เม็กซิโกเป็นหนึ่งในดินแดนเก่าแก่ที่สุดของทวีปอเมริกา เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก มานับพันๆ ปีแล้ว
โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]
เม็กซิโกเป็นหนึ่งในดินแดนเก่าแก่ที่สุดของทวีปอเมริกา เป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก มานับพันๆ ปีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ก่อนที่จะมาเป็น สหรัฐเม็กซิโก อย่างเช่นทุกวันนี้
กว่าสามพันปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองหลายกลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่เริ่มมีวัฒนธรรมเป็นรูปเป็นร่างเรียกว่า โอลเม็ก ต่อมาก็เป็นชนเผ่ามายาที่อยู่ทางตอนกลางค่อนลงไปทางใต้ ซึ่งมีอำนาจอยู่ประมาณปี ค.ศ. 200-ค.ศ. 900 นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มโตลเตก ที่ขึ้นมามีอำนาจในช่วงปี ค.ศ. 700 และตามมาด้วยพวกแอซเท็ก กลุ่มที่สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นทางตอนกลางของประเทศ อันที่เป็นตั้งของเม็กซิโกซิตี้ในปัจจุบันนี้
แอซเท็ก เดินทางมาจากทางเหนือ และมาตั้งจักรวรรดิใหม่ที่เมืองเตนอชตีตลัน (เม็กซิโกซิตี้ในปัจจุบัน) โดยพวกนี้เรียกตัวเองว่า เม็กซิก้า เป็นกลุ่มนักรบที่เก่งกล้าสามารถ มีความเชื่อในเทพเจ้า และมีประเพณีการบูชายัญ
ในสมัยของพระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2กษัตริย์อัซเอกที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักวรรดิเม็กซิก้า เมืองหลวงเตนอชตีตลัน ขยายตัวอย่างยิ่งใหญ่ จนมีประชากรมากถึง 3.5 แสนคน ซึ่งนับว่าเป็นเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น (สมัยนั้นยังไม่มีเมืองที่ประชากรอยู่ร่วมกันมากนับล้านๆ คนเหมือนในปัจจุบัน)
ความเชื่อในเทพเจ้า และตำนานโบราณของชาวแอซเท็ก เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งใหญ่ เมื่อ เอร์นันโด กอร์เตส คือนักสำรวจชาวสเปน ผู้ได้รับการยกย่องว่าพิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก ซึ่งการจะพิชิตกองทัพแอซเท็กได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่โชคเข้าข้างกอร์เตส บังเอิญว่าลักษณะของเขาดันไปตรงกับกษัตริย์เทพเจ้าในตำนานของแอซเท็ก และปีที่กอร์เตสเดินทางมาถึง ก็ยังไปตรงกับคำทำนายว่าโบราณอีกด้วย ทำให้ชาวแอซเท็กไม่ได้ต่อต้าน แถมยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
อีก 2 ปีให้หลัง กองทัพสเปนนำโดย กอร์เตส ที่จับมือกับเผ่าตลัชกัลเตก ศัตรูตัวฉกาจของแอซเท็ก เข้าพิชิตเตนอชตีตลันได้อย่างง่ายดาย และเป็นอันจบสิ้นความยิ่งใหญ่ ของจักรวรรดิเม็กซิก้า และปิดตำนานความรุ่งเรืองของกรุงเตนอชตีตลัน ลงอย่างถาวร
แม้ว่าจะพิชิตแอซเท็กได้แล้ว สเปนก็ต้องใช้เวลาอีกร่วม 20 ปี เพื่อเข้ายึดครองดินแดนเม็กซิโก ให้ได้ทั้งหมด เนื่องจากเม็กซิโกมีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล และมีชนพื้นเมืองอีกหลายกลุ่มที่ต่อต้าน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครต้านอำนาจกองทัพสเปนได้ ทำให้สเปนคุมได้ทั้งประเทศและเก็บเกี่ยวทรัพยากรไปได้อีก 300 ปี
กระบวนการเรียกร้องเอกราชเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1810 โดยเริ่มต้นจากนักบวชท่านหนึ่ง แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าสิบปี จึงขับไล่สเปนออกไปได้ และคืนเอกราชให้เม็กซิโกอีกครั้ง แต่ภายหลังจากได้รับเอกราชไม่นาน สงครามและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองภายใน ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกร่วมศตวรรษ
ความขัดแย้งและมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำดำเนินไปตามสมัย แต่โชคดีเหลือเกิน ที่เศรษฐกิจของประเทศยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการค้นพบน้ำมันเป็นตัวแปรสำคัญที่นำรายได้มาสู่ประเทศ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยกลับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าคนรวยส่วนใหญ่ คือกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมือง หรือไม่ก็เป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐบาลในสมัยนั้นๆ
ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองที่สุด น่าจะเริ่มต้นประมาณปี ค.ศ. 1940 โดยการนำของประธานาธิบดี ลาซาโร การ์เดนัส เดล รีโอซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นยุค “มหัศจรรย์เม็กซิโก” และยุคนี้เอง ก็มีอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลเข้ายึดเอากิจการน้ำมันและเหมืองแร่จากบริษัทเอกชนต่างชาติ ที่มาลงทุนในเม็กซิโก แล้วตั้งบรรษัทพลังงานที่ชื่อว่า เปเม็กซ์ เข้ามาดูแลกิจการแทน แม้ว่าจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นสวัสดิการสังคม แต่ก็สร้างความขัดแย้งกับต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยมีกิจการอยู่ในเม็กซิโก
เมื่อตั้งบรรษัทพลังงานของตนเองขึ้นมาแล้ว ก็มีการกู้ยืมเงินจากต่างชาติมาเพิ่มการลงทุน แต่ก็ด้วยการบริหารจัดการเงินที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก หนี้สินจึงล้นพ้นตัว ประกอบกับภาวะน้ำมันล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำในช่วงปี ค.ศ. 1980 ส่งผลให้เศรษฐกิจของเม็กซิโกเข้าสู่วิกฤตในเวลาต่อมา แต่ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเม็กซิโกจึงให้ความเคารพและเกรงใจสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
ในยุคที่ราคาน้ำมันขึ้นสูงรัฐบาลจะมีงบประมาณมา ลด แลก แจก แถม ให้ประชาชนอยู่บ่อยครั้ง คนเม็กซิกันจึงมักจะต่อรอง และเรียกร้องสวัสดิการต่างๆ จากรัฐบาลอยู่เป็นประจำ
ปัจจุบันนี้ คนเม็กซิกันจ่ายค่าน้ำมันอยู่ลิตรละประมาณ 15 เปโซ (ประมาณ 30 บาท) ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ถูกนัก สำหรับประเทศที่มีกิจการน้ำมันเป็นของตนเอง
แต่ค่าไฟฟ้านั้นถือว่าค่อนข้างถูก ซึ่งปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีเชื้อเพลิงเป็นของตนเอง และอีกปัจจัยหนึ่งคือรัฐบาลต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมมีศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนซึ่งคอยสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้ามาก
โดยในอดีตนั้นก็จะผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก แต่ภายหลังก็มีการกระจายสัดส่วนมาใช้ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินมากขึ้น เพื่อเสถียรภาพทางด้านพลังงาน และลดความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่ผันผวน
ชาวเม็กซิกันจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราที่ถูกกว่าความเป็นจริงมาก ตัวอย่างเช่น ค่าไฟฟ้าในครัวเรือน หน่วยละประมาณหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ก็จะจ่ายถูกว่าอีกนิดหน่อย เพราะรัฐบาลช่วยอุดหนุนราคามาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อเริ่มให้แล้วจะมายกเลิกภายหลังก็จะเป็นเรื่องยาก หลายครั้งที่รัฐบาลต้องการปรับราคาให้เป็นจริงก็จะถูกประท้วง และส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลได้
ซึ่งอันที่จริงจะว่าไปแล้ว เรื่องการประท้วงในประเทศเม็กซิโกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ประเด็นการเดินขบวนส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการเรียกร้องและต่อรองสวัสดิการต่างๆ กับรัฐบาล ซึ่งการประท้วงจะไม่รุนแรงแต่ถ้าเป็นเรื่องการเรียกร้องความเป็นธรรมกรณีสังหารหมู่นักศึกษา ที่เมืองตลาเตลอลโกในปี ค.ศ. 1968 ละก็ บรรยากาศจะตึงเครียดมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจ และทหาร กราดกระสุนใส่กลุ่มนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านรัฐบาล และกระทั่งปัจจุบัน เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่ได้สะสาง นักศึกษาและประชาชนจึงออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบแทบทุกปี อีกประเด็นหนึ่งที่มีการประท้วงกันบ่อยก็คือเรื่องการศึกษา แต่หัวข้อมักจะเป็นเรื่องของสวัสดิการครูเสียมากกว่า อย่างเช่นล่าสุด ก็มีการประท้วงจากบรรดาครูในรัฐวาฮาก้า ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ เนื่องจากบรรดาคุณครูไม่พอใจรัฐบาลที่กำลังจะกำหนดให้มีการสอบวัดคุณภาพครู หลายคนกังวลว่า หากสอบไม่ผ่านจะต้องตกงาน
เม็กซิโก ไม่ได้มีแต่เรื่องประวัติศาสตร์และการเมืองเท่านั้นที่น่าสนใจ แต่เรื่องของวิถีชีวิตและสังคม ก็น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งถ้าอยากชมแบบครบทุกแง่มุม ก็ต้องติดตามทางสารคดีโทรทัศน์ โลก 360 องศา ทาง ททบ.5เวลา 21.20 น. เสาร์นี้