เครื่องพ่นสีไฟฟ้า
airless sprayer
เครื่องพ่นสี
เครื่องพ่นสี airless
เครื่องพ่นสีแรงดันสูง
อุปกรณ์มาตรฐานในกล่องเครื่องพ่นสี TWP4.0
1. ตัวเครื่องพ่นสี TWP4.0
2. สายพ่นสียาว 15 เมตร
3. ปืนพ่นสีอย่างดี
4. สเปย์ทิป No. 521 สามารถแลกเปลี่ยนเป็นขนาดอื่นได้
6. สายดูดสี
7.ตัวต่อขยายความยาวปืนพ่น 45 ซม
จุดเด่นของเครื่องพ่นสี TWP4.0
-Induction motor มอเตอร์ประสิทธิภาพสูงและไออะแฟลมขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับสีที่มีความหนืดสูงได้
-เป็นเครื่องพ่นสีไฟฟ้าระดับมืออาชีพ สำหรับงานพ่นซ่อมสี ได้หลากหลายทั้ง varnish, colorant, latex paint, emulsion, primers พ่นเรซิน กันซึม ปกปิดรอยแตกร้าว
-พ่นสีได้อย่างประหยัด เป็นละอองฝอยอย่างเล็ก เมื่อใช้ร่วมกับปืนพ่นสี TWtools
-ง่ายต่อการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงด้วยตัวเอง มีอะไหล่ขายให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเองได้
-ขนาดกระทัดรัด เบา เคลื่อนย้ายง่ายไปยังหน้างานก่อสร้าง มีล้อช่วยให้ง่ายในการเคลื่อนย้าย
เครื่องพ่นสีแอร์เลส TWP4.0
4L/min Max spray Tip 0.025"
รับประกันสินค้า 6 เดือน
การใช้กาพ่นสีแทนการใช้แปรงทาสีหรือลูกกลิ้งมีประโยชน์มากมาย กาพ่นสีทำให้การทำงานของคุณ เร็วขึ้นเนื่องจากสามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย นอกจากนี้ยังสามารถปกปิดพื้นผิวที่ขรุขระหรือไม่เรียบ และเข้าไปในบริเวณที่เข้าถึงได้ยาก เช่น มุมต่างๆ โดยทิ้งพื้นผิวที่ดูเหมือนทำโดยมืออาชีพ หากใช้อย่างถูกต้อง กาพ่นสีจะเสียสีน้อยลง ประหยัดเงิน เมื่อคุณทาสีเสร็จแล้วกาพ่นสีจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่าแปรงหรือลูกกลิ้ง และคุณไม่จำเป็นต้องล้างสิ่งต่างๆ เช่น ถาดลูกกลิ้งหรือเครื่องกวนสีนั่นเอง
ด้วยกาพ่นสีที่มีอยู่ไม่กี่แบบในท้องตลาด สิ่งสำคัญคือต้องเลือกที่เหมาะกับคุณและงานของคุณ กาพ่นสีทั่วไปมีประเภทในการงานงาน มีแบบ สุญญากาศ และแรงดันสูง แรงดันต่ำ (HVLP) เครื่องพ่นสีไร้อากาศมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ดึงสีขึ้นมาและดันออกจากหัวฉีดที่แรงดันสูง ในขณะที่เครื่องพ่น HVLP จะพ่นสีภายใต้แรงดันต่ำเพื่อสร้างสเปรย์ที่ละเอียดมากออกมา
