยากทำก็ทำเลย ทำมาจากสิ่งที่เรารัก แล้วเราจะทำมันได้ดี” - ใหม่ Powerpuff Gayพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

21 ธ.ค. 2023

คุยเรื่องเพศและฮอร์โมน กับ “คุณหมอปิแอร์” หมอต่อมไร้ท่อสุดหล่อ ที่พร้อมแชร์ความรู้แบบสุดปัง

ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ผศ.นพ. สิระ กอไพศาล” หรือ “คุณหมอปิแอร์” หมอต่อมไร้ท่อสุดหล่ออารมณ์ดี ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมองความคิด และยังได้นำความรู้ด้านเพศและฮอร์โมน มาแบ่งปัน เหมือนเป็นการเปิดคลินิกกันในรายการเลยทีเดียวแรงบันดาลใจที่เลือกเรียนเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน“ย้อนกลับไปตอนเรียนหมอมันเรียนกว้างมากเลย แต่ว่าผมเลือกเรียนโดยที่ว่า เวลาอ่านหนังสือ ผมสามารถอ่านเรื่องนี้ได้เรื่อย ๆ ซึ่งเรื่องฮอร์โมน ถ้าใครได้อ่านจะรู้ว่ามันจะเป็นกลไก ฮอร์โมนนี้หลั่งสิ่งนี้ไปอวัยวะนี้เพื่อไปควบคุมอันนี้ ซึ่งเราเรียนแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยเลือกมาเรียนฮอร์โมนและอีกหนึ่งสาเหตุที่เลือกเรื่องฮอร์โมนเพศ มาจากที่ผมมองว่า เรามีพี่น้อง LGBTQ+ ในประเทศไทยเยอะมาก แต่มีคุณหมอที่ดูแลน้อยมากเลย ในตอนที่ผมไปเรียนที่อเมริกา มันจะมีงานประชุมวิชาการประจำปี ที่รวมหมอหลาย ๆ คนทั่วโลก มาพรีเซนต์งานวิจัยที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่งผมก็สนใจเรื่องเกี่ยวกับทรานส์เจนเดอร์ แล้วในตอนที่ผมพรีเซนต์ ก็มีคนเข้ามาหาแล้วถามว่ามากจากประเทศไทยเหรอ แสดงว่าต้องเชี่ยวชาญมากเลยใช่ไหม เพราะในตอนนั้นการผ่าตัดข้ามเพศที่ประเทศไทยดังมาก แต่คำตอบของผมคือ ผมไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดูแลคนกลุ่มนี้ ใครเป็นคนปรับฮอร์โมนให้พวกเขา ใครเป็นคนคอยดูแลเรื่องสุขภาพ วันนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น ให้ผมตัดสินใจเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ เพราะในเมื่อบ้านเรามีทรัพยากรเยอะมาก ทำไมเราไม่มาพัฒนาให้ดีขึ้น พอกลับเมืองไทย 3-4 ปี ผมก็มาดูแลด้านนี้เลย”เพศในคนเรา ไม่ได้มีเพศเดียว“ต้องบอกก่อนว่าเพศในคนเรา ไม่ได้มีแค่เพศเดียว ในตัวเราจะประกอบไปด้วย เพศกำเนิดเกิดมามีอัณฑะเป็นเพศชาย เกิดมามีรังไข่เป็นเพศหญิง สองคือ อัตลักษณ์ทางเพศ คือตัวตนจริง ๆ ข้างในของเราว่าเป็นเพศอะไร ไม่ใช่แค่เพศชายหรือเพศหญิง อาจจะอยู่กึ่งกลางระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือบางคนบอกว่าตัวเองไม่มีคำจำกัดความในคำว่าชายหรือหญิง มันก็เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ สามภาษาทางการแพทย์เราเรียกว่า Sexual Orientation หรือว่า รสนิยมทางเพศ ที่บ่งบอกว่าเราชอบใคร และยังสามรถแบ่งได้อีกว่าอยากมีเพศสัมพันธ์กับใคร หรือว่าอยากมีโมเมนต์โรแมนติกกับใคร อันนี้คือรสนิยมทางเพศ อีกอย่างหนึ่งคือ Gender Expression หรือ การแสดงออกทางเพศ เช่น วันนี้ผมแต่งตัวใส่แจ็คเก็ตมา เพราะผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นเพศชาย เป็นต้น ซึ่ง เพศกำเนิด อัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศ แล้วก็การแสดงออกทางเพศ ไม่จำเป็นต้องไปทางเดียวกันเลย มันสามารถแยกกันได้แบบสุด ๆ เพราะฉะนั้นเราเลยมี Bisexual ที่จริง ๆ เป็นผู้ชายข้างใน แต่สามารถรักได้ทั้งสองเพศ เรามีทอม ที่เค้าชอบผู้หญิง แล้วเค้าอยากให้มีความเป็นชายในตัวนิดนึง แต่เค้าไม่ได้อยากมีร่างกายที่ข้ามไปเป็นเพศชายเลย เป็นต้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อทั้ง 4 เพศ มารวมกันในหนึ่งคน มันกลายเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นอย่างเลย และกลายเป็นที่มาของคำว่า หลากหลายทางเพศ”“ยาคุมกำเนิด” ไม่แนะนำให้ใช้ในการข้ามเพศ“การทานยาคุมกำเนิด ถามว่ามันทานแล้วสวยมั้ย เนียนมั้ย ตอบเลยว่ามันสวย เพราะว่าในยาคุมกำเนิดก็เป็นฮอร์โมนเพศหญิง เพียงแต่ยาเม็ดคุมกำเนิดชื่อของมันก็บอกอยู่แล้ว เหตุผลที่เราให้กินยาคุมกำเนิดก็เพื่อที่จะคุมกำเนิด เพราะฉะนั้นรูปแบบฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมกำเนิดมันจะเป็นแบบที่ค่อนข้างแรง เพื่อที่จะกดการตกไข่ในเพศหญิงในขณะที่หลักการให้ฮอร์โมน เช่น คุณผู้หญิงที่หมดประจำเดือน หรือคุณผู้หญิงที่รังไข่ไม่ทำงานตอนเด็ก ๆ หรือหญิงข้ามเพศ เราไม่ได้ต้องการยาที่มันเยอะจนไปกดการตกไข่ เพราะเราไม่ได้ต้องการคุมกำเนิด เราแค่ให้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อให้ร่างกายมีฮอร์โมนเพียงพอ ซึ่งมันคนละหลักการกันเลยสาว ๆ ที่กินยาคุมกำเนิด เวลาเจาะเลือด แล้วส่งเลือดไปตรวจในห้องแล็ป มันจะไม่สามารถวัดระดับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดได้ เพราะฉะนั้นกินเยอะเท่าไหร่เราไม่รู้เลย และไม่รู้เลยว่าระดับฮอร์โมนที่ได้รับมันสูงมากเท่าไหร่แล้ว ในขณะที่ฮอร์โมนที่คุณหมอแนะนำในการใช้เพื่อการข้ามเพศ มันสามารถตรวจวัดระดับได้ในเลือด เพราะฉะนั้นหากใช้ฮอร์โมนที่เหมาะสมในการข้ามเพศ คุณหมอจะสามารถมอนิเตอร์ และตรวจติดตามได้สำหรับวิธีการใช้ฮอร์โมนในการข้ามเพศที่ถูกต้อง หลักการง่าย ๆ เลยคือ เราจะให้ฮอร์โมนเหมือนกับฮอร์โมนที่ร่างกายเราสร้าง เพราะฉะนั้นในผู้หญิงข้ามเพศ เราก็จะให้ฮอร์โมนที่รูปแบบ รูปร่าง โครงสร้าง หรือวิธีการเข้าไปทำงานในร่างกาย มันเหมือนกับฮอร์โมนที่รังไข่ในเพศหญิงสร้าง ในหญิงข้ามเพศถ้ายังไม่ผ่าตัด แสดงว่าร่างกายยังมีอวัยวะที่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศชายได้อยู่ เพราะฉะนั้นผมก็จะให้ยา 2 ตัว ตัวแรกก็คือเอสโตรเจนที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง อีกอันหนึ่งก็คือต้องให้ ยากดฮอร์โมนเพศชาย แต่ถ้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนเพศชายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานยากดฮอร์โมนเพศชายอีกต่อไป ทานแค่ฮอร์โมนเพศหญิงก็เพียงพอแล้วในชายข้ามเพศเหมือนกัน เกิดมาเป็นเพศหญิง แต่อยากเปลี่ยนเป็นเพศชาย มีลักษณะความเป็นชาย เราก็ให้ฮอร์โมนเพศชายที่มีลักษณะเหมือนกับที่อัณฑะสร้าง ซึ่งผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่ชายข้ามเพศเข้ามาปรึกษาคุณหมอเยอะ เพราะว่าฮอร์โมนสำหรับชายข้ามเพศหายากกว่า และส่วนใหญ่ชายข้ามเพศต้องฉีดฮอร์โมนเพศเดือนละ 1-2 ครั้ง เลยต้องเข้ามาปรึกษาคุณหมอ นอกจากนี้หากในร่างกายมีฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป มันจะส่งผลเสียต่อร่างกาย อย่างเช่น เรื่องเลือดข้น เพราะฮอร์โมนเพศชายมันจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง โดยเลือดของเราเหมือนกับท่อน้ำประปา เลือดมันต้องไหลดี แต่ถ้าเลือดข้นก็เหมือนมีโคลนอยู่ในท่อ เมื่อร่างกายสร้างเม็ดเลือดมาก เลือดก็จะหนืด ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง เลี้ยงหัวใจ เลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่ดี และคนที่ใช้ฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป ก็จะทำให้มีผลเสียในเรื่องของคอเลสเตอรอล ไขมันเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็จะเป็นประเด็นที่เราต้องดูแล ส่วนเรื่องการใช้ผ้ารัดหน้าอกไม่มีผลต่อมะเร็งเต้านม ไม่ได้มีข้อมูลว่าการรัดหน้าอกทำให้เป็นมะเร็งเต้านมเยอะขึ้น แต่ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงของการรัดหน้าอกคือ ถ้ารัดเยอะเกินไป หรือแน่นเกินไปมันก็จะกดทับจนเกิดเป็นแผลกดทับ เหมือนคนไข้นอนติดเตียง ที่นอนท่าเดิมนาน ๆ ดังนั้นถ้าเกิดรัดหน้าอกแน่นมาก เลือดก็ไหลเวียนไม่ดี และอาจจะเป็นแผลขึ้นมาได้ แล้วก็ถ้ารัดแน่นมาก บางทีหายใจไม่ออก มันก็อาจจะมีปัญหาเรื่องปอด เรื่องการหายใจตามขึ้นมาได้เวลาใช้ฮอร์โมนเพื่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย บางอย่างมันเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย ถ้าร่างกายโดนฮอร์โมนเพศชายเข้าไปแล้วมันจะเปลี่ยนกลับยาก เช่น บางคนที่ใช้ฮอร์โมนตั้งแต่เด็ก ๆ กระดูกยังไม่โต เสียงยังไม่ทุ้ม ทำให้เค้ามีลักษณะที่กลายเป็นเพศหญิงเลย ในขณะที่บางคน เริ่มมาใช้ฮอร์โมนตอนอายุ 30 ซึ่งก่อนหน้านั้นร่างกายโดนฮอร์โมนเพศชายมาสักพักแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้ใช้ฮอร์โมนยังไงลักษณะของเพศหญิงที่แสดงออกมาก็จะไม่เท่าคนที่ใช้ฮอร์โมนมาตั้งแต่เด็ก ๆในปัจจุบันเราใช้คำว่า ยืนยันเพศ เพราะเราไม่ได้ให้ใครข้ามเป็นใคร เราไม่ได้เปลี่ยนใครเป็นใคร เรายืนยันว่าคุณเป็นเพศอะไร แล้วใช้ฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศนั้น ซึ่งจะเพศไหนก็ตาม หากต้องใช้ฮอร์โมน หรือ การผ่าตัด เพื่อการยืนยันเพศ ผมแนะนำให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอ เพราะว่ามันมีผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนหรือการผ่าตัด ซึ่งการปรึกษาคุณหมอ จะทำให้เรามอนิเตอร์ และตรวจติดตามกันได้อย่างปลอดภัย”ทานยาคุมกำเนิดแล้วหน้าใส จริงหรือไม่?