ผ่าตัดวิสาหกิจแปลงใหญ่! กำหนดโควตาผลิต หวังดันสินค้าเกษตรยกแผง แก้ไขปัญหาล้นตลาด ทุบราคาดิ่งเหว สั่งปลัดเกษตรขับเคลื่อนนโยบายร่วม 77 ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ให้แยกเด่นชัดเกษตรเคมี อินทรีย์ หวังตัดวงจรเกษตรจนซ้ำซาก
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแนวทางการปฏิรูปภาคการเกษตรในรูปแบบวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ (Mega Farm Enterprise) เพื่อเพิ่มพูนรายได้เกษตรกรนั้น ให้จัดทำ "แผนการผลิตทางการเกษตรของประเทศ" ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ การวางแผนการผลิตทางการเกษตร ทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมงแต่ละชนิด ตามความต้องการของตลาด หรือ การกำหนดโควตาทำเกษตรกรรมให้เหมาะสม ว่า จะทำเกษตรกรรมอะไร จำนวนเท่าไร เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรสมดุลกับความต้องการของตลาดนั้น
"เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายการจัดทำแผนการผลิตภาคการเกษตร (Agricultural Production Plan) ภายใต้แนวทาง "การตลาดนำการผลิต" และ "โครงการเกษตรแปลงใหญ่" (Mega Farm) มีความสอดคล้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน รวมทั้งเป็นการพัฒนาระบบการเกษตรของไทย ตั้งแต่เริ่มต้นการผลิต จนกระทั่งมีผลผลิตจำหน่ายออกสู่ตลาด ให้มีศักยภาพก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้"
นายกฤษฎา กล่าวว่า จึงขอให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการเกษตรแปลงใหญ่ในรูปวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ (Maga Farm Enterprise) ที่มีเกษตรกรและภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเกษตรแปลงใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรตามแนวทางการดำเนินงาน
"1.องค์กรบริหารโครงการที่ครอบคลุมทั้งประเทศ จัดตั้งองค์กรการบริหารจัดการรูปแบบวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ (Mega Farm Enterprise) 2 ระดับ โดยในส่วนกลางมอบหมายให้ปลัดเป็นหัวหน้าคณะทำงานโครงการระดับกระทรวง โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นเลขานุการ และมีกรมหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่าต่าง ๆ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนในสังกัด กษ. เป็นคณะกรรมการอำนวยการ เพื่อทำหน้าที่อำนวยการวางแผนและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการในรูปวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่"
สำหรับในระดับพื้นที่จังหวัดให้ใช้โครงสร้างคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัด (อพก.จ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการบริหารจัดการในรูปวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ในระดับพื้นที่ โดยมีเกษตรจังหวัดเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการระดับจังหวัด ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจัดทำโครงสร้างองค์กรบริหารโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการและแนวทางการบริหารจัดการในรูปวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ ที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมตามขั้นตอน ในข้อ 2 - ข้อ 7 ภายในระยะเวลา 12 เดือน แล้วให้รายงานผลให้รัฐมนตรีทราบทุกระยะด้วย
สำหรับลักษณะและขนาดพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ เพื่อประหยัดการลงทุนขอให้ อพก.จ. ประสานงานกับปฏิรูปที่ดินจังหวัด และ/หรือเกษตรจังหวัด หรือ สหกรณ์จังหวัด เพื่อสำรวจพื้นที่ สปก. หรือ พื้นที่ตามโครงการจัดที่ดินทำกินแห่งชาติ (คทช.) หรือ พื้นที่ซึ่งเกษตรกรได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตรอยู่แล้ว หรือ พื้นที่ซึ่งมีเกษตรกรรวมตัวกันทำเกษตรกรรมในรูปแบบแปลงใหญ่อยู่แล้วหลาย ๆ แปลงในพื้นที่อำเภอเดียวกัน ซึ่งมีความสมัครใจจะเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้
