Share:
ท้องแข็ง คือ อาการซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้คลอดเจ้าตัวน้อยแล้ว โดยคุณแม่อาจรู้สึกแน่นท้อง หน้าท้องแข็ง ร่วมกับมีอาการปวดท้องคล้ายปวดประจำเดือนหรือปวดหน่วงคล้ายปวดอุจจาระ อย่างไรก็ตาม ในระยะใกล้คลอดก็อาจเกิดอาการไม่สบายท้องที่เรียกว่าท้องแข็งหลอกได้เช่นกัน ซึ่งไม่ใช่สัญญาณใกล้คลอดแต่มักทำให้คุณแม่หลายรายเข้าใจผิด และหากสามารถแยกความแตกต่างระหว่างท้องแข็งจริงกับท้องแข็งหลอกได้ อาจช่วยคลายความกังวลระหว่างตั้งครรภ์ ให้คุณแม่ดูแลสุขภาพครรภ์และเตรียมความพร้อมก่อนคลอดได้ดีขึ้น
ท้องแข็งจริง เป็นอย่างไร ?
ท้องแข็งที่เป็นสัญญาณใกล้คลอดมักเริ่มเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 40 ของการตั้งครรภ์ โดยเกิดจากร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ที่ไปกระตุ้นให้มดลูกส่วนต้นหดรัดตัว ทำให้ผนังมดลูกบางลงและขยายปากมดลูกให้กว้างขึ้น เพื่อส่งทารกไปยังช่องคลอดได้ง่ายขึ้น
โดยอาการท้องแข็ง มีลักษณะดังนี้
- แน่นท้อง และรู้สึกว่าหน้าท้องแข็งเมื่อสัมผัส
- ปวดท้องหรือไม่สบายท้อง อาจปวดคล้ายปวดประจำเดือนหรือปวดหน่วงคล้ายปวดอุจจาระ
- อาการปวดจะเกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกัน คือ รู้สึกปวดเป็นจังหวะ โดยเริ่มจากปวดเพียงเล็กน้อยแล้วรุนแรงขึ้น จากนั้นอาการปวดจะลดลงและหายไป เมื่อเวลาผ่านไปสักพักอาการปวดจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ โดยค่อย ๆ เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
โดยปกติ อาการท้องแข็งมักเกิดขึ้นทุก 15-20 นาที คุณแม่ที่มีอาการถี่มากหรือเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาน้อยกว่า 5 นาทีร่วมกับมีสัญญาณอื่นดังต่อไปนี้ อาจแสดงว่าใกล้เวลาคลอดและควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- พบมูกเลือดออกมาจากช่องคลอด
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
- มีน้ำคร่ำซึ่งเป็นของเหลวใสไหลออกมาจากช่องคลอด
ท้องแข็งหลอก เป็นอย่างไร ?
ส่วนใหญ่ท้องแข็งหลอกมักเริ่มเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 28-40 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คุณแม่บางรายเข้าใจผิดคิดว่าตนใกล้คลอดแล้ว แต่อาการนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อย เดินเป็นเวลานาน หรือมีภาวะขาดน้ำ
โดยอาการของท้องแข็งหลอก มีลักษณะดังนี้
- รู้สึกแน่นท้องหรือไม่สบายท้องเป็นระยะ
- ส่วนใหญ่ไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย หรือมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยและไม่รุนแรงมากขึ้น
- อาการจะหายไปเมื่อถ่ายปัสสาวะ หรือเปลี่ยนท่าทางการนอนและการนั่ง
วิธีบรรเทาอาการท้องแข็งหลอก
อาการท้องแข็งหลอกส่วนใหญ่ไม่ทำให้รู้สึกปวด แต่อาจส่งผลให้รู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งสามารถบรรเทาอาการได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังต่อไปนี้
- ดื่มน้ำ เพราะอาการท้องแข็งหลอกอาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ
- เปลี่ยนท่าทางการนั่งหรือการนอน และลุกเดินเพื่อเคลื่อนไหวร่างกาย
- ออกกำลังกายอย่างเบา ๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิ
ท้องแข็งที่อาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนด
อาการท้องแข็งที่เกิดขึ้นก่อนสัปดาห์ที่ 37 ของการตั้งครรภ์อาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนดได้ ดังนั้น หากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- แน่นท้องและรู้สึกว่าหน้าท้องแข็งเมื่อสัมผัส
- รู้สึกปวดหรือไม่สบายท้อง
- รู้สึกปวดบริเวณกระดูกเชิงกรานคล้ายถูกกดทับ
- มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือพบมูกเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด
- ถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งจะพบของเหลวใสไหลออกมาจากช่องคลอด
ท้องแข็ง กับท้องอืด ต่างกันอย่างไร ?