“จริงครับ คุณผู้หญิงจะมีภาวะที่เรียกว่าถุงน้ำซีสต์ในรังไข่หลายใบ ซึ่งเป็นภาวะที่เจอบ่อยมาก เวลาพบเคสผู้หญิงที่น้ำหนักตัวเยอะ หน้ามัน สิวขึ้น ขนขึ้น หรือประจำเดือนมาผิดปกติ เราก็จะหาตรวจหาสาเหตุก่อน ซึ่งมักจะมีภาวะถุงน้ำซีสต์ในรังไข่หลายใบนี่แหละ ภาวะนี้เกิดจากการที่คุณผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศชายเยอะเกินไป ทำให้มีอาการของเพศชายเกิดขึ้น มีขนขึ้น หน้ามัน ซึ่งการให้ยาคุมกำเนิดเข้าไป จะเป็นเหมือนการล้างไพ่ และผลที่ตามมาคือ จะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น หน้าไม่มัน สิวน้อยลง ดังนั้นที่ถามว่า ทานยาคุมกำเนิดแล้วหน้าใสจริงไหม จริงครับ”ทานยาคุมกำเนิดเยอะ ๆ จะทำให้ “อ๊องยาคุม” จริงหรือไม่?“ผมพยายามเสิร์ชหาคำนี้มานานมาก คำว่า อ๊องยาคุม คืออะไร เพราะในทางการแพทย์ไม่มีคำว่าอ๊องยาคุม แต่เจอคนมาบ่นเยอะเลย ผมเจอหญิงข้ามเพศบางคน ทานยาคุมกำเนิด 6-7 เม็ดต่อวัน แล้วเค้าจะบอกว่ามันเบลอ ๆ แต่ทางการแพทย์ ยังไม่มีการศึกษาที่บอกแน่ชัดว่ามีภาวะนี้รึเปล่า ซึ่งในความคิดของผมคิดว่า ถ้าฮอร์โมนมันเยอะเกินไป มันคงต้องส่งผลอะไรบางอย่างในร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นอาการเบลอ ๆ ขึ้นมาครับ”การฉีดฮอร์โมน ดีกว่าการทานฮอร์โมน จริงไหม?“หลักการคือ เราใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อเอาฮอร์โมนเข้าไปอยู่ในเลือดของเรา ไม่ว่าจะเป็น การกิน การฉีด หรือการทา สามารถเอาฮอร์โมนเข้าไปอยู่ในเลือดได้ทั้งหมด โดยประสิทธิภาพในการทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงแทบจะไม่แตกต่างกัน แต่ว่าการฉีดเป็นการนำฮอร์โมนเข้าสู่เลือดได้เร็วที่สุด ฉีดปุ๊บฮอร์โมนขึ้นเลย ส่วนการกินก็อาจจะทำให้ฮอร์โมนเข้าสู่เลือดเร็วกว่าการทา เพราะการทามันต้องค่อย ๆ ซึมผ่านผิวหนัง เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบเทียบ 3 วิธี แน่นอนว่าการฉีดได้ผลเร็วที่สุด การกินก็จะเร็วรองลงมา การทาจะช้าที่สุด แต่ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องความปลอดภัย การทาชนะเลิศเลย เพราะในเรื่องลิ่มเลือด ผลต่อโรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดในสมอง การทาถือว่าดีมาก ๆ ซึ่งถ้าหากมีใครมาปรึกษาผม แล้วบอกว่าตอนนี้สูบบุหรี่อยู่ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ น้ำหนักตัวเยอะ หรือว่าในครอบครัวมีโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมอง ผมก็จะเชียร์ให้ทาฮอร์โมน เพราะความปลอดภัยมันดีกว่ามาก ๆ”คุณผู้หญิงช่วงวัยทอง สามารถใช้ฮอร์โมนเพิ่มได้ไหม?“พอคุณผู้หญิงเข้าสู่วัยทอง คำว่าวัยทองคือรังไข่ไม่สร้างฮอร์โมน เพราะฉะนั้นร่างกายก็จะไม่มีฮอร์โมนเพศหญิงหลงเหลืออยู่เลย อาการของวัยทองก็จะร้อนวูบวาบ หงุดหงิดง่าย ช่องคลอดแห้ง มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ บางคนมีปัสสาวะกระปริดกระปอย ถ้ามีอาการมาก แนะนำให้มาปรึกษาคุณหมอ เพื่อปรึกษาการใช้ฮอร์โมนทดแทนได้แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงวัยทองทุกคนจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน เนื่องจากมันมีผลข้างเคียงของฮอร์โมน อันดับแรกเลยคือ การใช้ฮอร์โมนทดแทนในคุณผู้หญิงที่อายุเยอะหลังวัยหมดประจำเดือน จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้หากใช้ฮอร์โมนทดแทนในคุณผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดในสมองมากขึ้นได้ ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าอาการที่เป็นมันรบกวนชีวิตมากจนถึงขั้นต้องไปเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้รึเปล่า ต้องประเมินเป็นราย ๆ ไปครับ”ผลข้างเคียง หากใช้ฮอร์โมนไม่เหมาะสม“อันดับแรกเลยคือ โอกาสในการเกิดโรคลิ่มเลือดดำอุดตันเพิ่มขึ้น มีช่วงหนึ่งที่วัคซีนโควิดกำลังบูม มันจะมีข้อมูลที่บอกว่าฉีดวัคซีนชนิดนี้ระวังลิ่มเลือดอุดตัน และนี่คือผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนด้วยเช่นกัน โดยการใช้ฮอร์โมนเพศ สามารถเพิ่มโอกาสเป็นลิ่มเลือดดำอุดตันได้ อย่างในคุณผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเพื่อจะป้องกันการตั้งครรภ์ ก็มีโอกาสที่จะเป็นลิ่มเลือดดำอุดตันมากขึ้นประมาณ 2-5 เท่าแล้วการทานฮอร์โมนนาน ๆ มีผลต่อตับ และ ไต หรือไม่ จริง ๆ แล้วร่างกายสามารถเคลียร์ออกได้ แต่ในยาบางชนิด เช่นยากดฮอร์โมนเพศชาย ก็อาจจะทำให้มีอาการตับอักเสบได้ เหมือนเรากินยาพารา หรือไปดื่ม ที่สามารถรบกวนการทำงานของตับได้ เพราะฉะนั้นทุกหกเดือนถึงหนึ่งปี ควรไปพบแพทย์ เพื่อเจาะตรวจค่าตับว่ามีผลข้างเคียงรึเปล่า ส่วนเรื่องไตแทบจะไม่มีผลเลยนอกจากนี้มีข้อมูลบอกว่า การใช้ฮอร์โมนอาจจะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดในสมอง เพราะฉะนั้นถ้าใครมีปัญหาเรื่องความดัน มีภาวะของโรคเบาหวาน หรือมีปัญหาเรื่องไขมัน ก็ต้องมีการคุมควบคุมการใช้ฮอร์โมนให้ดี”ข้อควรรู้ ก่อนผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศสภาพ“เวลาคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาปรึกษาผม ผมก็จะทำการประเมินครั้งแรกที่เจอกันก่อนว่า อยากได้ยังไง แล้วผมทำให้ได้หรือเปล่า ถ้าผมทำไม่ได้ก็จะบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าผมทำได้ก็โอเค ซึ่งคำว่า การผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ มันก็มีหลายระดับ เช่น ในหญิงข้ามเพศก็จะมีตั้งแต่ การเสริมหน้าอก นั่นก็เป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง หรือ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ อันนั้นก็เป็นหัตถการเพื่อปรับรูปหน้า ส่วนที่จะเป็นการผ่าตัดใหญ่ก็คือ การผ่าตัดช่องคลอด มันก็จะมีตั้งแต่ตัดออก บางคนตัดแค่อัณฑะเพื่อตัดอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนเพศชายอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่ที่อยากทำกันก็จะเป็นการทำช่องคลอดขึ้นมา ซึ่งก็ต้องตัดอัณฑะแล้วก็ทำช่องคลอด โดยจะมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะเหมือนการผ่าตัดใหญ่ ต้องพักฟื้น แล้วก็หลังผ่าตัดต้องทำการไดเลท เพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน ซึ่งเป็นการดูแลที่ต้องมีรายละเอียดขึ้นมาส่วนในชายข้ามเพศ ใครที่ไม่อยากมีหน้าอกก็สามารถพิจารณาตัดหน้าอกได้ หรือว่าคนที่อยากจะทำอวัยวะเพศชาย ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ปิดช่องคลอดก่อน ซึ่งต้องตัดมดลูก และต้องพิจารณาเรื่องการตัดรังไข่ ที่ต้องคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียต่อไป และต้องมีการสร้างองคชาติ โดย ณ ปัจจุบัน เราจะใช้เนื้อที่อวัยวะอื่นมาปั้น เช่น เนื้อที่ต้นแขน เนื้อที่ต้นขา แล้วก็ทำการยืดท่อปัสสาวะ จากนั้นก็เอาเนื้อไปสร้างเป็นอวัยวะเพศชาย ซึ่งปัจจุบันข้อจำกัดในการทำอวัยวะเพศชาย ก็อาจจะยังไม่สามารถทำให้แข็งตัวได้ เพราะว่าเนื้อเยื่อมันคือเนื้อเยื่อขา เนื้อเยื่อแขน แต่ช่วงหลัง ๆ ก็จะมีแนวคิดที่ว่าเอาแกนใส่เข้าไป เกิดเป็นเทคนิคใหม่เรื่อย ๆในปัจจุบัน ยิ่งทราบเร็วยิ่งดี คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ อยากให้พาเข้ามาปรึกษาคุณหมอได้เลย ซึ่งมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ ถ้าน้องอายุน้อยกว่า 18 ปี ต้องมีผู้ปกครองพามา เพราะฉะนั้นในครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนก็จะพาลูกเข้ามาปรึกษาได้ ซึ่งผมเห็นแนวโน้มที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก สมัยก่อนตอนที่ผมกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกมารักษาให้เปลี่ยนเพศกลับ แต่ช่วงนี้กลายเป็นว่า คุณพ่อคุณแม่พาลูกมาปรึกษาหมอ ในมุมมองที่ว่า ถ้าลูกอยากเป็นอะไร ให้เค้าเป็นแบบที่ปลอดภัยดีกว่า แนวโน้มของเทรนด์มันเปลี่ยนไปปัจจุบัน มีพี่น้องทรานส์เจนเดอร์ หรือ LGBTQ+ ที่พยายามรณรงค์ให้การผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศ เป็นสิทธิ์พื้นฐานที่เอามาอยู่ในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งหลายคนก็อาจจะมองว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเลย แต่ถ้าหากว่าได้มาทำงาน หรือถ้าหากคุณเกิดเป็นคนข้ามเพศ หรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นคนข้ามเพศ ก็จะเข้าใจว่ามันเป็นวิธีการดูแลทางการแพทย์อย่างหนึ่ง ที่ช่วยชีวิตพวกเค้าได้ ซึ่งมันจะช่วยลดอาการซึมเศร้า ลดอัตราการฆ่าตัวตาย แล้วมันมีผลดีต่อสุขภาพหลาย ๆ อย่าง โดยตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ต้องรอติดตามในอนาคต”ผมไม่สามารถเปลี่ยนเพศใครได้ แต่สามารถทำให้สิ่งที่เค้าอยากเป็นปลอดภัยได้“หากมีคุณพ่อคุณแม่จะพาลูกมารักษาให้เปลี่ยนเพศกลับ ผมจะบอกว่า ผมทำไม่ได้ครับ ผมไม่สามารถเปลี่ยนเพศใครได้ แต่ผมสามารถทำให้สิ่งที่เค้าอยากจะเป็น ให้เป็นในเวอร์ชันที่ปลอดภัยได้ มีการศึกษาทางการแพทย์มากมายพบว่า เราไม่สามารถเปลี่ยน หรือไปจัดการกับเพศใครได้ หากเอาเด็กเพศชายที่เค้าคิดว่าตัวเองเป็นเพศหญิง ไปเลี้ยงในเด็กโรงเรียนประจำที่เป็นชายล้วน แต่งตัวเป็นผู้ชาย ยังไงสุดท้ายเค้าก็จะเป็นผู้หญิง ผมว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ครับ” – คุณหมอปิแอร์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ทุกสัปดาห์ดูรายการย้อนหลัง

