ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง มีหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์ต่างๆ กันไป เช่น ยาขับปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะมากขึ้น ยาชะลอการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ยาขยายหลอดเลือดทำให้รูของหลอดเลือดกว้างขึ้น เลือดจึงไหลได้ดีขึ้นและมีแรงดันน้อยลง
จากยากลุ่มต่างๆ นี้ แพทย์จะเลือกยาที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย มีข้อที่ควรทราบ คือ ยาขับปัสสาวะ ทำให้ผู้ที่รับประทานยานั้นเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติเพราะยาขับปัสสาวะมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรเลือดในหลอดเลือดลดลง ความดันโลหิตจึงลดลง ขนาดยาโดยทั่วไปคือรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า แต่ผู้ป่วยบางรายก็จำเป็นต้องรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ในกรณีหลังนี้ให้รับประทานยาหลังอาหารเช้าและเที่ยง ห้ามรับประทานยาหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืน และต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตลอดคืน
ยาลดความดันโลหิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้กันบ่อย คือ ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แองจิโอเทนซินคอนเวอร์ติ้ง (angiotensin converting enzymes) เช่น อีนาลาพริล (enalapril), ไลซิโนพริล (lisinopril), รามิพริล (ramipril), เพอรินโดพริล (perindopril)อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ก่อความรำคาญแก่ผู้ใช้ยา คืออาการไอแห้งๆ ได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด และไม่ใช่อาการแพ้ยา อาการนี้อาจทำให้รู้สึกรำคาญ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการหมั่นจิบน้ำ หรือรับประทานยาอมชนิดที่ทำให้ชุ่มคอ ร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ แต่ในกรณีที่อาการเป็นมากจนรบกวนคุณภาพชีวิต อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยา แต่ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์พิจารณาเปลี่ยนยาให้
ผู้ป่วยบางรายใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเพียงชนิดเดียว ก็ลดความดันโลหิตได้ดี และสามารถควบคุมให้มีค่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แต่ผู้ป่วยบางรายต้องใช้ยา 2 ชนิด หรือมากกว่านั้น ความดันโลหิตจึงจะลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในกรณีนี้ผู้ป่วยมักจะได้รับยามื้อละหลายเม็ด อย่ารู้สึกเบื่อเสียก่อน และอย่าหยุดยาเพราะเบื่อที่จะรับประทานยาทุกวัน หรือ เพราะคิดว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ การหยุดยาจะเป็นผลเสียเพราะทำให้ความดันโลหิตกลับสูงขึ้นมาอีก และอาจสูงมากจนหลอดเลือดในสมองแตก เกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ตามมาได้
ข้อสำคัญในการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงให้ได้ผลดี ก็คือ จะต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันทุกวันและรับประทานยาตรงเวลา หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้เมื่อใกล้จะรับประทานยามื้อต่อไป ให้รับประทานยาของมื้อนั้นก็พอ และห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า มิฉะนั้นความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างมาก เกิดอาการหน้ามืด ล้มลง หมดสติ เป็นอันตรายได้
ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยทั่วไปเป็นยาเม็ดที่ปลดปล่อยตัวยาแบบปกติ ซึ่งรับประทานวันละครั้งเดียว นอกจากนี้ก็เป็นยาเม็ดที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ค่อยๆ ปลดปล่อยตัวยาออกมา เพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน และลดจำนวนครั้งของการรับประทานยาได้ เหลือเพียงรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง ยาเม็ดที่ออกแบบเป็นพิเศษนี้มักมีขนาดโตกว่าปกติ ทำให้กลืนยาได้ลำบาก แต่แม้ว่ายาจะเม็ดใหญ่ ก็ห้ามบด เคี้ยว หรือหักเม็ด เพราะจะทำให้รูปแบบยาที่ออกแบบเป็นพิเศษนั้นเสียไป ที่อันตรายก็คือ หากเคี้ยวหรือบดยาแล้วกลืนยาลงไป ก็จะได้ตัวยาเข้าร่างกายในปริมาณสูงมากภายในการกลืนยาครั้งเดียว แทนที่ตัวยาจะค่อยๆ ออกมาทีละน้อย ฤทธิ์ยาก็จะสูงมากและความดันโลหิตจะตกลงอย่างมาก จนอาจทำให้หน้ามืด ล้มลงและหมดสติได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวังภาวะความดันโลหิตตกเนื่องจากเปลี่ยนอิริยาบถอย่างฉับพลัน ดังนั้นเวลาจะลุกจากเก้าอี้หรือลุกจากเตียง ก็ต้องลุกขึ้นอย่างช้าๆ มิฉะนั้นจะหน้ามืด เป็นลม ล้มลงได้
นอกจากการใช้ยาแล้ว ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องลดการรับประทานอาหารเค็ม นั่นคือปริมาณเกลือต้องไม่เกินวันละ 1ช้อนชา หรือน้ำปลาไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนชา หากอ้วนหรือมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ก็ต้องลดความอ้วนซึ่งหากต้องการใช้วิธีออกกำลังกาย ควรทำแต่พอประมาณให้มีเหงื่อออก ไม่หักโหม ออกกำลังกายประมาณครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำชา กาแฟ หยุดดื่มเหล้า หยุดสูบบุหรี่รวมทั้งทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเท่านี้จะช่วยให้การรักษาโรคความดันโลหิตสูงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมักจะเบื่อการที่รับประทานยาต่อเนื่อง จึงมักจะมีคำถามว่ารักษาหายขาดหรือไม่ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุว่าความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร มีเพียงสมมติฐานว่าเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม พฤติกรรม มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ โรคความดันที่ทราบสาเหตุสามารถรักาาหายขาดได้หากสาเหตุนั้นแก้ไขได้ ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ซื้อยารับประทานเองได้หรือเปล่า
ไปกี่ครั้งแพทย์ก็จ่ายยาเหมือนเดิม งั้นไม่ต้องเสียเวลารอแพทย์ รอยา นำตัวอย่างยาไปซื้อร้านขายยาดีกว่า มักจะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ
ดังนั้นไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
ไม่ปวดศีรษะแล้วหยุดยาลดความดันดีกว่า
หลายท่านไปรักษาโรคความดันโลหิตสูงเพราะปวดศีรษะ ตอนนี้อาการปวดศีรษะไม่มีแล้วดังนั้นความดันหายแล้วจึงไม่ได้รับประทานยา เป็นความคิดที่ผิดเพราะว่าผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงบางคนไม่มีอาการแต่บางคนก็มีอาการปวดศีรษะ การที่จะมีอาการปวดศีรษะขึ้นกับระดับความดันโลหิต อัตราการเพิ่มของความดัน และการปรับตัวของหลอดเลือดสมอง หากหลอดเลือดสมองมีการปรับตัวดีบางครั้งความดันสูงมากก็ไม่ปวดศีรษะ ดังนั้นไม่ควรจะใช้อาการปวดศีรษะมาบอกว่าความดันโลหิตไม่สูง
กินยาลดความดันหลายชนิดกลัวยาจะคั่งลดยาความดันดีไหม
การจะใช้ยาลดความดันโลหิตจะขึ้นกับระดับความดันโลหิตที่ต้องการและโรคร่วม สำหรับผู้ป่วยบางท่านความดันโลหิตของท่านอาจจะสูงมาก การให้ยายาชนิดเดียวจะไม่สามารถคุมความดันได้จึงต้องใช้ยาหลายตัว หากการทำงานของไตท่านปกติระดับยาในเลือดจะคงทีไม่มีการคั่งนอกเสียจากไตท่านทำงานน้อยลง หรือท่านรับประทานยาอื่น หรือท่านมีโรคอื่นร่วมเช่นท้องเสีย เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะทำให้ยาเกินขนาด
เป็นโรคความดันนี่จะเป็นโรคไตหรือไม่
คนที่เป็นความดันโลหิตสูงนานๆและคุมไม่ได้จะมีเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกาย การทำงานของไตก็จะเสื่อมลงอาจจะใช้เวลา 10 ปี ยกเว้นในบางรายที่ความดันโลหิตสูงมากอาจจะเกิดไตวายเฉียบพลันได้
กินยานานๆจะเป็นโรคไตหรือไม่
คนที่เป็นความดันโลหิตสูงจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตหากไม่รักาาก็อาจจะเกิดไตวายได้ ยารักาาความดันส่วนใหญ่มักจะไม่ทำให้ไตเสื่อม แต่ก็มียาบางชนิดที่ต้องติดตามใกล้ชิดเพราะอาจจะทำให้ไตเสื่อมมากขึ้นได้ นอกจากนั้นการรับประทานยาบางชนิดจะทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น