การสร้างความเชื่อมั่นในองค์กรสำคัญมากแค่ไหน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความเชื่อมั่นไม่ว่าจะเป็นของหน่วยงาน องค์กร นั้นเป็นส่วนสำคัญต่อการปะสบผลสำเร็จของธุรกิจไม่ว่าจะสมัยไหน ความเชื่อมั่นนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความน่าเชื่อถือ ความน่าเชื่อถือทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้ในโลกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใดๆ จะเล็กหรือใหญ่ หากไม่มีความน่าเชื่อถือเกิดขึ้นแล้ว ความเชื่อมั่นของลูกค้าย่อมจะไม่พึงบังเกิด จะเห็นได้ว่า ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นนั้นสำคัญกับธุรกิจทุกประเภท ความน่าเชื่อถือนั้นไม่ได้มีความสำคัญเพียงแต่ชื่อเสียง หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพเท่านั้น องค์ประกอบในภาพรวม ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ขององค์กร สภาพแวดล้อม ตัวของผลิตภัณฑ์ แม้กระทั่งพนักงานขององค์กร ล้วนแล้วแต่สำคัญ ต่อการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า ต่อองค์กร ความน่าเชื่อถือที่ก่อให้เกิความเชื่อมั่นนี้ สามารถสร้างได้ อาจจะพออนุมานได้ดังนี้
ตระหนักถึงความสำคัญ
การตระหนักถึงความสำคัญนี้ คือการให้ค่า ให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ สภาพแวดล้อม พนักงาน เพราะทุกองค์ประกอบคือกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจก้าวหน้าได้
การเพิ่มแรงจูงใจ
ในกรณีนี้สามารถมุ่งเน้นได้ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ สภาพแวดล้อมและพนักงาน สังคมปัจจุบันนี้แรงจูงใจเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งใด แรงจูงใจของผลิตภัณฑ์ อาจจะลดราคาหรือเพิ่มข้อเสนอพิเศษเพื่อให้มียอดขายมากขึ้น การให้การบริการหลังการขาย เป็นต้น แรงจูงใจต่อสภาพแวดล้อม การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในองค์กร สามารถทำให้ผู้ร่วมงานมีความสุข เมื่อพนักงานมีความสุข แรงจูงใจในการทำงานให้เป็นไปตามเป้าก็จะสำเร็จได้โดยง่าย และการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน อาจจะเพิ่มสวัสดิการเล็กๆน้อยๆ เช่นพนักงานที่ไม่เคยขาด ลา มาสายก็มีรางวัลตอบแทนให้ในตอนปิดงบประจำปี การใส่ใจพนักงานในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้นอกจากจะเพิ่มกำลังใจในการทำงานให้กับพนักงานแล้ว องค์กรก็จะมีสภาพแลดล้อมที่ดีขึ้นในทุกๆด้าน
การให้อำนาจการตัดสินใจของผู้ใต้บังคับบัญชา
การให้อำนาจการตัดสินใจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา นอกจากจะแบ่งภาระของหัวหน้างานแล้ว ยังสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตนเองก็มีความสามารถเช่นกัน
การเพิ่มทักษะในสายงาน
งานบางประเภทอาจจะทำซ้ำๆเป็นตาราง การเพิ่มบทบาทและหน้าที่เพิ่มให้กับพนักงานนั้น นอกจากจะได้ฝึกฝนตัวเองแล้ว ยังสามารถพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานไปในตัวได้ด้วย
การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างความเชื่อถือและความเชื่อมั่นนั้น คือความสัมพันธ์ของบุคคลากรในองค์กร แม้นหากว่าผลิตภัณฑ์เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ สภาพแวดล้อมดีไม่มีที่ติ ทว่าพนักงานในองค์กรต่างไปคนละทิศละทาง ทำงานตามแต่หน้าที่ของตน ไม่มีความเอื้ออารีต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่มีความเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมงานหรือองค์กร สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีได้เช่นกัน การเห็นความสำคัญของคนในองค์กรไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใด แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานฝ่ายผลิต หรือผู้บริหาร ล้วนแล้วแต่สำคัญด้วยกันทั้งสิ้น ฟันเฟืองทุกชิ้นส่วนทำให้เครื่องจักรแล่นไปได้ ลำพังแต่เพียงบางส่วนแม้เครื่องจักรจะทำงานได้ แต่ผลผลิตที่ออกมาอาจจะไม่สมบูรณ์ฉันใด พนักงานทุกคน ทุกตำแหน่งก็มีความสำคัญต่อองค์กรฉันนั้น
ถอดความจาก บทความของ Mr. Paul H. Robbins
Related Posts
ก่อนการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส (COVID-19) อาจมีผู้เดินทางส่วนน้อยที่คิดแล้วคิดอีกกับการนอนบนเตียงที่มีลูกค้าหลายร้อยคนเคยนอนมาก่อนแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องสัมผัสและผู้คนที่ต้องพบเจอนั้นกลับกลายเป็นเรื่องกังวลอันดับต้น ๆ ของผู้เดินทาง
ตอนนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความมั่นใจและแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าจะพบมาตรการด้านสุขภาพและความสะอาดใดบ้าง เพื่อให้สามารถดึงดูดดีมานด์ที่มีอยู่ได้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลลง เราจึงแสดงมาตรการที่ที่พักของท่านใช้ให้ลูกค้าเห็นอย่างชัดเจนในหน้าข้อมูลที่พัก และเปิดให้ใช้เกณฑ์ค้นหาด้าน “สุขภาพและความปลอดภัย” เพื่อช่วยให้ผู้จองค้นเจอที่พักของท่าน หากเป้าหมายของท่านคือทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าการเข้าพักนั้นปลอดภัย สะอาด และสบายเหมือนอยู่บ้าน
เป้าหมายของเราก็คือช่วยให้ท่านแสดงมาตรการทั้งหมดแก่ลูกค้าได้อย่างง่ายดาย โดยเป็นมาตรที่ดำเนินการอยู่เพื่อรับมือการแพร่ระบาด เพื่อช่วยให้ท่านสื่อสารออกมาได้
เราจึงสร้างเช็คลิสต์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพขึ้นมาในเอกซ์ทราเน็ต โดยเช็คลิสต์นี้จะไฮไลท์ข้อมูลสิ่งที่ท่านดำเนินการเพื่อให้ผู้เข้าพักทุกคนปลอดภัย:สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าด้วยมาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัย
แสดงมาตรการซึ่งที่พักใช้อยู่
1.สร้างแบรนด์ให้ดูดี – ในที่นี้หมายถึงการออกแบบ แบรนด์ดีไซน์ รูปลักษณ์ต่าง ๆ ของธุรกิจ ซึ่งต้องเริ่มต้นตั้งแต่ “แนวคิดของธุรกิจ” หรือ Business concept ว่ากลุ่มลูกค้าของเราคือใคร สินค้าหรือบริการของเรา แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ตรงไหน สิ่งที่เรานำเสนอให้ลูกค้า แตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งหรือสินค้าทดแทนอย่างไร ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะละเลยตรงจุดนี้ เพราะมีความคิดตั้งต้นว่า เราผลิตสินค้าได้ดี จึงมักติดกับดักของการทำธุรกิจที่จะต้องไปหาตลาดมารองรับภายหลัง แต่หากเราย้อนกลับไปตั้งต้นที่ “ลูกค้า” ธุรกิจของเราจะมีความชัดเจน เพราะคำว่าลูกค้านี้เอง จะเป็นตัวตั้งต้นให้กับแบรนด์ดีไซน์ ที่มีลุกค้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่เรา (ดูเพิ่มเติมเรื่อง Design thinking, business concept และ brand design)