15 ธ.ค. 2023

เปิดชีวิตจริงของ “ชาล็อต ออสติน” นางฟ้าบนดิน นางงามคู่จิ้นเงินล้าน สู่การเป็นนางเอกคนต่อไป

“สิ่งที่ทำให้หนูมาอยู่จุดนี้ได้ คือการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ร้องเพลงไม่ได้ก็ไปเรียน เต้นไม่ได้ก็ไปฝึก หนูไม่ได้เป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ถ้าเรื่องพรแสวงหนูก็ไม่ได้แพ้ใคร”รายการ Club Pride Day กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษที่สวยมาก ๆ และมีเครื่องการันตีความสวยด้วยมงกุฎจากตำแหน่ง Miss Grand Chumphon 2022 และ รองอันดับ 5 Miss Grand Thailand 2022 แต่กว่าที่จะมีวันนี้ได้ เธอผ่านหลากหลายบททดสอบของชีวิต แต่ด้วยความตั้งใจ และไม่ยอมหยุดพัฒนาตัวเอง จึงพาให้เธอก้าวข้ามปัญหา และคว้าโอกาสที่เข้ามาในชีวิต จากนางงาม ศิลปิน และกำลังจะก้าวสู่การเป็นนางเอกคนต่อไป สีสันแห่งชีวิต และแรงบันดาลใจ ถูกส่งต่อ เมื่อสองดีเจได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ชาล็อต ออสติน” นางฟ้าบนดิน นางงามคู่จิ้นเงินล้าน สู่การเป็นนางเอกคนต่อไป พร้อมหลากหลายเรื่องราว ที่ ชาล็อต ได้นำมาแชร์ และพูดคุยกันในรายการด้วยย้อนวัยใส ของ ชาล็อต ออสติน“ตอนเด็กหนูแมนมาก ๆ เพราะถูกเลี้ยงมากับคุณพ่อ และคุณพ่อเป็นทหาร ก็เลยค่อนข้างเข้มงวดและวิธีการสอนหนึ่งของคุณพ่อคือ เวลาที่อยากได้อะไรก็ต้องซื้อเอง สมมติว่าอยากได้โทรศัพท์สักเครื่องหนึ่ง ก็ต้องไปทำงานแล้วเอาเงินมาซื้อ ซึ่งคุณพ่อก็อาจจะช่วยเติมได้นิดหน่อย เพราะท่านอายุเยอะแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายของท่าน แล้วหนูทำงานมาหลากหลายมาก ตั้งแต่ ม.5 มีทั้งขายของออนไลน์ เป็นเด็กเสิร์ฟร้านส้มตำ เป็นพนักงานร้านน้ำปั่น แล้วก็เป็นผู้ช่วยช่างสัก เพราะตอนนั้นหนูไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ อยากไปทำงานหาประสบการณ์ ซึ่งพอมองย้อนกลับไป มันไม่ได้ลำบากเลย หนูรู้สึกว่ามันสนุกด้วยซ้ำที่ได้ทำหลากหลายงานตอนเด็กหนูมีเพื่อนผู้ชายเยอะ เลยเป็นคนแมน ๆ เป็นสายลุยไปไหนไปกัน เวลาที่โรงเรียนมีกีฬาสี หนูก็มักจะเป็นนักกีฬา เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เป็นดรัมเมเยอร์ แต่ว่าไม่ชอบซ้อม แล้วมันต้องซ้อม ท่าต้องเป๊ะ เวลาเลิกเรียนต้องไปซ้อม ซึ่งตอนนั้นหนูมองว่าเอาเวลาสองชั่วโมงที่ซ้อม กลับบ้านไปเล่น MSN ไปเล่นเกมดีกว่า หนูชอบไปเตะฟุตบอล เล่นวอลเลย์บอล เล่นบาสเกตบอล อะไรแบบนั้นทำได้หมดเลย แต่ถ้าให้ไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เต้น หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง สาม อันนี้ไม่ได้จริง ๆ”ความฝันของคุณแม่ คืออยากให้เป็นแอร์โฮสเตส“ตอนเด็ก ๆ คุณแม่อยากเป็นแอร์โฮสเตส แต่ว่าคุณยายไม่มีเงินส่งคุณแม่เรียน ก็เลยบอกให้หนูทำเพื่อแม่ได้ไหม แม่อยากเห็นลูกใส่ชุดแอร์โฮสเตสจังเลย ตอนแรกหนูก็อยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะมองว่ามันคืองานที่ได้เที่ยวด้วย ได้ทำงานด้วย ได้เจอผู้คน ได้เจอสิ่งต่าง ๆ ไม่ต้องอยู่กับที่ เพราะหนูไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบทำงานที่มันหลากหลาย แต่ว่าพอโตมาแล้วได้มาอยู่ ณ จุดนี้ หนูไม่อยากเป็นเป็นแอร์โฮสเตสแล้ว เพราะทุกวันนี้หนูบินบ่อยกว่าแอร์โฮสเตสอีก แต่เส้นทางนี้มันก็เคยเป็นอีกหนึ่งความฝันของหนู ซึ่งตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นแอร์โฮสเตส หนูก็อยากเข้าวงการบันเทิงไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นดาราเท่านั้น เพราะพอหนูก้าวสู่การเป็นนางงาม หนูได้รับหลาย ๆ โอกาสจากผู้ใหญ่ จากทางช่อง ทางค่าย หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่จ้างเราไปไลฟ์ ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันก็เหมือนอยู่ในวงการบันเทิง ได้ร้องเพลง ได้ไลฟ์ขายของ ได้สร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างเงินให้เราได้ หนูมี บอสณวัฒน์ เป็นตัวอย่าง บอสเป็นผู้บริหารแต่ว่ายังมานั่งไลฟ์ขายของ เพื่อเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อสิ่งที่อยากได้ บอสเคยบอกว่า อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันจริงมาก ๆ เพราะว่าตั้งแต่หนูไลฟ์ เงินที่หนูได้ซื้อในสิ่งที่อยากได้ ก็มาจากการที่เราไลฟ์ขายของ จากการที่เราลงมือทำหนูอยากเป็นดีเจด้วยนะคะ เพราะเป็นคนที่ชอบฟังเพลง แล้วเวลาหนูไลฟ์ ก็จะร้องเพลงบ้าง แปลงเพลงบ้าง หรือว่าเวลามีเพลงใหม่ ๆ หรือเพลงเก่า ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จัก หนูก็จะเอามาร้องหรือเอามาให้คนฟัง หลังจากนั้นคนก็จะเริ่มบอกว่าตามเพลงนี้มาจากน้องชาล็อต หนูรู้สึกว่าวันไหนไม่ได้เปิดเพลงแล้วจะอยู่ไม่สุข ก่อนขับรถต้องเปิดเพลง ตื่นนอน ก่อนอาบน้ำต้องเปิดเพลง เพลงคือชีวิตจิตใจของหนู ก็เลยอยากลองเป็นดีเจดูบ้าง นั่งในห้องแล้วก็เปิดเพลง ทำงานด้วย สร้างความสุขให้คนฟังด้วย”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงาม“มาริม่า เพื่อนของหนูเป็นคนเปิดประตูเส้นทางนางงามให้ค่ะ เพราะเค้าเป็นนางงามมาก่อนตั้งแต่ปี 2017 แล้วเค้าชวนหนูทุกปีเลยว่ามาประกวดนางงามสิ มันมีตำแหน่งไรซ์ซิ่งสตาร์ที่ได้เซ็นสัญญากับทางช่อง ได้เข้าวงการบันเทิงเลยนะ ซึ่งหนูก็ปฏิเสธมาตลอด จนหนูเริ่มเห็นว่า มิสแกรนด์เริ่มเปิดกว้าง เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เราเข้าสู่ในวงการบันเทิงได้ เลยตัดสินใจเริ่มประกวด Miss Grand Phuket ได้ตำแหน่งรองอันดับ 1 แล้วไปต่อ Miss Grand Chumphon จนได้มง แล้วได้เข้าประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022การเข้าสู่วงการนางงาม หนูต้องปรับตัวเองเยอะมาก จากเด็กห้าว ๆ และตอนนั้นหนูจัดฟัน ก็เลยเป็นคนพูดเร็ว หนูไม่ค่อยอ้าปากเวลาพูดเพราะมันติดเหล็กดัดฟัน ต้องพยายามปรับแก้ ซึ่งมันก็ดีขึ้น แต่ก็จะมีบางครั้งเผลอพูดแบบไม่อ้าปากอยู่บ้าง เรื่องการหายใจก็ต้องปรับ เพราะเวลาเดินหนูจะไม่หายใจ จะหายใจแค่ตอนหยุดโพส ถ้าเดินปุ๊ปจะกลั้นหายใจเลย จนกระทั่งได้เรียนเดิน แล้วครูก็สอนว่า เวลาเดินต้องหายใจ ต้องมีเทคนิค ต้องเดินทิ้งสะโพก สายตาต้องโฟกัส ต้องมีจังหวะเป็นของตัวเอง อีกอย่างที่ต้องฝึกคือ การยิ้ม เมื่อก่อนหนูยิ้มแบบคนใส่เหล็กดัดฟัน ต้องฝึกหลายอย่างมากกว่าจะได้รูปองค์ทรงเครื่องแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่เริ่มจนมาถึงตอนนี้ได้ หนูภูมิใจมากในช่วงที่ประกวดหนูไม่มีความกดดันเลย เพราะหนูไม่ใช่ตัวเต็ง หนูรู้สึกว่าการไปประกวดนางงามของหนูเหมือนการไปเข้าค่ายกับเพื่อน ๆ จนเข้าสู่อาทิตย์สุดท้ายของการประกวด เริ่มมีแฟนคลับเยอะขึ้น คนเริ่มติดตามมากขึ้นจนกลายเป็นกระแส ยิ่งมาอยู่ในกอง มาเป็นคู่จิ้นกับพี่อิงฟ้าด้วย คนก็ยิ่งเริ่มติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ และการได้อยู่ในแก๊งพลังใบ ที่ทุกคนในแก๊งพลังล้น จัดเต็มทุกรอบ แล้วพออยู่ด้วยกันเป็นแก๊งก็จะยิ่งเพิ่มพูนพลังขึ้นไปอีก แฟนคลับก็ชื่นชอบและคอยเชียร์เต็มที่ จนถึงวันไฟนอล หนูเลยตั้งใจทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่เสียดาย และเสียใจทีหลัง จนได้ตำแหน่ง รองอันดับ 5 Miss Grand Thailand 2022 มาค่ะ”#อิงล็อต ไม่ใช่แค่คู่จิ้น แต่คือพาร์ทเนอร์ที่ดีต่อกันในทุกเรื่อง“เริ่มจากการขึ้นไลฟ์ด้วยกัน ด้วยความที่พี่อิงฟ้าอยู่ในกลุ่ม LGBTQ+ เค้าก็ถามว่า หนูอยู่ในกลุ่ม LGBTQ+ ไหม หนูก็บอกว่า จริง ๆ แล้วหนูก็อยู่นะ แต่หนูไม่เคยลองคบผู้หญิง เพราะว่าไม่เคยมีผู้หญิงมาจีบเลย ก่อนหน้านี้เคยคบแต่ผู้ชาย แล้วพี่อิงฟ้าก็บอกว่า งั้นก็ลองสิ แฟนคลับก็กรี้ดว่าสองคนนี้เค้าจีบกัน หลังจากนั้นก็ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ยาว กลายเป็นแฮชแท็ก #อิงล็อต มาถึงทุกวันนี้ณ ตอนนั้นหนูไม่ได้เตรียมรับมืออะไรเลย หนูแค่รู้สึกว่าแฮปปี้ที่มีคนชอบเราสองคนเวลาอยู่ด้วยกันแล้วเราสร้างความสุขให้กับแฟนคลับได้ แต่ก็จะมีความกดดันจากแฟนคลับทุกวันที่อยากให้เราคบกันจริง ๆ ด้วยความที่มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกจริง ๆ ของคนคนหนึ่ง จากพี่อิงฟ้าที่เค้าชอบเราจริง ๆ คนก็เลยคาดหวังว่าต้องลองคบกัน แต่เราสองคนคุยกันว่า ให้มันเป็นแบบพี่น้องดีที่สุดแล้ว รักกันในจุดที่เราสองคนต่างรู้ว่ามันเป็นยังไงก็พอเคยมีช่วงที่เราสองคนกดดันมาก