กาพ่นสีสุญญากาศ -มีหลากหลายรุ่นตั้งแต่เครื่องขนาดเล็กแบบใช้มือถือ ไปจนถึงรุ่นกึ่งมืออาชีพสำหรับงานขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับพื้นผิวภายนอกที่มีขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ เช่น รั้ว ไม้เลื้อย เพิง กระดานสภาพอากาศ ศาลา ประตูโรงรถ ระแนง และผนัง ใช้กับสีน้ำ (อะคริลิค) และสีน้ำมัน ไพรเมอร์ ทับหน้า (เคลือบฟัน) สีอลูมิเนียม สารกันบูดไม้ ขัดเงา น้ำมันและคราบ
กาพ่นสีลม - เครื่องพ่นลมแบบใช้ลมใช้ลมอัดในการพ่นสีกับพื้นผิว ทำให้ได้พื้นผิวที่เรียบเนียนและสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับทาสีเฟอร์นิเจอร์และตู้ อย่างไรก็ตาม เครื่องพ่นลมอัดนั้นเลอะเทอะและปล่อยสเปรย์เกินออกมามากกว่ารุ่นอื่นๆ พวกเขายังใช้สีมากที่สุด แต่เครื่องพ่นสารเคมีนั้นมีราคาน้อยกว่าเครื่องพ่นสุญญากาศหรือ HVLP หากคุณมีเครื่องอัดอากาศอยู่แล้ว คุณเพียงแค่ต้องมีท่อที่ดีและปืนพ่นสี
กาพ่น HVLP - เครื่องพ่น HVLP นำหยดสีไปบนอากาศในปริมาณที่คงที่แต่มีปริมาณมาก สีจะเคลื่อนที่ช้าลงเพื่อให้มีหยดน้ำเกาะติดกับพื้นผิวมากขึ้น ทำให้เกิดพื้นผิวที่เรียบเนียน เครื่องพ่นสารเคมีเหล่านี้เสียสีน้อยกว่า แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีราคาสูงกว่าเครื่องพ่นอื่นๆ เหมาะสำหรับใช้ในโครงการตกแต่งภายใน เช่น ตู้พ่นสี แผ่นปิด แม่พิมพ์ และประตู หลีกเลี่ยงการใช้สีที่หนากว่า (แลคเกอร์หรือวาร์นิช) เว้นแต่ว่าคุณจะลงทุนในเครื่องพ่นสารเคมีเชิงพาณิชย์ราคาแพง
ส่วนใหญ่แล้วมือสมัครเล่นอย่างผมมือทำชิ้นงานเสร็จแล้วก็มักจะใช้วิธีการทำสีด้วยแปรงเพราะจำนวนงานมันน้อย แค่ชิ้นสองชิ้น จะใช้วิธีการพ่นก็เปลือง และต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือไอ้ตอนล้างอุปกรณ์การพ่นสีนี่ละครับยุ่งยากไปซักนิด ยิ่งถ้าใช้สีน้ำมัน หรือสีแห้งช้าละก็เหนื่อยหน่อยกับชิ้นงานแค่ชิ้นเดียว
แต่ถ้าเราจับงานไม้และชอบมันเข้าแล้ว การพ่นสีจึงเป็นเรื่องจำเป็นเสียแล้ว ประมาณว่าไม่รู้ไม่ได้แล้ว หรือจะรู้แบบงูงูปลาปลา ก็คงไม่ดีนัก งานนี้ผมจึงต้องทำการศึกษาหาความรู้มันสักหน่อย จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยลองพ่นสีฝากระโปรงรถเอง และเคยเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างนิดหน่อย และคิดว่าหลักการน่าจะเหมือนกัน จึงกลับไปเอาตำราเก่า และรวบรวมจากเรื่องราวต่างๆและตำราต่างๆที่พอมี รวมถึงเรื่องราวที่พวกพี่ๆมืออาชีพทั้งหลายพูดคุย แชร์กันในเวปนี้มาประติดประต่อกัน ตามแต่จะพอเข้าใจได้ ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดหรือการเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ ก็ขอให้พี่ๆมืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น ที่มีความรู้ทั้งหลายคอยมาชี้แนะ และติเตียนได้น่ะครับ