2.มีตัวตนบนโลกออนไลน์ – ในยุคนี้ ใครไม่มีสื่อดิจิตอลในมือ ต้องถือว่าไม่มีตัวตน เพราะโลกทั้งใบมันออนไลน์กันหมดแล้ว ผู้บริโภคปัจจุบัน สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ต้องมั่นใจได้ว่า เมื่อทำการสืบค้นแล้วต้องเจอธุรกิจของเรา สินทรัพย์ทางดิจิตอล หรือ Digital Asset ที่ว่านี้ ได้แก่ เว็บไซต์ หน้าเพจในเฟซบุ๊ค ไลน์แอด หรือไลน์ ออฟฟิเชียล อาจรววมไปถึงสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ เช่น กูเกิลพลัส ลิงท์อิน ฯลฯ (ดูเพิ่มเติมเรื่อง Online marketing)
3.จับต้องได้ในโลกความจริง – ถึงแม้การค้าขายออนไลน์จะสร้างรายได้ให้พ่อค้าแม่ค้าหลายคนได้อย่างมหาศาล แต่อย่าลืมไปว่าสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่ได้เป็นของเราเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานหรือไม่ การออกตลาด ออกงานแสดงสินค้าเพื่อพบปะผู้คน พบเจอลูกค้าตัวเป็น ๆ เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สร้างประสบการณ์ ได้สัมผัสสินค้า ได้ดู ได้ดม ได้ฟัง ได้ชิม ได้ใช้ เกิดการพูดคุย สนทนา สอบถาม ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นการตอกย้ำแบรนด์และความมีตัวตนของธุรกิจได้เป็นอย่างดี (ดูเพิ่มเติมเรื่อง กลยุทธ์การออกบูธ และ O2O marketing)
4.สร้างภาพลักษณ์ผู้บริหาร – นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ ภาพลักษณ์ของ “คน” สามารถสร้าง และสื่อสารให้ชัดเจนได้ตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก อิบายให้ชัดคือ ภาพลักษณ์ หรือ Image สะท้อนออกมาจากมุมมอง วิธีคิด วิสัยทัศน์ ผ่านคำพูด การกระทำ ไปจนถึงการแต่งกาย บุคลิกภาพ กิริยามารยาท ดังนั้น เจ้าของธุรกิจจึงเป็นเหมือนกระจกเงาที่ช่วยสะท้อนแบรนด์ของธุรกิจได้เป็นอย่างดี (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง Personal branding)
5.สร้างมาตรฐานให้สินค้า – แน่นอนผู้ประกอบการทุกคนก็ย่อมบอกว่า สินค้าของเราดี สินค้าเรามีคุณภาพ มีมาตรฐาน แต่ยุคนี้ เป็นยุคที่พูดอะไรกันลอย ๆ ไม่ได้แล้ว การจะบอกว่าสินค้าเรามีมาตรฐานนั้น แปลว่า ต้องมีมาตรฐานรองรับจริง ๆ ทั้งมาตรฐานคุณภาพ เช่น ISO TQA มาตรฐานแฟรนไชส์ TQFM, QFM มาตรฐานสุขภาพ เช่น HA มาตรฐานด้านการผลิต เช่น GAP, GMP หรือแม้แต่มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น มผช. เป็นต้น ซึ่งมาตรฐานหรือตรารับรองต่าง ๆ เหล่านี้ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ ความใส่ใจของเจ้าของธุรกิจ และนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้เป็นอย่างดี (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง แฟรนไชส์คุณภาพ TQFM)
6.อบรมสัมมนากับภาครัฐ – เพราะการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ หรือผ่านการอบรม สัมมนา บ่มเพาะจากโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการนั้น นอกจากจะทำให้เรามีความรู้ในการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อพบเห็นโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการต่าง ๆ จงอย่าลังเลที่จะเข้าร่วม เพราะหลาย ๆ ครั้งนอกจากจะไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังได้สร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อผู้ขาย ผู้ค้าวัตถุดิบ ได้เชิญให้เข้าร่วมออกงานแสดงสินค้า กิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง กลยุทธ์การออกบูธ)