ๆ จนไม่คุยกันเลย เพราะเวลาเข้าใกล้ก็จะโดนจับจิ้นตลอด กลายเป็นว่าเราก็ต่างคนต่างถอยออกมา ไม่คุยกัน เคยเคลียร์กัน 7 รอบเลยนะ จนได้มาคุยกันถึงรู้ว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้น เพราะเราไม่ได้สื่อสาร ไม่ได้ถามกันให้มันตรง ๆ เรามักจะเงียบใส่กัน ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไรเลย หลังจากนั้นเราเลยได้คุยกันเยอะขึ้นจนอยู่เป็น #อิงล็อต ของแฟน ๆ มาจนถึงวันนี้มันไม่มีนิยามให้ความสัมพันธ์ มีแต่ความหวังดีที่มีให้กัน คือเราไม่ได้กำหนดเจาะจงไว้ว่า เธอจะต้องเติบโตไปกับฉันในฐานะคู่จิ้นนะ ฉันยินดีที่จะเห็นเธอเติบโตในเส้นทางของที่เธออยากไป เธออยากเล่นหนังเธอก็ไปในเส้นทางนั้นเลย ฉันอยากเล่นละครฉันก็ไปเส้นทางนี้เลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีงานด้วยกัน เราก็ยังคงเป็นอิงล็อตแบบนี้ เป็นพาร์ทเนอร์ที่ต่างคนต่างให้คำปรึกษากัน แล้วก็คอยดันแต่ละคนไปในเส้นทางที่ตัวเองอยากไปต้องขอบคุณพี่อิงฟ้ามาก ๆ ที่พยายามทำทุกอย่างมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของงาน ในเรื่องของซีรีส์ ในเรื่องของการใช้ชีวิต ในเรื่องของบทเรียนต่าง ๆ พี่อิงฟ้า เป็นคนที่สอนหนูในหลาย ๆอย่าง อยากจะขอบคุณที่คอยเป็นพี่ที่ปรึกษาที่ดี ทุกครั้งที่เราได้ทำงานด้วยกัน ก็ยังเป็นความสุขของกันและกันอยู่ และอยากจะให้เป็นความสุขแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เป็น #อิงล็อต ที่เป็นความสุขให้กับทุกคน”จากคู่จิ้นสุดฟิน สู่ซีรีส์สุดอิน“Show Me Love ก็เหมือนซีรีส์ที่มาจากชีวิตจริงเลย จากการประกวดนางงาม เริ่มชอบกัน อีกคนหนึ่งไม่ได้ชอบผู้หญิง แล้วสุดท้ายอีกคนหนึ่งก็ทำให้หวั่นไหว แล้วกลายเป็นลงเอยแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ถือว่าเป็นการเสิร์ฟความสมหวังให้เหล่าสาววาย ซึ่งหนูมองว่า ซีรีส์เรื่องนี้มันสะท้อนเรื่องราวหลายอย่าง เช่น ต่อให้เราไม่ได้ชอบผู้หญิง หรือไม่ได้ชอบเพศที่สามมาตั้งแต่แรก เราก็สามารถที่จะคบกันได้ แค่เปิดใจยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็ยอมรับหัวใจตัวเองว่าชอบจริงไหม ถ้าคำตอบมันโอเค มันสบายใจ แค่นั้นก็จบ ซึ่งมันมีหลายปัจจัยมากในเรื่องของความสัมพันธ์ ที่ซีรีส์ Show Me Love ได้ถ่ายทอดเอาไว้”Miss Grand Thailand เวทีที่มอบหลากหลายโอกาส“ทำงานกับบอสณวัฒน์ ท่านดุค่ะ ถ้าหากเราดื้อ บอสจะคอยสอนตลอดว่า งานต้องมาที่หนึ่ง ทำงานก่อน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเรื่องของเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องโอกาส แล้วก็อย่าไปหมิ่นเงินน้อย ให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งหนูเชื่อว่า บอสได้ปูเส้นทางให้เด็กหลาย ๆ คนเอาไว้แล้ว และจะคอยเตือนให้มีสติในกรอบที่วางไว้หนูมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะ Miss Grand เลยค่ะ มีทั้งชื่อเสียง เงินทอง โอกาสต่าง ๆ มีคนรู้จัก มีแฟนคลับ ซึ่งย้อนกลับไปช่วงแรก ๆ ที่เข้าวงการ หนูเคยไม่อยากอยู่จุดนี้แล้ว เพราะมันเหมือนไม่ใช่หนูเลย มันรู้สึกว่าไปไหนก็มีแต่คนมอง มีแต่คนมากดดัน แต่พอเราอยู่ในวงการไปสักพัก ก็รู้สึกว่านี่แหละมันคือวงการบันเทิง มันคือการทำงาน มันคือหน้าที่ที่ต้องแลก คุณอยากมีชื่อเสียง คุณอยากมีแสง พอแสงส่องมา คุณต้องแลกชีวิตส่วนตัวในบางส่วนที่มันอาจจะหายไป ต้องถามตัวเองก่อนว่ารับได้ไหม ถ้ารับได้ก็อยู่ ถ้ารับไม่ได้ก็ไป ซึ่งทุกวันนี้หนูรับได้ หนูได้เติบโตไปพร้อม ๆ กับแฟนคลับที่อยู่กับหนูมาตั้งแต่วันแรก เติบโตในด้านของการทำงาน ได้เจอกับผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส หรือว่างานต่าง ๆ ที่เราได้รับมา และยังคงไปต่อไหวในเส้นทางนี้เรื่องคอมเมนต์เชิงลบ ก็มีบางคอมเมนต์ที่กระทบจิตใจถึงขั้นที่หนูต้องไปบำบัดจิต เพราะหนูรู้สึกว่าโซเชียลมันท็อกซิกมาก แต่ถึงยังไงหนูก็ขาดโซเชียลไม่ได้อยู่ดี เพราะเรามีชื่อเสียงได้เพราะโซเชียล และต้องใช้ชีวิตกับโซเชียล เราก็แค่เลือกว่าอันไหนดีเราก็รับ อันไหนไม่ดีเราก็ตัด ไม่จำเป็นจะต้องให้คนมาคอยข่มตลอด มีผู้เข้าประกวดคนหนึ่งเคยพูดว่า อย่าสนใจน้ำลายราคาถูก เพื่อแลกกับความฝันตัวเอง หนูชอบมาก เพราะรู้สึกว่ามันจริง ความฝันของเรามันไกลแค่ไหน ยากแค่ไหนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ แล้วทำไมเราถึงจะต้องผลักตัวเองออกจากเส้นทางความฝัน ทำไมต้องมาสนใจกับคำพูดเชิงลบ มันทำให้หนูเลือกที่จะฮึดสู้ แล้วก็อยู่ต่อได้”Charlotte Possible คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก ของ ชาล็อต ออสติน“ตอนที่บอสถามว่า อยากมีคอนเสิร์ตเดี่ยวไหม ในใจหนูตอนนั้นคืออยากมี เพราะเป็นโอกาสเดียวที่หนูจะสามารถมีได้ ซึ่งตอนแรกกลัวเพราะว่าหนูร้องเพลงไม่เพราะ บอสก็เลยบอกว่า ถ้าอยากมี เดี๋ยวพาไปเรียนกับครูก้อย หนูก็ไปเรียนกับครูก้อยอยู่ 3 เดือน ก็เริ่มมั่นใจขึ้น จากที่หนูมีปัญหาเรื่องการหายใจ เรื่องการอ้าปาก ครูก้อยก็สอนพื้นฐานก่อนเลยว่า ต้องอ้าปากเวลาร้อง ต้องหายใจให้ตรงจังหวะเป็นท่อน ๆ เราต้องฟังเยอะ ๆ โชคดีตรงที่ว่าหนูเป็นคนฟังเพลง หนูก็เลยจะรู้เมโลดี้ รู้จังหวะว่าขึ้นตอนไหน แล้วพอมีคอนเสิร์ตครั้งแรก ก็ตั้งใจเลยว่า เราจะปล่อยจอย แฮปปี้ไว้ก่อน เอนจอยไว้เลย พอคอนเสิร์ตจบกลายเป็นว่าผลลัพธ์ดีมาก ๆ มีหลายเพลงที่หนูก็คิดว่าตัวเองทำได้ยังไง เรียนแค่สามเดือน จากเด็กที่ขึ้นผิดคีย์ หายใจก็ไม่ตรงจังหวะ มีคอนเสิร์ตเดี่ยวได้ แล้วพอแฟนคลับบอกว่าภูมิใจ บอสภูมิใจ หนูก็แฮปปี้มาก ๆ”มนต์รักลูกทุ่ง 2567 ก้าวต่อไปของ ชาล็อต ออสติน“ด้วยความที่เป็นละครถูกรีเมกมาหลายรอบ มันก็เลยมีความกดดัน พอรู้ว่าจะต้องมารับบท ทองกวาว หนูทำการบ้านเยอะมากโดยการกลับไปย้อนดูมนต์รักลูกทุ่งที่ผ่านมาในหลาย ๆ เวอร์ชัน เพื่อดูว่า ทองกวาว แต่ละเวอร์ชันมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง แล้วบอกเลยว่าเวอร์ชันนี้ ทองกวาว จะไม่เหมือนเวอร์ชันอื่นเลย จะมีความทันสมัย ความแสบ ความซน ความดื้อ แล้วก็จะเป็นฝ่ายที่เข้าหา พี่คล้าว ตลอด ซึ่งทางผู้จัดบอกว่าอยากได้ ทองกวาว ที่แตกต่าง ให้คนเดาไม่ได้ว่าจะมาเวอร์ชันไหน ก็อยากให้เปิดใจติดตาม มนต์รักลูกทุ่ง 2567 กันนะคะ”ส่องหัวใจเผยเสปกที่ใช่ ของ ชาล็อต ออสติน“หนูชอบคนสูง เพราะหนูสูง 173 ซม. หนูเลยชอบคนสูง แล้วก็ชอบคนที่นิสัยเหมือนพ่อหนู ซึ่งพ่อเป็นคนที่ไม่ดุ ไม่งี่เง่า ไม่มาเข้มงวด หนูชอบคนที่ดูแลตัวเองได้ แล้วก็ดูแลเราได้ด้วย แล้วช่วงที่หนูต้องการกำลังใจมาก ๆ เขาต้องอยู่ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เขาไม่อยู่ แล้วทำให้หนูรู้สึกว่าหนูอยู่คนเดียว หนูจะไม่เอาเลย เพราะหนูเป็นคนที่โตมากับพ่อแม่ที่แยกทางกัน ถ้ามองลึก ๆ คือเหมือนขาดความอบอุ่นในเรื่องของความรัก หนูโตมาคนเดียว มาอยู่กรุงเทพคนเดียว ไม่มีใครคอยฮีลใจเลย หนูแค่อยากมีเซฟโซน เวลาเหนื่อยงานมาเจอ กินข้าวด้วยกัน นอนดูหนังด้วยกัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี ความรักตอนนี้ ขอโฟกัสเรื่องงานก่อนก็แล้วกัน แล้วที่เหลือก็ค่อยว่ากันอีกทีว่าเมื่อไหร่”คำขอบคุณ จาก ชาล็อต ออสติน“หนูภูมิใจที่ตัวเองไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีสำนักข่าวหนึ่งเคยบอกว่า ชาล็อต ออสติน ในอนาคตกำลังรอ ชาล็อต ออสติน คนนี้เดินไปหาอยู่นะ มันเลยรู้สึกว่า ฉันต้องไปให้ถึงในสิ่งที่อยากทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็แล้วแต่ หนูมองว่าสิ่งที่ทำให้หนูมาอยู่จุดนี้ได้ คือการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ร้องเพลงไม่ได้ก็ไปเรียน เต้นไม่ได้ก็ไปฝึก หนูไม่ได้เป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ถ้าเรื่องพรแสวงหนูก็ไม่ได้แพ้ใครขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะคะ ที่ยังอยู่ซัพพอร์ตแล้วก็พยายามผลักดันเด็กคนนี้ให้ไปในเส้นทางความฝัน เคยมีคนบอกว่า พี่จะอยู่จนกว่าพี่จะตะโกนชื่อน้องแล้วน้องไม่ได้ยิน หนูจะทำตัวให้ดี จะดื้อให้น้อยลง แล้วก็จะสร้างผลงานดี ๆ ให้ทุก ๆ คนได้แฮปปี้ ฝากผลงานไว้ และอยู่กันเป็นครอบครัวแบบนี้ไปนาน ๆ นะจ๊ะ SMILEY แดง ชิงชิง แล้วก็พี่ฟริ้งด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ” - ชาล็อต ออสตินดูรายการย้อนหลัง