พอดีว่าจะต้องพ่นสีบานประตูและหน้าต่าง และคิดว่าจะเอาสีพ่นอุตสาหกรรมมาพ่นซะกะหน่อย เนื่องจากมันแห้งเร็วและน่าจะทำงานสีได้เร็วกว่าเลยจำเป็นต้องศึกษาหลักการและวิธีการพ่นกันซักหน่อย ตามประสามือสมัครเล่น ก่อนลงมือจริง
และอีกอย่างนึง ผมก็ลองดูกระทู้เก่าๆ กับข้อมูลที่พอจะหาได้มารวบรวมไว้ตรงกระทู้นี้จะได้หาง่ายนิดนึง และเพื่อว่ามือสมัครเล่นท่านใดจะได้ความรู้ไปด้วยและที่สำคัญเผื่อว่ามืออาชีพในที่นี้หลายๆท่านจะได้เพิ่มเติมเสริมความรู้ให้อีกครับ
ข้อมูลอ้างอิงและความรู้หลายอย่างได้จาก หนังสือเคาะพ่นสีรถยนต์ของอาจารย์พงษ์ศักดิ์ บุญธรรมกุล, คู่มือช่างไม้ในบ้าน(ทำสีให้เครื่องเรือน)ของอาจารย์ศิระ จันทร์สวาสดิ์และพวก, คุณเอ๋เพาะช่าง คุณเดชา คุณดมแต่ฝุ่น คุณ Jack และอีกหลายๆท่านที่แลกเปลียนความคิดเห็นเท่าที่ผมรวบรวมได้ครับ
ค่อยๆมาเรียนรู้พร้อมๆกันไปกับผมเลยนะครับ
เริ่มเรื่องกันด้วย
เครื่องมือที่ไช้ในการพ่นสี
1.ปั้มลม(ขนาด50 ลิตรขึ้นไป) Air Compressor
2.ตัวปรับแรงดันลมและดักน้ำ Air Control Unit
3.ปินพ่นสี Spay Gun
1. ปั้มลม มีคนถามกันมากว่า ควรใช้ปั้มลมแบบไหนในการพ่นสีถึงจะพอ เท่าที่ทราบคือ มันอยู่ที่การใช้งานของแต่ละท่าน
-ถ้าทำงาน DIY แบบผม เรื่อยๆ ไม่รีบร้อนและงบประมาณพอดีพอดี ก็ต้อง ปั้มลมโรตารี่ ขนาด 50 ลิตร ซึ่งเพียงพอต่องานน้อยชิ้น เพราะมันปั้มลมได้เร็ว เช่น ตู้ หรือชั้นวางของ หรือถ้ามากชิ้นหน่อยก็ยังไหว แต่เราต้องพักเครื่องให้มัน มิเช่นนั้นเครื่องทำงานหนัก (ก็บอกแล้วว่าเหมาะสำหรับงานเรื่อยๆใช้งานไม่หนักมาก) สำหรับปั้มลมแบบสายพาน อาจจะปั้มลมได้ช้ากว่า แต่ก็พอไหวราคาแพงกว่าหน่อยขอแนะนำว่าควรเป็น 90 ลิตร จะเหมาะกว่า ต่อด้วยปั้มลม oil free ของ puma ยังไงเสียก็ต้อง ใช้อย่างน้อยเป็น รุ่น os 50 ถึงพอจะพ่นสีได้แต่ผมใช้แล้วไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่เพราะปั้มลมช้า แม้มันจะเงียบดีแต่เวลามันตัดลมมีเสียงดังฟี้ ซึ่งจริงๆก็ดังทุกรุ่นเวลามันตัด แต่เพราะตอนมันปั้มลมมันเงียบไงพอมันตัดแล้วตกใจประจำเลยกว่าจะชินกับมัน
สรุปครับ งานDIY, งานอดิเรก,งานพ่นเล็กน้อย ราคาประหยัด ปั้มโรตารี่ ถ้าชอบเงียบมีตังค์หน่อย ก็ puma os 50 ชอบทนมีตังค์หน่อยใจเย็นก็ ปั้มสายพาน 50 หรือ 60 ลิตร