7.พัฒนาพนักงาน – เพราะพนักงานก็เป็นภาพสะท้อนของธุรกิจได้ไม่ต่างจากเจ้าของกิจการ โดยเฉพาะพนักงานที่ต้องพบเจอหรือให้บริการกับลูกค้า การพัฒนาพนักงานหรือจะเรียกให้หรูว่า Human Resource Development (HRD) นั้น ต้องทำตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการปฐมนิเทศให้พนักงานใหม่ได้ซึมซับในวิสัยทัศน์ และวัฒนธรรมของธุรกิจ เพื่อพวกเขารู้สึกว่า กำลังเดินอยู่บนเป้าหมายเดียวกันกับองค์กร อบรมวีธีการทำงาน และที่สำคัญ คือ ความเป็นผู้แทนหรือ Brand Ambassador ขององค์กร พนักงานที่รักองค์กร และเคร่งครัดกับแบรนด์ขององค์กร จะเป็นเหมือนสื่อโฆษณาเคลื่อนที่ ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้องค์กรเป็นอย่างดี แต่ในทางตรงข้าม หากพนักงานไม่เคยได้รับการสื่อสารหรือบอกกล่าวถึงวิธีปฏิบัติที่เรามุ่งหวัง พนักงานก็อาจจะทำลายล้างภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจเราได้เช่นกัน
8.พูดผ่านสื่อมวลชน – เพราะสื่อมวลชน คือสถาบันหนึ่งทางสังคมที่ตั้งอยู่บนหลักคิดของความเป็นกลาง เป็นผู้ถ่ายทอดข้อเท็จจริงผ่านพื้นที่ของการสื่อสารที่ปราศจากการครอบงำด้วยอำนาจเงินตราหรืออิทธิพลใด ๆ เนื้อที่ของสื่อมวลชนในที่นี้ จึงหมายถึงพื้นที่ข่าว หรือบทความ ที่ไม่ใช่พื้นที่เพื่อการโฆษณา มีเนื้อหาสาระที่ผ่านการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการ ซึ่งแน่นอนว่า การจะได้รับการเผยแพร่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องไม่ใช่เรื่องของการ “ขายของ” แน่นอน (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง Media relations)
9.พูดผ่านบุคคลที่สาม – อย่าพยายามพูดจาโฆษณาตัวเองว่าเราดีอย่างไร แต่ควรเปิดช่อง หรือหาโอกาสให้บุคคลอื่นได้พูดแทนเรา ในเรื่อง แง่มุม หรือประสบการณ์ที่ดีต่าง ๆ ที่พวกเขาได้รับ การพูดเองอาจกลายเป็นการพูดจาโอ้อวด แต่หากเรื่องราวเดียวกันถูกพูดผ่านคนอื่น จะทำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
10.สื่อสารต่อเนื่อง – เพราะ seeing is believing ยิ่งพบเจอบ่อย ได้เห็นบ่อย จะนำไปสู่ความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือในที่สุด กิจการจึงต้องอาศัยช่องทางต่าง ๆ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ในการสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด เพราะเมื่อใดที่เราหยุด ลูกค้า หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะค่อย ๆ ลืมเราไป และหากหยุดไปนาน ๆ ภาพลักษณ์ดี ๆ ที่เคยสร้างไว้ก็จะค่อย ๆ จางหายและถูกหลงลืมไปในที่สุด
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า แล้ว “ความน่าเชื่อถือ” ที่พูดถึง จะสามารถวัดได้อย่างไร จะสามารถวัดหรือจับต้องได้เหมือนยอดขายหรือไม่ ความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ว่า ความน่าเชื่อถือ มันไม่มีมาตรวัดในทางคณิตศาสตร์ จึงทำให้หลายคนละเลยและมองข้ามไป แต่เจ้าความน่าเชื่อถือนี่แหละ กำลังทำงานอย่างลับ ๆ อยู่เบื้องหลัง กำลังก่อตัวเป็นวัคซีนเพื่อปกป้องกิจการในยามที่ต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้าย เป็นตัวที่คอยส่งเสริมการขายและความเชื่อมั่นของลูกค้าอยู่เบื้องหลัง
ชื่อเสียง ใช้เวลาสั่งสมหลายปี สร้างไว้เสียแต่วันนี้ เพื่อการเติบโตในอีกสิบ ๆ ปีข้างหน้า
สงวนลิขสิทธิ์ 2561 – วาทิต ประสมทรัพย์