ทั้งนี้ ควรกำหนดเป้าหมายของโครงการบริหารจัดการในรูปวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ไม่น้อยกว่า 1 แปลงใหญ่ ต่อ 1 ภูมิภาค ตามการแบ่งพื้นที่ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่กำหนดไว้ 6 ภูมิภาค โดยการบริหารจัดการวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ควรมีขนาดพื้นที่ติดกันรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ขึ้นไป เพื่อก่อให้เกิดการประหยัดในการผลิตต่อขนาดพื้นที่ลงทุน (Economy of Scale) ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
นายกฤษฎา กล่าวว่า การเลือกวิธีผลิตให้ได้ผลผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เนื่องจากตลาดสินค้าเกษตรในปัจจุบันและอนาคตมีแนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรที่เน้นในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น จึงให้พิจารณาเลือกวิธีการทำเกษตรปลอดจากการใช้สารเคมี (GAP) หรือ เกษตรอินทรีย์ (Organic) หรือ การทำเกษตรแบบผสมผสาน หรือ เกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่และคุณภาพดินตามแผนที่จัดการด้านเกษตรกรรม (Agri-Map) หรือ อาจเปลี่ยนการทำเกษตรกรรมซ้ำซาก หรือ การเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่การทำเกษตรชนิดใหม่ที่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือ ลงทุนน้อยกว่าเกษตรกรรมที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
เช่น เปลี่ยนการทำนามาปลูกพืชตระกูลถั่วหรือพืชผัก หรือ การลดพื้นที่การปลูกยางพาราไปปลูกกาแฟหรือโกโก้ หรือ ปลูกกล้วยหอมหรือพืชอื่น ๆ แซมในสวนยางพารา เป็นต้น ทั้งนี้ อาจนำความรู้ทางเทคโนโลยี ตลอดจนเครื่องมือและเครื่องจักรสมัยใหม่มาใช้ในการผลิต เพื่อทดแทนการใช้แรงงาน โดยให้คำนึงด้วยว่า ผลผลิตเหล่านั้นต้องสามารถตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งผลิต รวมทั้งกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่ละเมิดกติกาสากลด้วย โดยขอให้ ปล.กษ. ประสานกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันจัดวิทยากรมาให้ความรู้กับผู้จัดการเกษตรแปลงใหญ่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้ทราบถึงแนวโน้มความต้องการและราคาสินค้าเกษตรแต่ละชนิดก่อนเริ่มฤดูการผลิต
อย่างไรก็ดี ในการบริหารจัดการวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่แบบมีส่วนร่วมที่ทันสมัย ขอให้เกษตรอำเภอร่วมกับเจ้าหน้าที่สหกรณ์จังหวัด รวมกลุ่มเกษตรกรเจ้าของที่ดิน เพื่อจดทะเบียนเป็นสหกรณ์การเกษตร หรือ วิสาหกิจชุมชน ขณะเดียวกัน ให้คัดเลือกเกษตรกรเจ้าของที่ดินที่มีศักยภาพและมีความต้องการทำการเกษตรเอง หรือ คัดเลือกบุตรหลานของเกษตรกรเจ้าของที่ดินที่ผ่านการอบรมหลักสูตรเกษตรกรสมัยใหม่ (Smart Farmers) มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ หรือ ประสานงานกับภาคเอกชนในพื้นที่ หรือ พื้นที่ใกล้เคียง มาจัดหลักสูตรอบรมร่วมรัฐกับเอกชน โดยเน้นวิธีการจัดการสมัยใหม่แบบเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
หรือ ขอให้ภาคเอกชนส่งวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมมาแนะนำวิธีการผลิตและการจัดการธุรกิจ การเกษตรแปลงใหญ่ที่ใช้ต้นทุนต่ำและให้ผลผลิตสูง โดยอาจปรับเป็นการทำธุรกิจที่ลงทุนร่วมกันระหว่างเกษตรกรเจ้าของที่ดินกับภาคเอกชนเหมือนการร่วมกันทำนาด้วยการลงแขกเช่นในอดีต หรือ ให้เอกชนลงทุนโดยออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องมือ เครื่องจักร หรือ แนะนำวิธีการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ ขณะที่ เกษตรกรเจ้าของที่ดิน หรือ บุตรหลาน ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการธุรกิจการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อดำเนินการผลิต โดยให้สหกรณ์การเกษตร หรือ วิสาหกิจชุมชน รวบรวมผลผลิตขายให้เอกชนหรือนำไปแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของเกษตรแปลงใหญ่ หรือ ประสานให้ภาคเอกชนมาตั้งโรงงานแปรรูปเป็นอุตสาหกรรมการเกษตร หรือ เปิดเป็นโรงรวบรวมผลผลิตเพื่อติดต่อหาตลาดส่งขายเอง หรือ วางขายในระบบออนไลน์ เป็นต้น
ส่วนบทบาทภาคเอกชนในวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ในฐานะผู้ร่วมลงทุนและทำการตลาดมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สป.กษ.) ติดต่อประสานงานกับภาคเอกชนในส่วนกลางผ่านกลุ่มสานพลังประชารัฐ คณะทำงานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ (D.6) เพื่อขอให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกรแปลงใหญ่ในกระบวนการผลิต
อาทิ ทำสัญญารับซื้อผลผลิตของเกษตรแปลงใหญ่ หรือ ร่วมลงทุนกับเกษตรกรสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ หรือ ขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนจัดอบรมวิธีการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่และสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจับคู่ทางการค้าเพื่อรับซื้อผลผลิตรวมถึงการให้ความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตราสินค้า บรรจุภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสมาชิกวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ได้ตัดสินใจเลือกผลิตสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตได้ อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลกด้วย ทั้งนี้ ให้มีแบ่งปันผลประโยชน์ออกเป็น 3 ส่วน ระหว่างเกษตรกรเจ้าของที่ดิน สหกรณ์ หรือ วิสาหกิจชุมชน และภาคเอกชนที่มาร่วมลงทุนดำเนินการในกิจการวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่ให้เป็นไปตามหลักความเป็นธรรม ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. 2560
นอกจากนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร (มก.อช.) กรมชลประทาน องค์การตลาด (อตก.) ฯลฯ ร่วมกันวางแนวทางและส่งเสริมการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มความรู้ในการผลิต การคัดเลือกพันธุ์ การจัดการแปลง การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตร พร้อมกับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็นให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง พร้อมทั้งให้วางแนวทางและสนับสนุนการดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอย่างยั่งยืน และประสานงานขอให้ ธกส. สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำแก่กลุ่มธุรกิจการเกษตรแปลงใหญ่ พร้อมช่วยวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการลงทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการด้วย
"ติดตามและประเมินผลให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ร่วมกับสถาบันการศึกษาวางแผนเพื่อดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลธุรกิจการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นรายแปลงเกี่ยวกับผลผลิตต่อไร่ ต้นทุนการผลิต การใช้เครื่องจักรกล ชนิดของพืช/ปศุสัตว์/สัตว์น้ำ พร้อมระบุ สายพันธุ์และข้อมูลสภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรสมาชิกธุรกิจการเกษตรแปลงใหญ่ทุกคนและทุกครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการ ว่า มีรายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตร หนี้สิ้นโครงการอื่นของภาครัฐที่เข้าร่วมในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างฐานข้อมูลและทำการติดตามและประเมินผลการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง และเสนอแนะแนวทางเพื่อนำไปสู่การขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ"
นายกฤษฎา กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการ ก็คือ ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปรับแนวคิดและมุมมองต่องานด้านการเกษตร เพื่อปรับวิธีการทำงานให้ก้าวทันโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วบนพื้นฐานของการมีจิตสำนึกต่อความรับผิดชอบในหน้าที่การงานโดยยึดหลักซื่อสัตย์สุจริตในการทำงานอย่างเข้มแข็งด้วย