08 ธ.ค. 2023

เปิดชีวิตที่ไม่ได้ไปเรื่อย ของ “เป้ย ไปเรื่อย” จากอดีตสไตลิสต์สุดคูล สู่อินฟลูเอนเซอร์สุดปัง!

“เวลาเราเจอปัญหา หรือความผิดพลาด ให้เราพยายามแก้ไข เพราะเป้ยเชื่อว่า ทุกความผิดพลาด มันจะมีความสำเร็จซ่อนอยู่เสมอ”ยังเป็น Club ที่คอยสร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้ฟังเรื่องราวทุกเฉดสีของชีวิตจากเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “เป้ย ไปเรื่อย” อินฟลูเอนเซอร์สายบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากการพลิกชีวิตของสไตลิสต์สายโฆษณา และแฟชั่น มาสู่เพจที่ได้รับความนิยม และวีดีโอ TikTok ที่มาพร้อมความตลกความฮา สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดู จากวิกฤติสู่โอกาส เป้ยทำอย่างไร แล้วชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้าง เป้ย ได้แชร์ให้ฟังในรายการไว้ด้วย“เป้ย ไปเรื่อย” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“จริง ๆ เราชื่อ ท็อป แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนชื่อเลย เพราะรุ่นพี่เค้าจะมีชื่อเรียกให้กับน้อง ๆ แล้วตอนนั้น เป้ย ปานวาด ดังมาก กับบทที่เล่นเป็นแอร์โฮสเตส เรื่องสงครามนางฟ้า หนูก็ได้ชื่อ เป้ย เลยตอนนั้นเราอยากเป็นดารา เพราะตอนเด็ก ๆ เราจะมีเพื่อนที่ได้ถ่ายนิตยสาร แล้วแม่ของเพื่อนชอบเอามาอวดที่โรงเรียนว่า ดูสิลูกไปถ่ายนิตยสารอันนี้มา ซึ่งเรารู้สึกว่าดีจัง ที่บ้านต้องภูมิใจมาก ๆ แน่เลย และในใจลึก ๆ เราก็อยากให้ที่บ้านมาอวดเราแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยอยากเป็นดารา อยากอยู่ในวงการบันเทิง ก็พยายามเอาตัวมาคลุกคลี จนได้มาทำเสื้อผ้า มาเป็นสไตลิสต์ส่วน เป้ย ไปเรื่อย มันมาจากที่เราเริ่มทำเพจ ซึ่งชื่อเพจเป็นอะไรที่ตั้งยากที่สุดเลย ชื่อมาทีหลังคอนเทนต์ด้วยซ้ำ ตอนแรกเราคิดชื่อเป็นภาษาอังกฤษใหญ่โตเลย แต่สุดท้ายมาตกที่ เป้ย ไปเรื่อย เพราะว่าไปถามพี่คนนึงที่ทำสไตลิสต์เหมือนกัน พี่เค้าบอกว่าบุคลิกเราไปเรื่อย ก็เลยตัดสินใจใช้คำต่อท้ายว่า ไปเรื่อย แบบง่าย ๆ 3 พยางค์จบ”ย้อนวัยใส ของ เป้ย ไปเรื่อย“เมื่อตอนเด็ก คุณยายชอบพูดฝังหัวว่า ถ้าเป็นกะเทยจะโดนคุณอาตี คุณอาไม่ชอบกระเทย ทำให้ตอนเด็กเราต้องแอ๊ปแมน เราโตมากับพี่ชายที่เป็นพี่ชายจริง ๆ เลยได้รับไลฟ์สไตล์การฟังเพลง ดูหนัง อ่านการ์ตูน มาจากพี่ชายเยอะมาก เวลาเราอยู่บ้านเราก็จะแมน ๆ แต่เวลาอยู่ที่โรงเรียนเราก็จะเป็นอีกแบบนึงคนในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นทนาย พี่ชาย พี่สาว และคุณอา เป็นทนายทุกคนเลย เราก็จะเห็นพวกเค้าอ่านหนังสือหนักมาก มีหนังสือเป็นปึก 4-5 ตู้ เห็นเค้าต้องท่อง มาตรา 4 มาตรา 8 หน้า 3 วรรค 2 เยอะไปหมด ซึ่งเราไม่เก็ทเลย เราก็เลยเบนเข็ม เราชอบแต่งหน้า ชอบแต่งตัว เลยปูทางไปสู่การเป็นสไตลิสต์ ซึ่งเราไม่เคยรู้สึกว่าพ่อกับแม่กดดันเราเลย จะมีแค่ช่วงที่ซิ่วตอนเรียนมหาวิทยาลัยช่วงนั้น ที่พ่อกับแม่เค้าพยายามเข็นให้เราเรียนให้จบ เค้าซีเรียสเรื่องการศึกษา แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องไปเป็นทนาย ต้องไปเป็นหมอ เค้าไม่เคยบังคับเลย แค่อยากให้เรียนให้จบ เพราะตอนนั้นเราก็มีมุมขี้เกียจเรียนอยู่บ้างเหตุการณ์ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ที่บ้านยอมรับไม่มีเลยสำหรับเรา เป้ยทำตัวปกติมาตลอด และรู้สึกว่าลึก ๆ แล้วพ่อกับแม่เค้าก็ยอมรับแหละ แต่ก็มีช่วงที่เราอยากจะบอกความเป็นตัวตนของเราให้คุณอารู้ เราอยากให้คุณอารู้จากปากเรา ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่สำคัญมากในชีวิตของเป้ยเลย ตอนที่ต้องบอก เนื้อตัวมันสั่นไปหมด เหงื่อออกเต็มมือ ตอนจะพูดลิ้นมันก็พันกัน แต่เราก็บอกคุณอาเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พอบอกไป คุณอาตอบกลับมาว่า ก็รู้มานานแล้วนะ แล้วทำไมถึงมาบอก เราก็บอกว่า อยากจะบอกจากปากของหนูเอง หลังจากนั้นเหมือนปลดล็อก เวลาจะซื้อของมาให้ คุณอาก็จะซื้อของน่ารัก ๆ สีชมพูมาให้ตลอด มันทำให้เรารู้สึกว่าสบายใจจังเลย หลังจากวันนั้นเราก็ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่สบายอกสบายใจ”คลิปไวรัล ที่เปลี่ยนชีวิต เป้ยไปเรื่อย“คลิปแรกเลยที่เริ่มทำ Tiktok ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันเป็นแพลตฟอร์มที่เล่นง่ายมากเลย แล้วใน Tiktok จะมีเสียงแม่สิตางค์ ตอนนั้นเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ เป็นเสียงที่นางเล่าเรื่องส้มหยุด แล้วพอเราเอาเสียงแม่สิตางค์มาเล่น กลายเป็นว่าเสียงของเรามันเล่าได้ยาวกว่าของแม่สิตางค์ เราเล่าจนไปหยุดที่ฉันโดนงูรัด แต่คนอื่น ๆ ที่เค้าเล่นเสียงแม่สิตางค์มาก่อน เค้าเล่นกันถึงแค่ตอนส้มหยุด แต่เซ้นส์ของความคอมเมดี้ในตัวเรารู้สึกว่า มันควรหยุดตรงฉันโดนงูรัด พอปล่อยคลิปของเราออกไป ปรากฎว่าคนก็เล่นตามเสียงของเราเยอะแยะเลย จากนั้นคนก็เริ่มรู้จักช่อง แล้วเราก็ได้ฟอลโลเวอร์มาหลายหมื่นคนเลยจริง ๆ การเล่น Tiktok ให้คนชอบคลิปที่เราลง มันไม่มีเหตุผล มันอยู่ที่จังหวะ บางทีคนตลกที่สังขารบ้าง ตลกที่คำพูดบ้าง ตลกที่เพลงบ้าง เรามองว่าใครที่อยากจะทำ Tiktok ไม่ต้องรอ ทำไปเลย มีพี่คนหนึ่งใน Tiktok ตั้งกล้องอยู่นิ่ง ๆ แล้วก็เปิดเพลง จากนั้นเค้าก็ปล่อยให้เพลงรันไป แล้วยืนดูยอดวิว แล้วเค้าก็มองไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็ตลกแล้ว แล้วยอดวิวเป็นล้านเลย เห็นไหมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ใน Tiktok”วิธีทำคลิป ฉบับ เป้ย ไปเรื่อย“ด้วยความที่เป้ยชอบอ่านพวก Gag ตลก แล้วมันก็จะมีพวกมีมเยอะแยะเลย เป้ยก็คิดต่อว่า ถ้าเอามีมเหล่านี้มาทำเป็นไลฟ์ เป็นแอคชั่น มันน่าจะตลก แล้วนำเสนอผ่านตัวละครที่เราคิดขึ้นเอง แรก ๆ ไม่ได้วางแผน แต่เพิ่งจะมาจริงจังตอนหลัง ที่เริ่มมีแบ็คกราวด์ของตัวละคร ยายมิ้นท์คือใคร ยายจอยคือใคร แบงค์คือใคร เกิดเป็นตัวละครขึ้นมาในช่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆเวลาทำคลิปเราไม่กดดันเลย ทุกอย่างสบาย ๆ แล้วเราเป็นคนที่ชอบอ่านคอมเมนต์ เพราะมองว่าคอมเมนต์สำคัญ มันจะสามารถนำมาต่อยอดให้เราได้จริง ๆ ทำให้หลัง ๆ มาเราอยากทำเยียร์บุ๊คให้พวกตัวละครที่เราคิดขึ้นด้วย สรุปไว้เลยว่าเค้าคือใคร อายุเท่าไหร่ เหมือนการ์ตูนตาหวานที่เราชอบอ่านก่อนหน้านี้ คลิปในช่อง เป้ยตัดเอง ขายเอง ทำทุกอย่างเอง ส่วนตอนนี้เริ่มมีการวางแผน ต้องทำออดิชั่น วิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นยังไง ถ้าเป็นคอนเทนต์หลัก เราจะถ่ายเองตัดเอง แต่เมื่อไหร่ที่มีลูกค้าเข้ามา ก็อาจจะจะต้องมีการจ้างโปรดักชั่น เพราะลูกค้าจ้างเรา เค้าต้องได้ในสิ่งที่ดีที่สุด และเราเชื่อว่าหลาย ๆ ช่องก็ทำแบบนี้เหมือนกันมีเรื่องที่นึกย้อนไปแล้วตลก ลูกค้าตัวแรกที่ติดต่อเข้ามาคือผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดพื้น พวกน้ำยาล้างห้องน้ำ แล้วก็น้ำยาถูบ้าน ตอนที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เราดีใจมาก แล้วจะคิดราคาเท่าไหร่ดี ตอนนั้นต้นทุนก็ไม่มีด้วย ก็เลยคิดไปเลย 500 บาท ลูกค้าก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวติดต่อกลับมา ขอไปพิชชิ่งก่อน ท้ายที่สุดลูกค้าหายไปเลย เค้าก็คงคิดว่า เราโกหกหรือเปล่า ปกติค่าทำคลิปมันต้องแพงกว่านี้ พอหลัง ๆ เจอ ยายฝน ที่เป็นครีเอทีฟ ยายฝนมันก็บ่นว่าคิดไปแค่นั้นได้ยังไง หลังจากนั้นพอลูกค้าอีกเจ้าติดต่อมา เราเรียกไป 30,000 บาทเลย เรียกให้สะดุ้งกันไปเลย”คลิปช่องเป้ย เป้ยขอทำตามใจตัวเอง“จริง ๆ แล้วข้อเสียของ เป้ย คือ เรื่องความถี่ในการลงคลิป เพราะเราเป็นคนทำงานตามใจตัวเอง เรารู้สึกว่ามันไม่ต้องใช้แรงบันดาลใจ แต่ใช้ใจบันดาลแรง เวลาอยากทำ เราถึงจะทำ บางครั้งคลิปไม่ตลก เราก็ไม่ลบ ปล่อยไปเลย เราอย่าไปเพอร์เฟ็คทุกอย่าง เดี๋ยวคนจะคาดหวังมันต้องมีไม่ตลกบ้าง เป็นเด๋อ ๆ ด๋า ๆ บ้าง คั่นกันไป มีคนฟอล 300,000 คน คนไลค์ 40 คน ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นเรื่องปกติ เพราะบางครั้งคลิปที่คนจะดูหรือไม่ดู มันเป็นเรื่องของอัลกอริทึมบ้าง เรื่องของแฮชแท็กบ้าง หรือว่าเรื่องของ policy บ้าง ที่อาจจะมาปิดกั้นการมองเห็นคลิปของเรา ซึ่งเราก็ต้องมานั่งทำความเข้าใจกันเรื่องนี้ และปรับใช้ในการทำคลิปครั้งต่อ ๆ ไปของเรา”เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับคนอยากทำคลิป Tiktok“ตอนนี้ Tiktok มาแรง ใครอยากทำคลิปให้คนดูเยอะ ๆ เป้ย ก็อยากให้ลองเล่นบ่อย ๆ เสพสื่อเยอะๆ แล้วก็พยายามถอย 1 สเต็ป อย่าไปคิดว่าทำไมมันยากจังเลย เราเริ่มจากทำง่าย ๆ ก่อน ทำสิ่งที่เราอยากทำ แล้วก็ประเมินตนเองในสิ่งที่ชอบ ว่าข้อดีของเราคืออะไร ข้อเสียเราคืออะไร แล้วขยี้ตรงนั้นให้หนัก ๆ อย่าง เป้ย เองก็ไม่ได้เก่งทุกอย่างหรอก เป้ย แค่ชอบตรงนี้ เป้ย เลยทำมันออกมาได้ดี คุณก็ต้องหาสิ่งที่คุณชอบ คอนเทนต์ที่ใช่ แล้ววันนึงถ้าคุณทำคอนเทนต์ถึง เสียงชัด ภาพชัด เดี๋ยวคนก็เข้ามาติดตามสำหรับคอนเทนต์ที่ เป้ย อยากทำ เราฝันไว้ว่า ช่องจะกลายเป็นซิทคอมที่มีเป็นซีซั่นเลยว่า แต่ละซีซั่นจะมีกี่ Ep. โดยเราเล่นคนเดียว แต่เราจะต้องทำการบ้านหนักหน่อยว่าจะต้องแสดงออกมายังไง ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เราอยากทำในอนาคต มันอาจจะดูยาก แต่เราก็ต้องตีเส้นของเรา เราตีเส้นไปไกล ๆ ก่อน แล้วเราต้องเดินไปให้ถึง อาจจะเดินช้าหน่อยแต่ถึงแน่นอน”ย้อนเส้นทางรัก เช็คสถานะหัวใจ ของ เป้ย ไปเรื่อย“ย้อนไปก่อนหน้าที่จะมาเจอ โนอา ที่เป็นแฟนคนล่าสุด เรามีแฟนเป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้ใหญ่ที่โตกว่า แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า ความรักของคนไทยมันต้องวิ่งตาม แล้วเหนื่อยจังเลย อยากเจอคนที่ไม่ต้องพยายาม แต่พอมาเจอคนนี้ที่เป็นชาวต่างชาติ เรารู้สึกโอเค มันเป็นความรักแบบ Long distance relationship คือ 1 ปีเราจะเจอเค้า 2 ครั้ง ครั้งละ 2 อาทิตย์ เค้าจะมาช่วงเมษายน กับ ตุลาคม ความสัมพันธ์ก็เป็นแบบนี้เรื่อย ๆ อยู่ประมาณ 2 ปี มันกลายเป็นความสัมพันธ์แบบคุยแชทกันอย่างเดียว ไม่ได้เจอ ไม่ได้จับตัว ไม่ได้ดินเนอร์อะไรกันเลย ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบสกินชิพ แล้วเวลาเราอยู่กับใคร เราอยากให้เค้าตลก อยากให้เค้ายิ้ม แต่พออยู่กับแฟนต่างชาติคนนี้ มีหลายอย่างที่อยากจะพูด แล้วก็พูดไม่ถูก เพราะภาษาเราไม่หมือนกัน เราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะตลกเหมือนคนไทยรึเปล่า แล้วตอนนั้นมันเป็นจังหวะที่ โนอา ที่เป็นแฟนคนปัจจุบันเข้ามาพอดี แล้ว โนอา เค้าก็แสดงให้เห็นว่าเค้าดูแลเราได้ เราก็เลยไปจบกับชาวต่างชาติ แล้วก็คุยกับ โนอา คนเดียวตอนที่เจอกับ โนอา วันนั้นเป็นวันรับปริญญาของเพื่อน แล้วเค้าก็ไปถ่ายรูปคู่กับเพื่อนเรา ด้วยความที่ตอนนั้นหน้าตาเราก็ไม่ได้ดีเท่าตอนนี้ ก็เลยไปคอมเมนต์ใต้รูปว่า เพื่อนน่ารักน้า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่พิมพ์ทิ้งไว้ แล้วเค้าก็แอดกลับมา จากนั้นก็เลยคุยกันยาวเลยตอนคบกันแรก ๆ เราขี้หึงมาก ด้วยความที่แฟนเราหล่อ แล้วเมื่อก่อนจะมีคนแชทมาจีบ โนอา บ่อยมาก เราก็จะคอยกันซีนอยู่ตลอด เรื่องทะเลาะบอกเลยว่าทะเลาะกันฉ่ำ บางครั้งทะเลาะเรื่องกินข้าว เรื่องเปิดปิดประตู ซึ่งมันเป็นเรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ด้วย เรารู้สึกว่ามันเป็นเหมือนการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เรารู้อยู่แล้วว่าเราทำแบบนี้ไป เค้าก็คงไม่ไปไหนหรอก แต่มันกลายเป็นนิสัยเสีย ซึ่งหลัง ๆ เราก็พยายามปรับ จนเริ่มทะเลาะกันน้อยลงโนอา เป็นพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป แล้วเค้าเป็นมุสลิม ซึ่งปัญหาเรื่องศาสนากับความรัก สำหรับคู่อื่นอาจจะมี แต่สำหรับเป้ยไม่มี เค้าก็ไม่ได้อึดอัด แต่เราเพิ่งมารู้ตอนหลัง เพราะเมื่อก่อนชวนกินหมูกระทะแล้วเค้าไม่กิน แล้วเค้าก็ไม่ได้บอกเรา ด้านครอบครัวเค้าก็แฮปปี้ พ่อแม่น่ารัก โชคดีมากพ่อของ โนอา เป็นคนจีนมาก่อน แล้วบ้านเราก็ครอบครัวจีนเหมือนกัน แล้ว โนอา ก็ไปที่บ้านบ่อย ที่บ้านเรารักเค้ามาก เผลอ ๆ รักมากกว่าเราอีก เรื่องครอบครัวพวกเราแฮปปี้มากความรักตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะเปิดกว้าง เพราะก่อนหน้านี้เคยผ่านเรื่องราวหนัก ๆ กันมาในชีวิตคู่ ก็เลยคุยกันว่า เราลองหลวม ๆ กันหน่อยไหม เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ฉันก็รักเธอมากที่สุดในโลกเลย ฉันมีความรู้สึกว่า 11 ปี ต่อให้เลิกกับเธอไปคบคนใหม่ ฉันก็อยู่กับเค้าได้ไม่นานหรอก และเค้าก็คงอยู่กับฉันได้ไม่นานหรอก เพราะว่าฉันก็มีข้อเสียของฉันที่เธอรู้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่อยากจะหึงเธอแบบนั้นแล้ว ด้วยความที่โตขึ้น เธอเลื่อนตำแหน่ง มีหน้าที่การงาน มีภาระต้องรับผิดชอบเยอะ ฉันไม่อยากให้เธอต้องมานั่งปวดหัวกับการทะเลาะกันหนัก ๆ ในทุกวัน เราหลวม ๆ กันบ้างดีกว่า”ตำนานน้ำพริกมะขาม ที่จำได้ไม่ลืม!“น้ำพริกมะขาม เป็นเรื่องที่อยากเมาท์มาก ต้องบอกก่อนว่า เราอยู่กับยาย แล้วยายเป็นแม่ครัวทำอาหารไทย เราเห็นน้ำพริกมะขามมาตั้งแต่เด็ก เพราะตัวเราเองก็ชอบกิน วิธีทำคือ เอามะขามอ่อน ๆ มาตำ ผัดกับหมูสับ ใส่กระเทียม ซึ่งเราเห็นมาแต่เด็กว่ามันใส่หมูสับ แล้ววันนั้นเป็นวันแรก ๆ เลยที่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านแฟน เค้าก็เป็นบ้านแบบกงสีที่อยู่รวมกัน นั่งกินข้าวรวมกันแล้วมื้อนั้นมีน้ำพริกมาตั้ง ซึ่งเราก็คุ้น ๆ เหมือนมันจะเป็นน้ำพริกมะขาม แล้วทุกคนบนโต๊ะกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างกิน เราก็ถามแฟนว่า เธอมันมีหมูไหม แฟนบอกว่าไม่มีนะเธอ แต่เราก็ไม่กล้าพูด เพราะทุกคนกำลังกิน แต่ในขณะที่กิน เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เคี้ยวมันคือหมู พอกินเสร็จ ก็แอบไปบอกแฟนว่า เธอ ๆ พรุ่งนี้เธอไปถามร้านหน่อยสิว่าเค้าใส่หมูรึเปล่า เราคาใจ สรุปว่าพอแฟนไปถามปรากฎว่าน้ำพริกที่กินมาตลอดใส่หมู ตอนนั้น แม่ ของ โนอา เดินมาบอกเราเลยว่า เป้ย น้ำพริกมะขามใส่หมู เย็นวันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลย ต้องไปละหมาดกันทั้งบ้าน”เป้ย ไปเรื่อย กับมุมมองต่อ #สมรถเท่าเทียม“เป้ย วางแผนกับแฟนว่า ในอนาคตเราอยากทำธุรกิจร่วมกัน แล้วในวันหนึ่ง ถ้าไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย ซึ่งถ้าจากตายแล้วอะไรใครจะดูต่อ แล้วก็มีอีกหลาย ๆ คน หลาย ๆ คู่ ที่เค้ารับราชการ บางทีเค้าก็อยากได้สิทธิ์การรักษาพยาบาลของแฟนด้วยซึ่ง เป้ย คิดว่า สมรสเท่าเทียมจำเป็นมากเลย อยากให้มันผ่าน และเรื่องคำนำหน้าก็สำคัญเพราะว่าตัวเป้ยเอง มีเพื่อนพี่น้องที่เป็น LGBTQ+ ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมามากมาย ก็อยากจะผลักดันกฎหมายนี้ให้ได้พร้อม ๆ กัน เพราะมีหลายคนที่ถูกลิดรอนสิทธิ์ ถูกปฏิเสธการเข้าทำงาน ถูกปฏิเสธการเข้ารักษาพยาบาล เพียงเพราะคำนำหน้านามมันไม่ตรงกับเพศสภาพ อยากจะให้มีกฎหมายที่รองรับว่าเค้าเป็นเค้า ปัญหาเหล่านี้มันจะได้หมดไป และอยากให้เค้าได้คำนำหน้าที่ตรงกับเพศสภาพจริง ๆ”แรงบันดาลใจ จาก เป้ย ไปเรื่อย“ทุกวันนี้ภูมิใจมากเลย เราผ่านมาหลากหลายอาชีพ ต้องรีดเสื้อทีละร้อยตัวเราก็ผ่านมาแล้ว ถ้าจะให้เล่าเรื่องความภาคภูมิใจ หนึ่งวันไม่รู้ว่าจะเล่าหมดรึเปล่า เราดีใจที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ ทุกปัญหาเราพยายามแก้ไข เพราะว่าความผิดพลาดซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ถ้าคนที่มองความผิดพลาดออก เราจะเห็นความสำเร็จ และเราก็พยายามแก้ไขตรงนั้น ยอมรับความผิดพลาด เคยโดนด่า และใช้ความเป็นเด็กเอาตัวรอดมาได้ เพราะว่าเวลาเป็นเด็กผิดพลาดได้ ผู้ใหญ่ก็ยังสอน อย่าไปน้อยอกน้อยใจ เพราะถ้าโตมาแล้วทำผิด เค้าจะหาว่าเราโง่ แก่ขนาดนี้ยังมานั่งทำผิดทำพลาดอีก มันเลยกลายเป็นความภูมิใจในชีวิตทุกวันนี้ของตัวเองค่ะ” - เป้ย ไปเรื่อยดูรายการย้อนหลัง