หญิงมีครรภ์บางรายอาจรู้สึกสับสนระหว่างอาการท้องแข็งกับท้องอืด เพราะทำให้รู้สึกไม่สบายท้องเช่นเดียวกัน แต่ทั้ง 2 อาการมีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งข้อสังเกตของอาการท้องอืด มีดังนี้
- สัมผัสแล้วไม่รู้สึกว่าหน้าท้องแข็ง
- อาการท้องอืดมักทำให้รู้สึกเสียดท้อง ส่วนท้องแข็งมักทำให้รู้สึกปวดท้องคล้ายปวดประจำเดือน
- อาการมักเกิดขึ้นและหายไปโดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน
- ผายลมแล้วอาการดีขึ้น
นอกจากนั้น การรับประทานอาหารหรือผักตระกูลกะหล่ำปลี และเครื่องดื่มที่มีแก๊สเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมากกว่าปกติ คุณแม่ที่รู้สึกไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหารดังกล่าวก็อาจคาดได้ว่าเป็นอาการท้องอืด
Share:
เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
แม่ท้องต้องรู้ ท้องแข็งแบบไหนไม่ปกติ คอลัมน์... ดูแลสุขภาพ
เมื่อมีอายุครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ขึ้นไป หรือไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ (เดือนที่ 7-9) มดลูกจะเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปกติแล้วจะมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มๆ เมื่อคลำดูก็จะสัมผัสได้ถึงการมีทารกดิ้นอยู่ บางครั้งคุณแม่อาจรู้สึกว่าท้องแข็งหรือรู้สึกตึงหน้าท้องซึ่งเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูกเป็นครั้งคราว แต่ถ้ารู้สึกท้องแข็งนานเป็น 10 นาทีจึงคลายลง และเป็นต่อเนื่อง 4-5 ครั้งเป็นชุดๆ หรือหากท้องแข็งแล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดด้วย ควรรีบไปพบแพทย์
๐
สาเหตุของอาการท้องแข็งในหญิงตั้งครรภ์
แม้อาการท้องแข็งในระหว่างตั้งครรภ์จะไม่ได้เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ทุกคน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้มีอาการท้องแข็งขึ้นไว้ก่อน หากพบว่ามีอาการท้องแข็งในระหว่างตั้งครรภ์ ควรไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ และรักษาครรภ์ให้ปลอดภัยจนถึงวันคลอด โดยปกติแล้วสาเหตุของอาการท้องแข็งของหญิงตั้งครรภ์ที่พบบ่อยคือ
๐ ทารกในครรภ์ดิ้นแรงหรือโก่งตัว
อาการแบบนี้เป็นอาการท้องแข็งที่พบบ่อยที่สุด คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะรู้สึกท้องแข็งแบบ “บางทีแข็ง บางทีนิ่ม” ซึ่งเกิดจากทารกในครรภ์ดิ้นหรือโก่งตัวชนเข้ากับผนังมดลูก จนทำให้มดลูกเกิดการบีบตัว ทำให้อวัยวะต่างๆ ของทารก เช่น ศอก ไหล่ เข่า หัว หรือก้นปรากฏนูนที่หน้าท้อง ถ้าเป็นส่วนหลังกับก้นดันออกจะทำให้รู้สึกว่ามดลูกเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งจะนิ่มกว่า บริเวณที่รู้สึกเป็นรอยนูนเล็กๆ หลายจุดจะเป็นส่วนของมือและเท้า ภาวะแบบนี้มักไม่เป็นอันตราย