-ถ้าเริ่มจะงานเยอะแล้ว ทำทีละมากๆ งานพ่นสีต้องใช้ปั้มขนาด 90 หรือ 160 ลิตร แล้วครับ จะชอบ oil free เสียงเงียบหรือสายพายจอมทนก็ตามชอบ หรือไม่ก็ มีถังพ่นสีโดยเฉพาะไปเลย งานนี้มืออาชีพรู้ดีอยู่แล้วมิกล้าแนะนำ
2.ตัวดักน้ำมีที่ปรับแรงดันลม อันนี้สำคัญมากต้องมีเพราะมิเช่นนั้นงานของท่านอาจเป็นฝ้าได้ ต้องหาครีมมาทามาขัดกันมันละท่าน ส่วนใหญ่ที่ตั้งแรงดันลมกันก็ประมาณ 4 บาร์ (60 psi) หรือ ปืนพ่นสีบางตัวดีมากใช้ลมน้อยแค่ 2 บาร์(25-30 psi) ก็ใช้ได้แล้ว และเรื่องสายลมที่ต่อออกจากตัวดักน้ำนั้นไม่ควรยาวมากเพราะอาจเกิดละอองน้ำในสายลมได้ถ้าสายลมยาวมากเนื่องจากอุณหภูมิภายนอกไม่แน่นอนอาจมีความชื้นในอากาศสุงหรืออากาศเย็นเกิดควบแน่นในสายลมก็เป็นได้ขอให้ท่านๆพิจารณาเรื่องนี้ด้วย และอีกอย่างคือสายยาวมากๆระวังสะดุดล้ม สายพันไม่รู้ด้วย
3.ปืนพ่นสี เป็นหนังเรื่องยาวขอกล่าวตอนต่อไป
3. ปืนพ่นสี ที่นิยมใช้กันมีห้าแบบ
3.1แบบไหลลง(Gravity Feed Type)
3.2แบบดูด(Suction Feed Type)
3.3แบบอัด(Air Compression Type)
3.4แบบลมไหลผ่านตลอด/ไม่ไหลผ่านตลอด (Bleeder and Non-Bleeder Type)
3.5แบบพ่นสีล้วน(Airless Spray Type)
เห็นแล้วอึ้งเยอะนะนี่ เอาแบบที่ผมคนเดินดินกินข้าวแกงมีปัญญาใช้ดีกว่าครับ คือ แบบไหลลงกับแบบดูด เห็นไม๊เหลือสองแบบแล้ว คราวนี้เลือกใหม่ งานผมมันงานน้อยแน้นประหยัดขอแบบไหลลง เพราะ
-มันสามารถพ่นได้หลายท่า มุมเงยมุมตะแคงได้หมดโดยปรับกาตามองศาที่เราจะพ่น
-มันประหยัดสี เพราะ สีไหลลงโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกทำให้ใช้สีได้หมดจนหยดสุดท้าย ไม่เหมือนแบบดูดมันจะเหลือสีอยู่ก้นกา ซึ่งการทำงานของปืนพ่นสีแบบดูดและแบบไหลลงจะเหมือนกันมาก จะต่างกันตรงกาใส่สีที่แบบดูดจะใส่สีได้เยอะกว่าตามขนาดกาที่ใหญ่
เมื่อเลือกชนิดกาแล้ว ต่อมาก็ต้องเลือกขนาดของรูพ่นกัน
-ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของรูพ่นสีที่มีส่วนใหญ่จะมีขนาด 0.8-3.0 มม.แน่นอนการใช้งานย่อมแตกต่างกัน งานละเอียดจุดเล็กๆก็มักจะใช้กันที่ 0.8-1.3 มม. งานที่ ใช้ละเอียดปานกลางหรืองานทั่วๆไป จะใช้กันที่ 1.3-1.8 มม. และงานพ่นสีที่มีความเข้มข้นสูงก็จะใช้กันที่ประมาณ 2-2.5 มม. แล้วเราจะใช้ขนาดไหนดีละ อันนี้อยู่ที่งานของท่านล่ะ งานของผมขอเน้นว่าเป็นงานDIY ชนิดทำคนเดียว ผมเลือกขนาดรูพ่นที่ 1.5 มม.เพราะคิดว่ามันกลางๆที่สุดแล้ว พ่นจุดแคบก็พอได้ พ่นพื้นที่กว้างก็ใช้ได้อยู่ แต่ตอนนี้กำลังจะซื้ออีกขนาดคือ 1.8 มม.เิพิ่มอีก ว่าจะเอาไว้พ่นสีรองพื้น หรือสีพื้นบริเวณกว้างหน่อย และด้วยเหตุผลของการใช้งานเฉพาะอย่างรวมถึงการล้างและการดูแลด้วยเพราะ ตัวรูพ่น 1.5 มม.จะเป็นตัวราคาแพง และตัว 1.8 มม.จะเป็นตัวราคาถูกครับ