01 ธ.ค. 2023

ทำความรู้จัก “นุ่น - น้อยหนึ่ง” คู่รักนักสร้างมีม ที่ช็อตฟีลกันแบบสุด แล้วหยุดที่ไวรัล

เป็น Club ที่คอยเติมสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “น้อยหนึ่ง-นุ่น” คู่รักนักช็อตฟีล เจ้าของมีมสุดไวรัลในโซเชียล ที่จับมือกันมาเล่าเรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ในรายการด้วยย้อนวันวาน ของ “น้อยหนึ่ง”น้อยหนึ่ง : “น้อยหนึ่งเรียนจบปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจริง ๆ แล้วความฝันของเราคืออยากเป็นครู และหลังจากเรียนจบ เราได้ไปเป็นอาจารย์พิเศษก่อน 2 ปี เราชอบสอน ชอบสื่อสาร จากนั้นก็ได้ไปเรียนต่อปริญญาโท คณะครุศาสตร์ศิลปศึกษา ระหว่างเรียนก็ทำงานไปด้วย ปรากฏว่าพอทำงานได้เงิน ก็ตัดสินใจเลิกเรียนเลย ทั้ง ๆ ที่การเรียนปริญญาโทเหลือแค่เอาวิทยานิพนธ์ไปทดลองก็จะเรียนจบแล้ว แต่เราเลือกที่จะออกมาทำงาน แต่งานที่เราทำอยู่มันก็เหมือนกึ่ง ๆ เป็นครูด้วย เพราะมีการสอนบ้างบางครั้งพอมาทำงาน เราก็ได้เอาความรู้จากตอนเรียนมหาวิทยาลัยมาปรับใช้ เช่น ตอนที่เราคิดงาน ก็จะใช้หลักการของสถาปนิก หรือว่าหลักการของนักออกแบบ มาใช้ในการคิดโจทย์ต่าง ๆ หรือเวลามีลูกค้าเข้ามา เราก็พยายามคิด และแปลงโจทย์ออกมาเป็น Presentation เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าที่สุด มันกลายเป็นความรู้สึกดีใจ ที่เรายังสามารถเอาทักษะจากการเรียนมาใช้ในการทำงานได้ด้วยส่วนที่มาของงานแต่งหน้า มาจากที่เราชอบศิลปะ ชอบวาดรูป แล้วเราได้มีโอกาสทำบอดี้เพนท์ ซึ่งมันเหมือนกับการวาดรูปการ์ตูนบนใบหน้า พอได้ทำก็รู้สึกว่าสนุกดี พอเรามีผลงานก็เอาไปลงในเว็บบอร์ด จากนั้นก็มีคนเข้ามาดูผลงาน แล้วก็จะมีคนคอมเมนต์ถามมาว่าส่วนนี้ทำอย่างไร แล้วเราก็ต้องไปอธิบายว่าเราทำอย่างไร ท้ายที่สุดเลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเราสอนเลยดีกว่า ก็สอนแต่งหน้าเลย สอนแต่งเป็นผี แต่งแฟนซี ซึ่งสอนมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่เริ่มทำบล็อกเกอร์มา”ย้อนวันวาน ของ “นุ่น”นุ่น : “นุ่นเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตั้งแต่เรียนจบก็เป็นพนักงานออฟฟิศมาตลอด เพิ่งจะออกมาทำยูทูบเบอร์กับน้อยหนึ่งได้ 2 ปี ซึ่งจริง ๆ เราเรียนจบ บรรณารักษศาสตร์ ซึ่งไม่ตรงกับงานที่ทำด้วยซ้ำ เพราะทำงานเกี่ยวกับสายนำเข้าส่งออกพัสดุ ซึ่งเราทำงานในส่วนของการดูแลลูกค้า แล้วก็ย้ายไปทำเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค แล้วก็กระโดดเปลี่ยนสายอีกครั้ง ไปทำงานเอเจนซี่โฆษณา ทำได้ประมาณ 1 ปี แล้วน้อยหนึ่งก็ชวนให้ออกมาทำยูทูบเบอร์ด้วยกันไหม เพราะระหว่างที่เป็นพนักงานออฟฟิศ เราก็ทำช่องมาแล้วสักพัก มันก็เริ่มโตขึ้น ๆ แล้วเราก็เริ่มเห็นว่ามันเริ่มมีโอกาสที่จะโตได้มากกว่านี้ ถ้าเราออกมาทำจริงจังก็น่าจะดี ในระหว่างตัดสินใจก็โลเลเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ น้อยหนึ่ง ช่วยซัพพอร์ท เค้าบอกว่าออกมาลองดูสักตั้งก่อนก็ได้ ซึ่งเราก็คิดไว้แล้วว่า ถ้าสมมติมันไม่รุ่ง ก็จะกลับไปเป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนเดิมเรื่องความกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone เรามองว่า มันก็ไม่แปลกถ้าบางคนจะยังติดอยู่ใน Comfort Zone ส่วนตัวนุ่นเอง เราเป็นคนที่ชอบกระโดดไปเรื่อย ๆ มันสนุกกว่า เพราะสิ่งที่มันได้กลับมาคือความตื่นเต้น ถ้าสมมติว่าเราประสบความสำเร็จ เราจะรู้สึกว่ามีพลัง และมีกำลังพอที่จะก้าวต่อไป และถ้าจะให้แนะนำก็คิดว่าควรเริ่มจาก Comfort Zone เล็ก ๆ ก่อนดีกว่า อย่างตอนที่นุ่นลองทำช่องก่อน โดยที่ยังเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ มันเหมือนเป็นการกระโดดไปชิมลางก่อน ถ้ามันทำได้ เราก็เต็มที่ 100% กับตรงนี้เลย แล้วเมื่อมันประสบความสำเร็จแล้ว เราก็สามารถที่จะไปทำอย่างอื่นต่อได้”จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ของ “น้อยหนึ่ง-นุ่น”น้อยหนึ่ง : “จุดเริ่มต้นที่ได้รู้จักกันคือ จากการที่เราไปโพสต์โปรไฟล์ไว้ในเว็บบอร์ด แล้วก็ได้มีโอกาสแอด msn คุยกัน คุยหมดเลยทุกเรื่อง แล้วเราคุยกับเค้า แต่จำชื่อเค้าไม่ได้ด้วยนะ พอวันที่มาเจอหน้ากัน คุยไปคุยมาจึงรู้สึกว่า คนนี้มีอะไรพิเศษ แล้วด้วยความที่บ้านใกล้กัน แล้วตอนนั้นเราหิวข้าวแต่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว ซึ่งเค้าก็อยู่แถวนั้นพอดี ก็เลยชวนมาเจอกัน หลังจากนั้นก็คุยกันประมาณ 3-4 เดือนได้”นุ่น : “คุยกันใน msn ตอนแรกเรายังไม่เห็นหน้าเค้า เพราะเค้าไม่ได้โชว์รูป ตอนนั้น น้อยหนึ่ง อยู่ ม.6 นุ่น อยู่ ปี 3 แต่พอได้คุยกันรู้สึกถูกคอ นุ่นก็ขอเค้าเป็นแฟน ด้วยความที่เค้าเป็นคนที่มีความคิดแปลก ๆ ซึ่งแปลกในที่นี้คือ เค้าชอบคิดเรื่องนิยาย คิดเรื่องผี แล้วพอเค้าคิดอะไรได้ในหัว เค้าก็มาเล่าให้เราฟังหมด และด้วยความที่นุ่นเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เค้าเป็นคนพูดเก่ง เราก็รู้สึกว่า แม้เรื่องที่เล่ามันค่อนข้างที่จะส่วนตัวสำหรับเค้า แต่เค้าก็กล้าที่จะมาเล่าให้เราฟัง ตอนนั้นมันเลยรู้สึกว่า เค้าคิดอะไรกับเรารึเปล่านะ เหมือนว่าเราโทรศัพท์คุยกันทุกวัน แต่เค้ามีเรื่องมาเล่าให้เราฟังได้ทุกวัน มันก็เพลินเหมือนกัน”“ผัวน้อย” ชื่อช่องนี้ ได้แต่ใดมานุ่น : “ตอนที่จะตั้งชื่อช่อง ก็ถาม น้อยหนึ่ง ว่าจะตั้งชื่อช่องยังไงดี ให้มันนำเสนอความเป็นตัวเรา แล้วก็เป็นตัวเค้าด้วย เพราะว่าเป็นช่องที่เราทำกันสองคน น้อยหนึ่งบอกว่าก็เป็น ผัวน้อย ก็ได้ เรียกแทนตัวเองว่าเป็นผัวน้อยของคนอื่นด้วย แล้วก็อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผัวของน้อยหนึ่งด้วย”น้อยหนึ่ง : “จริง ๆ ชื่อ น้อยหนึ่ง นุ่น ก็เป็นคนตั้งให้นะ เพราะปกติชื่อหนึ่งเฉย ๆ แล้วตอนนั้นอยากได้ชื่อ เพื่อเอาไปตั้งเป็นชื่อเฟสบุ๊ค เราอยากได้ชื่อที่มันอ่านแล้วรู้สึกไร้กาลเวลา และดูเด็กอยู่ตลอด”นุ่น : “ชื่อ น้อยหนึ่ง ตอนแรกที่เมมเบอร์โทรศัพท์ ด้วยความที่เรามีเพื่อนชื่อหนึ่งหลายคน พอเค้าเป็นแฟน ถ้าจะเมมว่าหนึ่งเฉย ๆ มันก็ไม่แตกแต่ง เราก็เลยเติมเป็น น้อยหนึ่ง จะได้ดูแบบน่ารักกุ๊กกิ๊ก”เป็นแฟนกัน ทำงานด้วยกัน ทะเลาะกันไหม ?น้อยหนึ่ง : “ก็มีตีกันบ้าง แต่มันเป็นการตีกันเรื่องงาน พอจบงานแล้วก็คุยกันเลย แล้วเราก็มีกฎคือ เราไม่ทะเลาะกันเกิน 1 วัน เป็นกฎที่ตกลงตั้งแต่แรกตอนคบกัน เพราะว่าเราเคยทะเลาะกันเกิน 1 วันแล้ว สุดท้ายเราก็ต้องมาคุยกันอยู่ดี มันรู้สึกว่าเสียเวลา เราคุยกันเลยดีกว่า บังคับตัวเองหน่อย เอาอีโก้ออกก่อน เพราะถ้านอนไปทั้ง ๆ ที่ใจมันขุ่นมัว พรุ่งนี้มันก็จะขุ่นมัว ก็เลยตั้งกฎเอาไว้เลยว่า เวลาทะเลาะกันเรื่องอะไร จะเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ 1 วันต้องเคลียร์ให้จบ”นุ่น : “ที่น้อยหนึ่งพูดว่า 1 วันต้องให้จบ บางทีมันอาจจะไม่ได้จบ แต่ความหมายจริง ๆ คือ ถ้าทะเลาะกันไม่ควรจะเงียบ ต้องคุยก่อน บางที 1วัน มันอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเราเริ่มคุยกันก่อนว่าเธอโกรธฉันเพราะอะไร หรือฉันงอนเธอเพราะอะไร เราจะได้รู้ เพราถ้าต่างคนต่างเงียบ มันก็ไม่รู้ว่าคนนี้โกรธอยู่ หรือว่าคนนี้งอนเรื่องนี้อยู่ มันก็จะไม่จบ”น้อยหนึ่ง : “ด้วยความที่บางทีเราติดความเป็น Perfectionist ทำอะไรมันต้องเป๊ะ แต่ว่าบางครั้งงานมันหลุดบ้าง ซึ่งพอมันไม่ได้อย่างที่เราคิด บางครั้งเราก็เป๋ แล้วถ้าไลฟ์ไหนทะเลาะกันแรง เราลบไลฟ์ไปเลยก็มี แต่จริง ๆ พอหยุดไลฟ์ปุ๊บ อารมณ์ก็หยุดเลย แล้วเราก็มานั่งคุยกัน บางทีเราน้อยใจ บางทีเค้าน้อยใจ มันก็ต้องมาฮีลใจกันไป”ปรับจูนเข้าหากัน เพื่อให้งาน และความสัมพันธ์ปังขึ้นน้อยหนึ่ง : “มันเหมือนกับว่า เราทำยูทูบเบอร์มาก่อนเค้า และเค้าก็เป็นเบื้องหลังให้เราด้วย พอทำงานด้วยกัน เค้าก็จะเรียนรู้ได้เร็ว แต่อาจจะมีบางเรื่องที่เราอาจจะต้องสอนเค้านิดนึง อย่างเวลาเราจะเล่นมุก มันจะต้องแบบนี้นะ มันจะขำด้วย ไม่ใช่ว่านั่งนิ่ง ประมาณนั้น”นุ่น : “มันถึงเป็นที่มาของ นักช็อต ก็คือบางทีเค้าอาจจะยิงมุกมา แล้วเราไม่ได้ขำตาม เค้าก็จะบอกว่าจะช็อตทำไม แต่จริง ๆ เอาเป็นว่า ให้คิดว่า นุ่น เป็นซาวด์เอ็ฟเฟ็กต์แล้วกัน คือถ้าเล่นมุกแล้วไม่มีคนขำ ก็คิดว่าให้เสียงขำของนุ่น เป็นซาวด์เอ็ฟเฟ็กต์ของน้อยหนึ่ง”น้อยหนึ่ง : “เวลาไลฟ์แล้วเริ่มรู้สึกว่าคลิปไม่สนุก ก็จะตีกันไปเลย เพื่อให้กราฟมันไม่นิ่ง แต่บางครั้งเราไม่ได้เตี๊ยมเค้าก่อน แล้วบางทีเค้าโกรธจริง เราก็จะทำให้เค้าเย็นลง แล้วค่อยมาเฉลยว่า เมื่อกี๊หลอกนะ”นุ่น : “เรื่องโกรธก็มีบ้างที่อาจจะงอนเค้า เพราะบางครั้งเวลาไลฟ์ เราเองก็ไม่รู้ตัวว่าเราทำอะไรผิด แล้วเค้าชอบยุชอบแกล้งในไลฟ์ จนสุดท้ายเค้ามาเฉลยว่า จริง ๆ เค้าแค่อยากจะบิ๊วท์เราให้ไลฟ์มันไม่นิ่ง”น้อยหนึ่ง : “เรื่องโปรดักชั่น เราสองคนทำกันเองทั้งหมด แต่ก็มีทีมงานเบื้องหลังที่เป็นเอเจนซี่ช่วยเราเรื่องการหางานด้วย ซึ่งเป็นบริษัทที่เราสังกัดอยู่ เค้าจะดูแลเราแบบอินฟลูเอนเซอร์ และจะมีเป็นร้อย ๆ ชีวิตเลยที่เค้าดูแลอยู่ เวลามีงานจ้างเข้ามา เค้าก็ดูว่าใครเหมาะสมกับงานไหน ถ้าเราเหมาะกับงานนั้น เค้าก็จะติดต่องานให้เรา”นุ่น : “เรื่องหน้าที่ในการทำงาน เราผลัดกัน บางทีอาจจะขับรถกันอยู่ น้อยหนึ่ง คิดไอเดียขึ้นมาได้ เค้าก็จะเป็นคนเล่าไอเดีย แล้วนุ่นก็จดไว้ หรือบางครั้งเราเป็นคนขับ มีไอเดียขึ้นมา ก็ให้น้อยหนึ่งจด แล้วก็มาทำคลิปกัน ในอนาคตมีคลิปที่อยากทำแต่ยังไม่เคยทำก็คือ คลิปที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ซึ่งยังไม่เคยลอง ซึ่งคนดูส่วนใหญ่ชอบ vlog ของน้อยหนึ่ง เพราะเค้าเป็นคนตลก เห็นอะไรก็ขำไปหมด เลยเป็นคลิปที่อยากทำถ้ามีโอกาส”“น้อยหนึ่ง-นุ่น” กับการยอมรับตัวตนจากคนในครอบครัวนุ่น : “ที่บ้านฝั่งนุ่นค่อนข้างเปิดกว้าง เค้าไม่ได้ห้ามไปนั่น ห้ามไปนี่ แล้วตัวนุ่นเอง ก็จะประพฤติตัวเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เด็ก อยู่ในร่องในรอย ตั้งใจเรียน ครอบครัวเลยเข้าใจ และเปิดโอกาสให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบ”น้อยหนึ่ง : “เราก็ค่อนข้างเป็นเด็กเรียน เราเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนจะต้องรู้ว่าลูกเป็นหรือไม่เป็น พ่อแม่รู้อยู่แล้ว แต่บางคนเค้าไม่พูด หรือบางทีเค้าไม่แน่ใจ เค้าก็อาจจะมีวิธีทดสอบเรา ซึ่งเราเองค่อนข้างโชคดีที่ครอบครัวไม่ได้บังคับ และสนับสนุนเราทุกอย่าง ไม่ค่อยมีดราม่าตอนเด็ก”นุ่น : “ตอนคบกับน้อยหนึ่งแรก ๆ พ่อแม่รู้อยู่แล้ว พอเราเริ่มพาเค้าเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก็คงเข้าใจไปได้โดยปริยายว่านี่คือแฟนที่เราคบอยู่ หลังจากนั้นมาก็อยู่แบบนี้มาตลอด น้อยหนึ่งก็ไปมาหาสู่อยู่ตลอด ซึ่งจะต่างกับบ้านน้อยหนึ่งในตอนแรก ๆ”น้อยหนึ่ง : “คบกันแรก ๆ เราต้องแอบแม่ แต่บางครั้ง นุ่น ก็มาเจอในแบบที่เราไม่สบาย แล้วเค้ามาเยี่ยมเรา แล้วแม่ก็ถามว่านี่ใคร เราก็ดันมีพิรุธบอกไปว่าเป็นพี่ที่รู้จักกันที่โรงเรียน แต่พี่ที่รู้จักจะมาทำไม คนอื่น ๆ ไม่เห็นมา ซึ่งเราว่าแม่ต้องรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเค้าอาจจะอยากให้เราบอกเค้าเอง พอเราบอก เค้าก็รับได้ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย”“น้อยหนึ่ง-นุ่น” กับความรู้สึกที่มีต่อ #สมรสเท่าเทียมน้อยหนึ่ง : “รู้สึกว่า มันเป็นอีกก้าวที่ค่อนข้างสำคัญ อย่างเราไม่ได้มองว่าสมรสเท่าเทียมแล้วเราอยากจะแต่งงานกัน อยากจะใส่ชุดเจ้าสาว เราไม่ได้มองไปตรงนั้น แต่เรามองในเรื่องข้อกฎหมาย ที่จะมาคุ้มครองคู่เรามากกว่า”นุ่น : “อย่างเวลาเซ็นผ่าตัด คือน้อยหนึ่งเค้าเป็นลูกคนเดียว ถ้าหากว่าเค้าไม่มีญาติ นุ่นก็จะได้มีโอกาสเซ็นแทนหากเค้าเป็นอะไรไป หรือแม้แต่เรื่องกู้ยืม หรือว่าเรื่องบ้าน เราเองก็อยากจะมีอนาคตที่มันร่วมกัน”วิธีดูแลความรัก ของ “น้อยหนึ่ง-นุ่น”น้อยหนึ่ง : “คุย และ สื่อสารกันเยอะ ๆ ถ้าไม่พอใจ หรืออยากได้อะไรต้องพูด เพราะเราไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน ฉะนั้นบางเรื่องเค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ ต้องการอะไรต้องบอก อย่างเราเป็นคนค่อนข้างไม่โรแมนติกเลย แต่ว่าเค้าจะโรแมนติกมาก จนช่วงหลัง ๆ มาก็ปรับจูนกัน ก็ทำให้เข้าใจเค้ามากขึ้น”นุ่น : “ความชอบของเราเปลี่ยนไปทุกวันอยู่แล้ว เราก็หมั่นอัพเดทเค้าหน่อย เพราะเค้าอยู่ข้างๆ เรา จะไปอัพเดทคนอื่น ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่อง คุยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนดีกว่า นุ่น อยากบอก น้อยหนึ่งว่า ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เป็นทั้งแฟน ทั้งเพื่อน และเป็นเพื่อนร่วมงานด้วย ขอบคุณที่อยู่กันมาถึง 17 ปี อาจจะมีทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่โดยรวมแฮปปี้ ขอบคุณนะครับ”น้อยหนึ่ง : “จริง ๆ ก็ไม่ค่อยพูดอะไรหวาน ๆ ก็รักนะ อยากให้ดูแลสุขภาพด้วย เพราะว่าอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วถ้าใครชื่นชอบคู่เรา ก็อย่าลืมติดตามช่องหนึ่งเมคอัพ แล้วก็ช่องผัวน้อยชาแนลด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้กันค่ะ”ดูรายการย้อนหลัง