เป็นการดิ้นตามปกติของทารกในครรภ์
๐ มดลูกเกิดการบีบรัดตัวขึ้นเองโดยหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้
การบีบตัวของมดลูกที่ไม่พบสาเหตุที่แท้จริงอาจเกิดเพราะมดลูกไม่แข็งแรง มดลูกบีบรัด หรือคุณแม่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
๐ การรับประทานอาหารอิ่มเกินไป
เมื่อรับประทานอาหารมากไปหรือเคี้ยวไม่ละเอียดจนอาหารไม่ย่อยหรือเกิดแก๊สในกระเพาะ อาจทำให้มดลูกบีดรัดตัวเพราะถูกกระตุ้นจากการเบียดของกระเพาะอาหาร ลักษณะท้องจะตึงหรือแน่นท้อง แต่ไม่ได้ท้องแข็งมาก คุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากแล้วควรกินอาหารที่ย่อยง่าย กินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ เคี้ยวให้ละเอียด
ดื่มน้ำมากๆ และควรขับถ่ายเป็นประจำ อย่าปล่อยให้ท้องผูก
๐ อาการท้องแข็งที่ต้องรีบพบแพทย์
หากยังไม่ถึงกำหนดคลอดแต่รู้สึกว่าหน้าท้องที่เคยนิ่มเกิดแข็งขึ้นมาทั่วท้องจนรู้สึกเจ็บ นั่นคือสัญญาณเตือนว่ามดลูกกำลังบีบตัวหดรัด ให้สังเกตดูว่าท้องจะแข็งนานประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง ติดต่อกัน 4-5 ครั้ง เป็นชุดๆ ลักษณะแบนนี้หากเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ท้องแข็งจนรู้สึกแน่น หายใจไม่สะดวกและอาการไม่หายไป
ควรจะรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้มดลูกจะบีบตัวจนปากมดลูกเปิดซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องคลอดก่อนกำหนดได้
๐ ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้ท้องแข็ง
ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ หากปวดปัสสาวะให้เข้าห้องน้ำทันที เพราะการกลั้นปัสสาวะนานๆ เป็นสาเหตุให้เกิดท้องแข็งได้ เนื่องจากมดลูกที่ใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์จะถูกกระเพาะปัสสาวะที่มีน้ำปัสสาวะอยู่มากเบียดแน่นขึ้น
ไม่บิดตัวหรือบิดขี้เกียจ การบิดขี้เกียจหรือบิดตัวเอี้ยวตัวท่าที่ลักษณะคล้ายกัน ทำให้ช่องท้องมีปริมาตรเล็กลง ความดันในมดลูกสูงขึ้น ทำให้ท้องแข็งได้ ไม่กินอิ่มเกินไป การกินอาหารอิ่มมากไป เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมากกว่าปกติ อาหารไม่ย่อย ซึ่งปกติแล้วระบบการย่อยอาหารในหญิงตั้งครรภ์จะทำงานได้ไม่ดีเหมือนขณะไม่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย
การมีเพศสัมพันธ์ในบางท่าอาจกระตุ้นให้มดลูกเกิดการบีบตัวซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์ ไม่ควรลูบท้องบ่อยๆ การลูบท้อง รวมถึงการสัมผัสกับอวัยวะที่ไวต่อการกระตุ้นอย่างบริเวณเต้านม ซึ่งมักถูกสัมผัสในขณะอาบน้ำทำความสะอาดจะส่งผลให้มดลูกบีบตัวได้
พญ.ปวีณา บุตรดีวงศ์
แพทย์ประจำศูนย์ สูติ นรีเวชวิทยา
โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์