หมายเหตุ****** ห้ามทำปืนพ่นสีตกเด็ดขาด เพราะมันจะมีอะไรชำรุดอย่างนึงแน่นอน ของผมตกครั้งนีงได้ซ่อมทุกที แบบว่าซวยอ่ะ
ว่าต่อด้วยเรื่อง หัวลม (Air Cap)
หัวลม เป็นตัวจ่ายแรงดันอากาศซึ่งผสมกับสีออกมาเป็นละอองละเอียดเป็นรูปร่างตามที่เราปรับ ซึ่งประกอบด้วย รูตรงกลาง, รูอากาศช่วย และรูด้านข้าง ตามรูปผมถอดออกมาเฉพาะฝาครอบหัวลมมาครับ ส่วนการเลือกหัวลมนั้น แล้วแต่งานและความชอบของท่านครับ ส่วนผมเลือกแบบในรูปครับ คิดว่าทุกอย่างลงตัวสำหรับผม คือ มีรูช่วย 4 รูกำลังดีครับ แต่อันที่จะซื้อที่เป็นขนาด 1.8 นี่ว่าจะหาที่มีรูช่วย 2 รู สำหรับท่านที่อยากได้ละอองออกมาฝอยมากๆควรเลือกที่มีรูช่วยเยอะๆครับ
มาต่อด้วยวิธีการพ่นสีกัน
ระยะห่างของการพ่นสีมีความสำคัญ โดยทั่วไป ปืนพ่นสีขนาดเล็ก เช่น w-88, w-71 ระยะห่างการพ่นสีประมาณ 15-25 ซม. ส่วนปืนพ่นสีขนาดใหญ่เช่น w-87, w-77, w-89, w-70 หรือ w-90 จะมีระยะพ่นสีประมาณ 20-30 ซม. ซึ่งเมือเราปรับการพ่นของการฟุ้งกระจายของสีได้ตามต้องการแล้วการรักษาระยะพ่นจึงจำเป็นมากหากฝึกฝนบ่อยๆก็จะชำนาญเองครับ
ต่ออีกนิดครับ การพ่นชิ้นงานเป็นแผ่น เช่นประตู ควรพ่นขอบตามแนวตั้งก่อน(เช่นขอบประตู) เพื่อป้องกันละอองสีจับเป็นเม็ดหรือเป็นฝุ่นผงหากเราพ่นในแนวนอน(เช่นหน้าบานประตู) และการพ่นขอบควรจะหันหัวลมให้ตั้งฉากกับพื้นเพื่อให้รูปแบบการพ่นเป็นแนวนอนหรือแนวยาวก็จะทำให้ขอบชิ้นงานสีเต็มง่ายและละอองไม่ฟุ้งกระจายมากเกินไป
การพ่นชิ้นงาน ควรเริ่มกดไกปืนพ่นสีก่อนถึงขอบชิ้นงานประมาณ 4 นิ้ว และเดินปืนให้ขนานและตั้งฉากกับชิ้นงานจนเลยขอบชิ้นงานไปประมาณ 4นิ้วจึงจะปล่อยไกปืนพ่นสี จากนั้นเคลื่อนลงต่ำระยะประมาณ 1/3-1/2 ของความกว้างรูปร่างสี และกดไกปืนให้สุด เดินปืนให้ตั้งฉากกับชิ้นงานแล้วย้อนกลับกลับทางแรกจากขวามือไปซ้ายมือ และให้ความกว้างของรูปร่างสีซ้อนทับกัน 50% ของแต่ละเที่ยว (ปืนพ่นสีต้องตั้งฉากกับชิ้นงานเสมอ) ตำราว่าไว้ มาตรฐานความเร็วในการเคลื่อนที่ปืนพ่นสี คือ 600 มม./วินาที (11.81-23.62 นิ้ว/วินาที)
*** เดินปืนพ่นสีช้า สีจะย้อย ***
*** เดินปืนพ่นสีเร็ว สีจะบาง ***
ปกติก่อนจะพ่นชิ้นงานเราจะต้องปรับลมปืนพ่นสีและทดลองพ่นสี เพื่อดูฝอยสีก่อนที่จะพ่นสีลงบนชิ้นงาน เราจึงต้องตรวจสอบฝอยสีเพื่อแก้ไขต่อไป ดูได้จากรูปภาพ หากลักษณะฝอยสีเป็นรูปพระจันทร์เสียวเราจำเป็นต้องล้างและแปรงตรงบริเวณปลายหัวลม บ้างครั้งอาจต้องเอาเข็มเขี่ยรอบๆรูกลาง พร้อมทั้งล้างด้วยทินเนอร์ หากหัวลมตันเราอาจต้องเอาเข็มเขี่ยรูทุกรู้พร้อมทั้งล้างด้วยทินเนอร์
เรื่องตัวตักน้ำนี่ผมว่ามันเยอะอยู่เหมือนกันน่ะ แต่เอาที่ผมพอรู้นิดหน่อยน่ะครับ ส่วนใหญ่ตัวที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียง จะเป็นยี่ห้อ SMC ซึ่งมี Regulator ที่นิ่งและ ตัวกรองของเค้าละเอียด อย่างตัวกรองลมปกติของเค้าละเอียดที่ประมาณ 5 ไมครอน (ไม่รู้เหมือนกันว่าเล็กแค่ไหน) ส่วนตัวละเอียดมากๆของเค้าน่าจะประมาณ 0.01 ไมครอน ซึ่งเอาไว้ใช้ในงานที่สะอาดมากๆๆๆ แต่ในท้องตลาดมักจะเป็นตัวเลียนแบบ เป็นของจีนบ้าง ของใต้หวันบ้าง ถ้าเป็นของใต้หวันจะมีคุณภาพมากกว่าของจีนหน่อย ก็ุคุณภาพตามราคาครับ
แต่ละรุ่นจะต่างกันตรงรายละเอียด ตามภาพครับ และให้เราดูว่า ขนาดเกลียวที่จะต่อข้อต่อสายลมขนาดเท่าไหร่ เช่น รุ่นAWM 40(ที่เก็บน้ำทิ้งประมาณ45 cc.) ข้อต่อ 1/4,3/8 หรือ 1/2 นิ้ว ถ้าของเลียนแบบก็จะประมาณ BFR 2000 (ที่เก็บน้ำทิ้งประมาณ60cc.)ขนาดรูต่อ 1/4 นิ้ว หรือ 2 หุน, หรือ BFR 3000 มีขนาดรูต่อ 3/8 นิ้ว หรือ 3 หุน ก็ให้เราดูรายละเอียดนะครับว่า ปั้มลมเรา รูเกลียวขนาดเท่าไหร่ ซึ่งปกติจะขนาด 1/4 นิ้ว เวลาซื้อ ข้อต่อก็เลือกขนาด 1/4 ให้หมด สายลมก็ด้วยครับ เวลาซื้อก็ดูว่าขนาดเท่าไหร่เช่น สายลมขนาด 5x8 มม. ข้อต่อก็ต้องสวมได้กับสายลม 5x8 มม.ด้วย และบางรุ่นก็มีที่ทิ้งน้ำอัตโนมัติ อันนี้ต้องดูที่ข้างกล่องครับหลายยี่ห้อก็เรียกรหัสไม่เหมือนกันแค่คล้ายๆ ผมว่าดูที่ข้างกล่องดีกว่าครับหรือ รายละเอียดของอันที่จะซื้อครับ
ตัวที่ผมอยากได้น่ะครับ หาซื้อที่สุราษฎร์ไม่ได้เลย ไม่รู้ซื้อที่ไหน คือ ตัวกรองลมดักน้ำ ของ SMC รุ่น AWM 40 ครับ เพราะ มันดักไอน้ำได้แน่นอนครับ และเก็บน้ำทิ้งได้เยอะหน่อย(ที่บ้านความชื้นสูง) แต่เอาเข้าจริงๆ ใช้ของเลียนแบบรุ่นธรรมดาทั่วไป BFR 2000 ตัวละ 850 บาทก็เอาแล้ว ใช้งานทั่วไป
ส่วนเรื่องสายลม ผมคิืดว่าน่าจะเป็นขนาด 5X8 (ขนาดรูใน 5 มม. ขนาดสายลม 8 มม.) กับ 8x12 มม.ที่คุณหมูถาม เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจมากหรอกครับ แต่คิดว่่าสายเล็กน่าจะเหมาะกับเครื่องมือที่ใช้ลมไม่มาก เช่น ปืนพ่นสี และพวกปืนยิงตะปู เครื่องขัดอะไรพวกนี้น่ะครับ ส่วนขนาด 8x12 มม.น่าจะใช้กับพวก บล๊อคลม ตัวกระแทก อะไรพวกนี้น่ะครับ และอีกอย่างนึง สาย 8x12 มม.ก็หนาน่าจะทนกว่าและให้ทางเดินลมเยอะด้วย ผมว่าถ้าใช้กับปืนยิงตะปู หรือเครื่องขัดน่าจะดี แต่ถ้าใช้กับที่เป่าลม ลมน่าจะหมดเร็วน่าดู ยิ่งถ้าปัิมลมเล็กแล้วคงแป๊ปเดียวหมด สรุปว่าสำหรับผมคงยังใช้สายลมแค่ขนาด 5x8 อยู่นะครับเพราะปั้มลมผมเล็กครับ และไม่ค่อยชอบสายอันใหญ่ไปทำให้เทอะทะเวลาพ่นสีครับ และเวลาต่อที่เป่าลมผมว่าปั้มทำงานไม่ทันแน่ๆ ลมน่าจะออกเยอะ
พักงานพ่นสีต้องล้างกาพ่นสีเก็บก่อนนะครับ อันนี้ล้างจริงๆครับ
1.เมื่อพ่นสีเสร็จแล้วให้กดไกปืนพ่นสีที่ค้างในกาออกให้หมดและนำทินเนอร์ใส่ในกา แล้วกดไกปืนพ่นสีเพื่อล้างสีออก(ผมจะใส่ทินเนอร์นิดหน่อย ในครั้งแรก เพื่อพ่นล้างและนำผ้าชุบทินเนร์ล้างและเช็ดจนภายในกาสะอาด แล้วจึงนำทินเนอร์ใส่ในกาเพื่อพ่นล้างอีก ครึ่งกา
- พ่นสีใส่ผ้าโดยมีระยะห่างพอประมาณ โดยให้ลมดันทินเนอร์ในกาพ่นสีใหลกลับไปกลับมาในปืนพ่นสี(หากเปิดฝาไว้ระวังทินเนอร์กระเด็นใส่)
- ล้างกาและฝาให้สะอาด(ผมใช้ผ้าเช็ดเพื่อทำความสะอาดด้วย)
2.ถอดฝาครอบหัวพ่นสี
3.ถอดหัวพ่นสี(ใช้ประแจที่แถมมากับปืนพ่นสีให้หลวมก่อน) แล้วใช้มือกดไกปืนขณะหมุนถอดหัวพ่นสี(ทำเหมือนกันตอนใส่กลับ)
4.ถอดสกรูปรับเข็มจ่ายสี
5.ถอดสปริง และถอดเข็มจ่ายสี
6.ชิ้นส่วนที่ถอด
ถอดแล้วก็ล้างซะหน่อย
ผมเดาว่า อาจมีคนสับสนเรื่องแรงดันลมกับการใช้งาน เช่น แรงดันลมในถัง กับ ตัวปรับแรงดันลม ซึ่งถ้ามีผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตอบเพิ่มเติมน่าจะดีน่ะครับ
อันนี้ขอเพิ่มเติมเรื่องนี้จากผู้พอจะรู้บ้างนะครับ (ออกตัวอีกแล้วครับท่านตามประสามือสมัครเล่น)
เริ่มจากแรงดันลมในถังก่อนนะครับ ปกติ ทางโรงงานจะตั้งการทำงานไว้ให้เริ่มเดินเครื่องเมื่อแรงดันลมต่ำที่ประมาณ 4 บาร์ และตัดการทำงานที่ประมาณ 7 บาร์ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถปรับตั้งได้ตามความเหมาะสม (ตามความเข้าใจผมนะครับ) ยกตัวอย่างเลยนะครับ
- เช่น ปืนลม ซึ่งมีหลายขนาด ตามแต่ขนาดลูกแม๊กใช้ยิง ตัวที่กินลมและต้องการแรงดันมากสุดจะเป็นตัวที่ยิงคอนกรีตได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ปืนยิงตะปูต้องการแรงดันลมที่ 6 บาร์โดยประมาณ ถึงจะยิงตะปูจม และทนแรงดันลมได้ไม่เกิน 8 บาร์ (ถ้าใช้กับแรงดันเกินนานๆอาจทำให้ชิ้นส่วนกลไกภายในเสียหายได้ครับ) บางคนอาจเคยสังเกตว่าเมื่อใช้ปินยิงตะปูสักพัก ทำไมยิงตะปุไม่จม เพราะแรงดันลมในถังเหลือต่ำกว่า 6 บาร์มากจนปืนลมไม่มีแรงอัดพอจะยิงตะปูได้ เหตุนี้จึงต้องมีการปรับตั้งการตัดและเปิดการทำงานของปั้มลมครับ
- ปืนพ่นสี ส่วนใหญ่ต้องการแรงดันลมต่ำกว่า 4 บาร์ การตั้งจากโรงงานจึงไม่ค่อยมีผลมากนัก
ต่อมาเรื่อง ตัวปรังแรงดันลม(regulator) ตัวนี้ก็เอาไว้ปรับแรงดันลมไม่ได้เกินกว่าที่เรากำหนด เช่นเราตั้งไว้เมื่อต่อกับปืนพ่นสีที่ 4 บาร์ ถ้าลมในถังเราเพื่งปั้มและตัดที่ 7 บาร์ ตัวปรับแรงดันก็จะรักษาระดับแรงดันลมที่ 4 บาร์ตลอด มันก็จะใช้ได้พอดี แต่ถ้ากรณีเราใช้ตัวปรับแรงดันลมกับปืนลมซึ่งเราตั้งไว้ที่ 6 บาร์ แต่เมื่อเราใช้ลมในถังเหลือมาไม่ถึง 5 บาร์ ตัวปรับแรงดันลมก็ไม่สามารถจะรักษาระดับแรงดันที่ 6 บาร์ได้หรอกครับ ลมก็จะออกมาน้อยยิงตะปูไม่ได้จมไม้แน่นอน
สรุป ในความคิดของผมนะครับ ถังลมสามารถทนแรงดันได้ประมาณ 10 บาร์ (น่าจะเกินกว่านี้ครับ) ถ้าเราจะตั้งให้มันตัดการทำงานปั้มลมที่ 9 บาร์กว่าๆ และเริ่มให้ปั้มทำงานที่ 6 บาร์ น่าจะดีที่สุด แล้วเราใช้ ตัวปรับแรงดันช่วยในการต่อกับอุปกรณ์ที่เราจะใช้งานครับ ซึ่งเราควรจะมีตัวปรับแรงดันลมสองชุดน่ะครับ เพื่อความสะดวก คือ
1.ตัวดักน้ำและปรับแรงดันลม เพื่อใช้กับกาพ่นสี (ตั้งแรงดันลมที่ 3-4 บาร์)
2.ตัวจ่ายน้ำมันหล่อลื่นและตัวดักน้ำและปรับแรงดันลม เพื่อใช้กับปืนยิงตะปู และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ตัวขัดกระดาษทราย ไขควงลม ฯลฯ (ตั้งแรงดันลมที่ 6 บาร์)
**************เป็นความเห็นส่วนตัวครับ จากข้อมูลที่รู้มาครับ ผิดถูกแนะนำด้วยครับ****************
หมายเหตู***
ที่ตัวปรับแรงดันลมส่วนใหญ่จะมีสองค่าให้อ่านนะครับ จะมีตัวเลขสีดำ กับ สีแดง (หรือสีอื่นแล้วแต่ละยี่ห้อ) ซึ่งจะบอกค่า ปอนด์ต่อตารางนิ้ว(PSI) และ บาร์(ฺBar) หรือ กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร(Kg/cm2) อาจมีคนสงสัยนิดหน่อยเพราะบางตัวมี PSI และ Bar บอกแต่บางอัน มี PSI และ Kg/cm2 บอก พอดีว่า ตัวค่าวัดของ Bar และ Kg/cm2 จะใกล้เคียงกันมากจึงสามารถเทียบเคียงกันได้ครับ เช่น 4 Bar เกือบเท่าหรือเท่ากับ 4 Kg/cm2 ครับ
1 bar = 1.02 kg/cm2
1 bar = 14.50377 psi
เอาแค่นี้ก่อนนะครับเผื่อบางคนสับสน
เรื่องแรงดันลมนี่ บางท่านอาจจะไม่ทันสังเกตว่ากาพ่นสีใช้ไปได้ระยะหนึงมันจะมีอาการลมรั่วออกมา นั้นเป็นเพราะตัวกาพ่นสีมันรับแรงดันลมมากเกินไป ยิ่งถ้าต่อจากถังตรงๆเลย ยิ่งรั่วไว วีธีป้องกันก็ติดตัวกรองดักน้ำนั้นแหละ เพราะมันสามารถปรับแรงดันลมได้ เราก็ปรับแรงดันลมให้อยู่ในระดับที่กาพ่นสีรองรับได้ วิธีนี้จะช่วยยืดอายุกาพ่นสีเราไปได้อีกนาน