24 พ.ย. 2023

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตของพิธีกรงามอย่างไทย “กอล์ฟ กิตติพัทธ์” จากคนขี้อาย จนกลายเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่เบ่งบาน

“ตอนนี้ความคิดของหนูที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มันเหมือนหนอนที่คอยกินไส้ในของกุหลาบ แล้วถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้เรื่อยไป หนูจะหมดโอกาสที่จะเบ่งบานเป็นดอกกุหลาบที่สวยงาม หนูจงรีบกำจัดตัวหนอนที่ทำลายตัวหนูอยู่ข้างในออกไป แล้วหนูจะมีโอกาสที่จะเบ่งบาน แม้หนูจะเป็นดอกกุหลาบสีฟ้า หรือดอกกุหลาบสีเขียว ซึ่งมันแปลกแตกต่าง และอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่หนูจะสวยงาม และเบ่งบานในแบบของตัวหนูเอง”Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “กอล์ฟ กิตติพัทธ์” จากคนเบื้องหลังอารมณ์ดี ที่กล้าเอาชนะความขี้อาย จนกลายเป็นพิธีกรงามอย่างไทย ทัชใจเหล่าเทยทั้งประเทศ และเธอพร้อมจะมาเผยเคล็ดลับ แชร์มุมมอง เล่าประสบการณ์ และแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการด้วยย้อนวัยเด็ก ของ ด.ช.กิตติพัทธ์“สมัยเด็ก กอล์ฟ เป็นคนเรียบร้อย ในสมุดบันทึกของคุณครูที่เขียนถึงคุณพ่อคุณแม่ มักจะระบุว่า มีพฤติกรรมเรียบร้อย ซึ่งเราเป็นเด็กตั้งใจเรียน ที่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทาง และไม่ค่อยมีวีรกรรมใด ๆ เราเล่นกับพี่กับน้อง เล่นปืนต้นไม้ ปั่นจักรยาน เล่นดินเล่นทราย ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด อยู่กับธรรมชาติ และเราก็มีเพื่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กัน แต่ถ้าถามว่าเราชอบอะไรที่บู๊ ๆ รึเปล่า ถ้าอย่างเรื่องกีฬาที่ต้องออกแรงเยอะ ๆ เราก็จะไม่ค่อยชอบ และชอบเล่นแบบเด็กผู้หญิงมากกว่า อย่างเล่นตุ๊กตากระดาษ เล่นหมากเก็บ เล่นตั้งเต เล่นบอลลูนสีและด้วยความเป็นลูกคนกลาง เราพึ่งมารู้ในช่วงหลัง ๆ ว่า พ่อกับแม่ห่วงเรามากกว่าหน่อย หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Wednesday child ที่เด็กคนกลางมักจะมีปัญหา ความคิดแบบนั้นก็เลยทำให้พ่อกับแม่โฟกัสที่เราเยอะหน่อยว่า เวลาไปเรียนโรงเรียนอยู่กับเพื่อนเข้ากับเพื่อนได้ไหม จะโอเคไหม ซึ่งเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าเราอาจจะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะหน่อย พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เราก็เริ่มเห็นตัวเองว่าเรามีความแตกต่าง แต่เราก็ชอบใช้ชีวิตแบบนี้ และกลายเป็นความโชคดีที่เราไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป เพราะมีเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอยู่ด้วย แล้วคุณครูก็ค่อนข้างที่จะเปิดรับ และเข้าใจว่าสังคมมีความหลากหลาย เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร จากนั้นพอเริ่มเข้ามัธยมปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มอยากเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ฉันอยากไว้ผมแบบนี้ ฉันอยากแต่งหน้าแบบนี้ ซึ่งพอความชัดเจนมันมากขึ้น ที่บ้านก็จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง คุณพ่อก็เริ่มถามว่า ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ทำไมไว้ผมยาว เราก็พยายามอธิบายว่า เราก็อยากใช้ชีวิตของเราแบบนี้ ซึ่งไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นพ่อกับแม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจแค่ไหน เราแค่สื่อสารในสิ่งที่เราเป็นแค่นั้นเอง”กลับมาเป็น “ลูกชาย” คนเดิมได้ไหม“วันเกิดของกอล์ฟในทุก ๆ ปี คุณพ่อคุณแม่ จะมีของขวัญให้เราเสมอ แล้วก็จะเขียนการ์ดอวยพรมาด้วย ซึ่งในปีหนึ่งช่วงที่เรากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ในการ์ดเขียนอวยพรปกติ แล้วในตอนท้าย ๆ คุณพ่อเขียนไว้ว่า ดีใจที่มีหนูเป็นลูก แต่สิ่งหนึ่งที่ถ้าพ่ออยากจะขอ และถ้ามันพอจะเป็นไปได้ คืออยากให้ลูกกลับมาเป็นลูกชายของพ่อคนเดิม นี่เป็นประโยคที่สะกิดใจเรา พอได้อ่านการ์ดแล้วเรารู้สึกว่าอยากจะอธิบายจัง แต่เราก็คิดว่าจะอธิบายยังไงดี หากอธิบายกันต่อหน้าคงเป็นเรื่องยาก และด้วยความที่เราเป็นคนที่อยู่ในกรอบมาตลอด นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่เราเลือกออกนอกกรอบ หลุดจากความคาดหวังของพ่อแม่ เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเราเขียนจดหมายดีกว่า เพราะถ้าพูดต่อหน้าความรู้สึกมันพรั่งพรู และคงจะร้องไห้จนพูดไม่ได้แน่ ๆ ก็เลยพยายามรวบรวมความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารจริง ๆ เราเขียนตอบกลับไปว่า เราดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่ เราเป็นได้ทุกอย่างที่พ่อกับแม่อยากให้เราเป็น เราจะตั้งใจในทุก ๆ สิ่งที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ตั้งใจมอบให้ แต่อย่างเดียวที่เราทำให้พ่อกับแม่ไม่ได้ ก็คือกลับไปเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อกับแม่ แต่ลูกสัญญาว่า ลูกจะมีชีวิตที่ดีในแบบของลูกเอง แล้วก็ส่งจดหมายไปเรารู้สึกว่าหลังจากที่พ่อแม่อ่านจดหมายมันปลดล็อค และเริ่มเข้าใจกันมากขึ้น หลังจากนั้นเราเคยนอนเล่นดูทีวีกับแม่ แล้วแม่ถามขึ้นมาว่า ไม่กลัวเหรอที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นเพศที่สาม แม่แค่กลัวว่าถ้าลูกเป็นแบบนี้ ในอนาคตลูกอาจจะต้องใช้ชีวิตคนเดียว แม่กลัวว่าจะไม่มีใครดูแล เราก็บอกกับแม่ว่า ไม่นะแม่ ลูกคิดว่าลูกใช้ชีวิตของตัวเองได้ ต่อให้ลูกอยู่ตัวคนเดียว ลูกก็ใช้ชีวิตของตัวเองได้ พอได้ฟังแม่จึงตอบกลับมาว่า แม่เชื่อ แม่ว่าลูกแม่เข้มแข็งพอที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ เพราะการที่เรากล้าลุกขึ้นเพื่อที่จะบอกว่า ลูกอยู่คนเดียวได้ ลูกใช้ชีวิตคนเดียวได้ไม่ต้องเป็นห่วง มันก็ทำให้เค้าเปลี่ยนมุมมองความคิดเหมือนกันส่วนพ่อก็มีเหมือนกัน ในช่วงโควิด เรากลับบ้านไม่ได้เลย คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างจังหวัด กอล์ฟอยู่กรุงเทพ ทั้งที่ปกติกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์ แต่พอมีโควิดเราไม่กลับบ้านเลยเป็นเดือน ๆ จนพอสถานการณ์มันคลี่คลายเราก็กลับบ้านได้ เราก็ได้กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันปกติ กอล์ฟก็ช่วยแม่เข้าครัวทำกับข้าวเหมือนเดิม วันนั้นบนโต๊ะทานข้าว ด้วยความที่พ่อกับแม่เค้าดีใจเพราะลูกไม่ได้กลับบ้านมานาน พ่อก็บอกว่า ดีจังเลยที่ได้มากินข้าวด้วยกัน แล้วมีประโยคนึงที่พ่อพูดขึ้นมาว่า ดีจังเลยที่เราได้กลับมากินข้าวด้วยกันอีก แล้วก็ดีจังเลยที่พ่อมีลูกสาวที่ทำกับข้าวให้พ่อกิน นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่พ่อเรียกเราว่าลูกสาว แล้วหลังจากนั้น พ่อไม่ได้พูดแค่กับเรา กับคนอื่นพ่อก็แนะนำเราว่านี่คือลูกสาว สิ่งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่าพ่อยอมรับในความเป็นตัวเราได้แล้วมีประโยคหนึ่งที่เราจำได้เลย คือตอนท้าย ๆ ก่อนที่คุณตาจะเสีย พวกเราไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่บ้าน แล้วกำลังจะลากลับบ้าน ตามประสาผู้ชายสมัยโบราณ ตาบอกว่าดูแลตัวเองให้ดีละกัน แล้วก็อย่าไปทำตัวเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แล้วแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พูดว่า พ่อไม่ต้องยุ่ง ลูกหนู หนูเลี้ยงเอง ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาต้องต่อสู้อยู่เหมือนกัน ในวันที่เราต่อสู้ พ่อกับแม่เขาก็ไม่ง่าย คนรอบข้างเราก็ไม่ง่าย นี่ยังไม่นับพี่ชาย และน้องชายเรา เขาก็ต้องเจอคำถามอะไรแบบนี้ แต่เขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเรา ต่อให้เข้าใจหรือไม่เข้าใจเราไม่รู้ แต่เขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเรา แล้วยอมรับในความเป็นเรา จนถึงวันนี้เรารู้สึกว่าแค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือคำถามของคนบนโลกใบนี้ทั้งหมดไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะเราตอบได้หมดแล้ว และคนรอบตัวเราตอบได้หมดแล้ว แค่นั้นพอ”จุดเริ่มต้น ของคนเบื้องหลัง“เส้นทางอาชีพของ กอล์ฟ เริ่มจากการเป็นคนเบื้องหลัง คือเป็นครีเอทีฟรายการไฟว์ไลฟ์ และพิธีกรคนแรกที่เขียนสคริปต์ให้กับมือคือ ดีเจอ้อย นภาพร และอีกคนก็คือ ดีเจอั๋น ภูวนาท ซึ่งความตั้งใจของเราคือ อยากทำงานวงการบันเทิง แต่สิ่งที่อยากทำจริง ๆ คืออยากทำงานอยู่เบื้องหลังกองละคร เพราะเราเป็นคนชอบดูละครทีวี มันเลยกลายเป็นความใฝ่ฝันว่า เราอยากอยู่ในกองละครจังเลย และเราเรียนศิลปการละครมาด้วยแต่ว่าโอกาสในตอนที่เข้ามาทำงานครั้งแรกที่แกรมมี่ ตอนนั้น ไฟว์ไลฟ์ เพิ่งจะขึ้นรายการใหม่ เค้าก็หาคนมาทำรายการนี้ กลายเป็นโอกาสให้เราได้ลองเข้ามา ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับที่เราอยากทำเป๊ะ ๆ แต่มันก็มีความใกล้เคียงกัน เรารู้สึกว่า ต่อให้เรียนตรงสายมา เราก็ไม่สามารถเอาวิชาความรู้จากในห้องมาใช้ในการทำงานได้เป๊ะ ๆ มันต้องเอามาปรับมาประยุกต์ใช้อยู่ดี ส่วนการที่เราได้มาทำรายการที่มันยังไม่ตรงเป๊ะกับที่เรียนมา สำหรับเรารู้สึกว่ามันท้าทาย เพราะเราหาทั้ง จุดแข็ง และ จุดอ่อน ของตัวเองเจอในการทำงานนั้น เช่น เราเรียนศิลปการละครมา แต่ต้องมาทำรายการเพลง สิ่งที่เป็นจุดแข็งเราคือ เราเรียนการเขียนบท เราเรียนการเขียนเพื่อการสื่อสารมาตลอด แปลว่าเรื่องการเขียนสคริปต์เรามีพื้นฐานมา เราแค่ต้องปรับ จากการเขียนบทละคร มาเขียนบทพิธีกร แต่สิ่งที่เราไม่มีความรู้เลย เนื่องจากเราไม่ได้เรียนสายนิเทศศาสตร์ เราไม่มีความรู้ทาง Media ยุคนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ เราไม่รู้จักอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้ แล้วเราก็สนุกกับการที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ Input ตัวเอง ซึ่งในการทำรายการสด เรื่องของการเตรียมงานก่อนล่วงหน้าก็สำคัญ และสิ่งที่เกิดขึ้นหน้างานก็สำคัญ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องทำงานเป็นทีม เราต้องแชร์กันในทุก ๆ เรื่อง”ผิดได้ ร้องไห้ได้ แต่ครั้งต่อไปต้องไม่ผิดเรื่องเดิม“วันแรกเลยที่ทำรายการ ด้วยความที่ ไฟว์ไลฟ์ เป็นรายการสด แล้ววันแรกหน้าที่ของเราคือต้องถือคิวการ์ดอยู่ใต้กล้อง ซึ่งมันจะเป็นบทขอบคุณลูกค้าตอนท้ายที่พิธีกรต้องพูดเป๊ะ ๆ แล้วความเป็นรายการสดมันต้องกำหนดเวลา แต่ด้วยความที่เป็นรายการวันแรก ตอนนั้นถึงช่วงท้ายรายการแล้ว ทางสถานีก็แจ้งมาว่าเหลือเวลาอีก 2 นาทีจะต้องจบราการแล้ว ซึ่งพิธีกรก็ไม่ได้สนใจจัดรายการต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านไปยังไม่ทันจะพูดขอบคุณเลย เรามอจอมอนิเตอร์ปรากฏว่า ภาพที่ออกอากาศตัดเข้าข่าวไปแล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้เลย หลังจากวันนั้นพอรายการเริ่มออกอากาศไปเรื่อย ๆ ก็มีสปอนเซอร์เข้ามา แล้วมันจะต้องดูเรื่องผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับทางฝ่ายขาย แล้วเราก็ไม่รู้อีกว่าความเป๊ะมันต้องขนาดไหน ก็เลยทำรายการไปแบบสบาย ๆ พิธีกรอยากพูดอะไรก็พูด เราอยากทำอะไรก็ทำ แล้วพอจบรายการลูกค้าก็ฟีดแบ็คมาว่า Benefit ไม่เห็นครบตามที่ลูกค้าแจ้งมาเลย ทางฝ่ายขายก็มาโวยเรา แล้วก็โดนตำหนิจากหัวหน้าด้วย บวกกับเราเพิ่งมาทำงานใหม่ ๆ ไม่เคยเจอแรงกดดันหนักขนาดนี้มาก่อน สิ่งที่ทำในตอนนั้นคือ วิ่งเข้าห้องน้ำร้องไห้เลย แต่มันก็เป็นจุดที่เราได้เรียนรู้เป็นอย่างดี วันนั้นเราบอกตัวเองว่า วันนี้ผิดได้ เราร้องไห้ได้ แต่ต่อไปฉันจะไม่ผิดเรื่องเดิมอีก ต่อไปนี้เรื่องอะไรที่ไม่รู้จะถามเลยกอล์ฟ ทำรายการไฟว์ไลฟ์ อยู่ 6-7 ปี หลังจากนั้นมีอีกรายการใหม่ที่ขึ้นคือ รายการโอไอซี เป็นรายการภาคกลางวัน ก็ไปช่วยดูแลตรงนั้นด้วย แล้วก็มีอีกรายการที่ช่วยดูแลก็คือ รายการเกมฮอตเพลงฮิต”จากคนเบื้องหลัง สู่พิธีกรสุดปังทัชใจเหล่าเทย“หลังจากทำงานอยู่เบื้องหลัง 10 ปี ก็เป็นช่วงที่ แซทเทิลไลท์ทีวีกำลังเกิด แล้วตอนนั้นช่อง Bang Channel ก็เกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่องใหม่ที่มีรายการหลากหลาย และก็มีโจทย์จากทางผู้บริหารว่า อยากได้รายการท่องเที่ยวมาอยู่ในช่องนี้ โดยคนที่รับโจทย์ตอนนั้นก็คือ ป๋อมแป๋ม นางก็ไปคิด แล้วก็นำเสนอออกมา โดยไอเดียที่นางคิดคือ อยากให้เป็นรายการท่องเที่ยว ที่มีบรรยากาศของการเที่ยวกับเพื่อน พอไปเสนอก็ผ่านเลย เจ้านายบอกให้ไปทำเทปตัวอย่างรายการมาเสนอได้เลย ป๋อมแป๋ม ก็ตัดสินใจว่า เดี๋ยวฉันเป็นพิธีกรหนึ่งคน แล้วก็ต้องไปกวาดต้อนเพื่อนเพื่อมาทำเทปตัวอย่างรายการนี้ ก็ไปชวน ก็อตจิ แล้วก็ เจ๊นนท์ ที่เป็นเพื่อนแต่ทำงานข้างนอกมาทำรายการนี้ ณ ตอนนั้น กอลฟ์ รับหน้าที่เป็นทีมซัพพอร์ทคอยช่วยงานเบื้องหลัง แต่กลายเป็นว่าเทปตัวอย่างที่ทำออกมาประสบความสำเร็จมาก หัวหน้าบอกว่าสามารถออนแอร์ได้เลย ซึ่งพอเริ่มออนแอร์ไปแล้ว แปลว่ามันต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ แต่เหตุคือ เจ๊นนท์ ที่ทำงานข้างนอก เริ่มมีข้อจำกัดเรื่องเวลากับการทำงานที่ไม่สะดวก ทำให้ต้องเปลี่ยนพิธีกร ป๋อมแป๋มก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นเธอแล้วกันกอล์ฟ ซึ่งสำหรับเราตอนนั้นรู้สึกว่า ที่เบื้องหน้าไม่ใช่ที่ของเราเลย ไม่เคยมีความคิดในการทำงานเบื้องหน้าเลย เราฝันกับการทำงานเบื้องหลังมาตลอดจนหัวหน้าของเราเรียกไปคุยอยู่นาน แล้วก็มีประโยคนึงที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเราเลย คือเค้าบอกว่า ถ้าขนาดคนอื่นยังคิดว่าเราทำได้ แล้วทำไมเราจะไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราก็ทำได้เหมือนกัน พอได้ฟังประโยคนั้นก็รู้สึกว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันลอง โดยบอกกับหัวหน้าไปว่าขอลองทำอย่างเต็มที่ก่อน แต่ถ้าเราทำออกมาได้ไม่ดีก็ขอให้บอก เราพร้อมที่จะถอดตัว หรือเปลี่ยนไปในตำแหน่งอื่น ๆ แต่นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะรับเอาไว้ และจะพยายามอย่างเต็มที่ และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเบื้องหน้าถ้าย้อนกลับไปดูคอมเมนต์ในยุคแรก ๆ จากเจ๊นนท์ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเรา จะมีคอมเมนต์เยอะมาก ที่บอกว่าเราไม่ตลกเลย พูดน้อยจัง พูดไม่ทันเพื่อนเลย ไม่เห็นสนุกเลย เอาคนใหม่ดีกว่า ซึ่งเราก็เอาคอมเมนต์เหล่านี้กลับมาประเมินตัวเอง ในขณะเดียวกันก็คุยกับทีมเบื้องหลังด้วย ซึ่งพี่ที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการก็พูดว่า ฉันไม่ได้ต้องการเอาเธอมาเพื่อให้เธอเหมือนคนอื่น ฉันเอาเธอมาเพื่อที่จะให้เธอเป็นเธอ ทั้งสามคนมีเคมีที่ลงตัวในแบบของมัน แล้วเดี๋ยวมันจะหาวิธีการที่จะอยู่กันได้แบบลงตัว”ทุกคนล้วนมีความเป็นตัวเอง ที่ไม่ควรถูกแปะป้าย“หลายคนมักติดภาพว่า เป็นกะเทยต้องตลก ซึ่งเรื่องนี้ กอล์ฟก็เคยคิดเหมือนกัน เมื่อก่อนเรารู้สึกว่า กะเทยที่จะมีที่ยืนในหน้าสื่อมีอยู่แค่ 2 แบบหลัก ๆ คือถ้าไม่สวยระดับมงลง ก็ต้องตลก และถ้าเป็นกะเทยแบบธรรมดา เรารู้สึกว่าเหมือนไม่มีพื้นที่ตรงนั้นให้พวกเค้าเลย เรารู้สึกว่าท้ายที่สุดมันเป็นการแปะป้าย เหมือนที่เราแปะป้ายว่า ผู้ชายต้องเป็นคนเข้มแข็ง ต้องมีความเป็นผู้นำ ผู้หญิงต้องเรียบร้อย ต้องอ่อนหวาน ซึ่งในความเป็นจริง ทุกคนมีความเป็นตัวเองอยู่แล้ว และแต่ละคนมันหลากหลาย ซึ่งมันไม่ควรจะถูกแปะป้าย ความเป็นกะเทยก็เช่นกัน มันไม่ควรถูกแปะป้ายว่า เป็นกะเทยต้องตลก หรือเป็นกะเทยต้องสวยสิ เราแค่เป็นกะเทยธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบ ๆ ตามประสาของเราได้ไหม ไม่ต้องสวยมาก ไม่ต้องตลกมาก แต่ก็เป็นเราในแบบของเรา และเราได้รับการยอมรับจากสังคมในแบบที่เราเป็นได้ไหม นี่คือสิ่งที่เราเคยคิดมาเหมือนกันและมันพ่วงมากับเรื่องฟีดแบ็คในรายการด้วย ที่คนดูมองว่า เราไม่ตลกเลย ซึ่งเราเองก็ต่อสู้ และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเหมือนกันว่า ถูกแล้ว ฉันไม่ใช่คนตลก แต่ตอนอยู่ในรายการฟังก์ชั่นของฉันคือแบบไหน และฉันอยากนำเสนออะไรออกไปในรายการ ซึ่งเราก็ต้องหาความเป็นตัวตนของเราให้เจอ แล้วก็นำเสนอออกไปให้คนเข้าใจ แล้ววันหนึ่งพอใช้เวลา คนจะเข้าใจ และยอมรับเราในแบบที่เราเป็นจริง ๆ”เทยเที่ยวไทย กับ 12 ปีแห่งความประทับใจ“กอล์ฟ ทำเทยเที่ยวไทยมา 12 ปี มันเหมือนเป็นชีวิตไปแล้ว ตอนที่ทำรายการ เราออกกองกันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ เราเจอกัน อยู่บนรถตู้แล้วมีเรื่องเม้าท์กัน ไปกินข้าวด้วยกัน มันเหมือนเป็นชีวิตเป็นไลฟ์สไตล์ของเราไปแล้ว พอไม่ได้ทำรายการเทยเที่ยวไทย แล้วเรากลับมาทำงานออฟฟิศแบบเต็มเวลามากขึ้น มันก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน และเราก็ห่างจากเพื่อนไปเยอะ จากที่เราได้เจอกันบ่อย ๆ ตอนนี้เหลือแค่ในกรุ๊ปไลน์ แทนที่เราจะได้นั่งคุยกัน มันก็มีความใจหายนิดหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่งคือคนดู ที่จะมีคนดูถามว่า ทำไมเลิกทำ คิดถึงจัง แล้วต่อไปหนูจะดูอะไรเป็นเพื่อนตอนกินข้าว ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากจัง แต่เราก็รู้สึกว่า ทุกอย่างมันก็มีช่วงเวลาของมัน และการที่เราหายไป แต่คนยังคิดถึงเราอยู่ อันนี้ต่างห่างที่เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากจริง ๆ เราก็อยากไปในวันที่คนยังคิดถึงเราอยู่ และเราก็รู้สึกขอบคุณที่ยังคิดถึงกันเสมอ แต่ทุกอย่างมันก็มีเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของมัน หากในอนาคตจะปรับรายการไปรูปแบบไหน หรือจะกลับมารวมตัวกันใหม่ในรูปแบบไหน ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต”เพราะผ้ามันผูกพันกับผู้คน และเป็นสิ่งที่ กอล์ฟ ชื่นชอบ“เราเป็นคนที่ชอบงานฝีมือ ความสวย ๆ งาม ๆ เป็นสิ่งที่เราชอบมาก ๆ แล้วพอได้มีโอกาสศึกษาเรื่อง ผ้าพื้นเมือง ในบ้านเรา มันไม่ใช่แค่เรียนรู้เรื่องศิลปะ เพราะผ้ามันผูกพันกับผู้คน มันอยู่ในวิถีชีวิต แล้วมันมีชาติพันธุ์ ทำให้เรารู้ว่า ประเทศไทย ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายมากมาย มีชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสิ่งหนึ่งที่เขาถ่ายทอดออกมาก็คือในผืนผ้าเหล่านี้ พอได้เรียนรู้แล้วมันทำให้รู้สึกว่า เราชอบจังเลย เราสนุกกับการค้นคว้า เรียนรู้ รู้จัก และก็สะสมสิ่งที่เราชอบเก็บไว้เรื่อย ๆ”หนังสือ คือเพื่อนติดตัวของ กอล์ฟ“หนังสือ คือเพื่อนแก้เหงามาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาที่ใครถามว่า ใช้ชีวิตคนเดียวไม่เหงาเหรอ เราก็จะบอกว่า ไม่เหงา ถ้ามีหนังสือเป็นเพื่อนก็ไม่เหงาแล้ว อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่จะมีหนังสือติดบ้าน แล้วมันอาจจะเป็นความเคยชินของเราที่เวลาเบื่อ ไม่มีอะไรทำ หรือเหงาเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือมาอ่าน แล้วการอ่านหนังสือมันเปิดโลกของเรามากขึ้น ทำให้ได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ผ่านหนังสือที่เราอ่าน และทำให้เราเริ่มมีมุมมองต่อผู้คนที่เปิดกว้างมากขึ้น เราเริ่มมองว่า ถ้าเขาทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยผ่านอะไรมา มันทำให้เราเลือกที่จะไม่ตัดสินใครจากสิ่งที่เห็นเท่านั้น เพราะเรารู้สึกว่ามันคงจะมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับที่เราเคยอ่านมาในหนังสือ หรือในตัวละครต่าง ๆ ก็เป็นไปได้”กำจัดความกลัวในใจ แล้วจะกลายเป็นบุคคลที่เบ่งบานงดงาม“เป็นข้อคิดที่เราได้จากอาจารย์ที่สอนการแสดง ตั้งแต่สมัยเรียนศิลปการแสดง วันนั้นหลังเลิกเรียน อาจารย์ได้มานั่งจับเข่าคุยกัน ท่านบอกว่า หนูเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งเลย เป็นคนที่มีแมททีเรียลในชีวิตดีมาก ๆ แต่ปัญหาของหนูตอนนี้คือ หนูกำลังมีความคิดที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเอง เหมือนหนูเป็นดอกกุหลาบที่กำลังรอเบ่งบาน แต่ตอนนี้ความคิดของหนูที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มันเหมือนหนอนที่คอยกินไส้กุหลาบอยู่ข้างใน แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ หนูจะหมดโอกาสเบ่งบานเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามเหมือนกับคนอื่น ๆ หนูจงรีบกำจัดตัวหนอนที่ทำลายตัวหนูอยู่ข้างในออกไป แล้วหนูจะมีโอกาสเบ่งบานได้สวยเหมือนคนอื่น มิใยว่าหนูจะเป็นดอกกุหลาบสีฟ้า หรือดอกกุหลาบสีเขียว ซึ่งมันแปลกแตกต่าง และอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่หนูจะสวยงาม และเบ่งบานในแบบของตัวหนูเอง โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าจะต้องเหมือนใคร สิ่งที่สำคัญที่สุด หนูต้องเริ่มจากการยอมรับในความเป็นตัวของหนูเองให้ได้ก่อน แล้วลบความคิดไม่ดีต่อตัวเองทิ้งออกไปให้หมด ข้อคิดนี้กลายเป็นจุดปลดล็อคของเรา ให้รู้ว่า การที่เราตั้งคำถามตลอดเวลาว่า ฉันแปลกกว่าคนอื่นไหม ฉันเป็นคนที่เป็นส่วนเกินของโลกใบนี้รึเปล่า ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่เลย ทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเราเติมเต็มชีวิตด้วยตัวเราเอง และยอมรับในความเป็นตัวเองอยู่แล้ว คำถามอื่นบนโลกใบนี้ก็ไม่มีความหมายกับเรา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครสักคนมาเติมเต็มตัวเรา เราต้องมีความสุขในแบบของเราก่อน แล้วถ้าจะมีคนอื่น ๆ เข้ามาในชีวิต มันก็จะบวก ๆ กับชีวิตเราขึ้นไปเราเคยมีความคิดว่า โลกนี้ ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง เกย์ก็จะมีคู่ของเขา หรือแม้แต่ ทอม หรือเลสเบี้ยนก็มีคู่ของเขา แล้วกะเทยคู่กับใคร แต่พอเราเริ่มเข้าใจความหลากหลายทางเพศมากขึ้น เรารู้สึกว่า เพศไม่เกี่ยวเลย มันไม่ได้มีใครจับคู่กับใครบนโลกใบนี้ ท้ายที่สุดของความสัมพันธ์คือคุณรักใคร และรู้สึกว่าใช้ชีวิตอยู่กับใครแล้วมันลงตัว มันแค่นั้นเอง”“การรัก และให้เกียรติ ในความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง มันจะทำให้เรารู้สึกว่า โลกนี้มันโอเคกับเรา มันไม่ได้มีอะไรน่ากลัว และไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เราถูกแบ่งแยกออกมาเลย” – กอล์ฟ กิตติพัทธ์ดูรายการย้อนหลัง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง