ธปท.มองเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทาย 4 ด้าน มองโครงการ EEC ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนด้านดิจิทัล-ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วยเศรษฐกิจรอดพ้นวิกฤติในระยะยาวได้ ด้าน ส.อ.ท.ชี้มี 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายหนุนเศรษฐกิจ
นายโยชิยูกิ โฮริโอะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ (JPC/MNC) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวเปิดงานสัมมนา Krungsri Business Talk ในหัวข้อ Managing a Business in The VUCA World จับทิศทางอนาคตธุรกิจภายใต้สถานการณ์โลกที่พลิกผันและเปลี่ยนแปลง ที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้าธุรกิจ เพื่อช่วยเสริมสร้างศักยภาพด้านธุรกิจของลูกค้าธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน แบ่งปันข้อมูลความรู้ให้ลูกค้าธุรกิจได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลเชิงลึกจากวิทยากรชั้นแนวหน้า มุ่งสร้างแรงบันดาลใจ และสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้กับลูกค้า
ดร. ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา Krungsri Business Talk ในหัวข้อ Managing a Business in The VUCA World จับทิศทางอนาคตธุรกิจภายใต้สถานการณ์โลกที่พลิกผันและเปลี่ยนแปลง ซึ่งจัดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายที่สำคัญ 4 ประการ
ประการแรกคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 3 ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจทั้ง ยุโรป จีน และ สหรัฐฯ ที่มี GDP รวมกันคิดเป็น 2 ใน 3 ของโลกพร้อมใจกันชะลอตัว ประการที่สอง คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของหลายๆ ประเทศ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งจีน-ไต้หวัน ที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก ประการที่สาม คือ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และประการสุดท้าย คือ แนวทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจเป็นแบบ K-Shaped Recovery ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจบางกลุ่ม “ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว” และบางกลุ่มที่ “ยังไม่ฟื้นตัวและแย่ลงเรื่อยๆ”
ทั้งนี้เพื่อให้เศรษฐกิจรอดพ้นวิกฤตได้ในระยะยาว ในอนาคตโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC จะเป็นคำตอบสำคัญ เพราะมีเครือข่าย 5G ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด EEC จึงเป็นที่สนใจของธุรกิจ Digital จากทั่วโลก ขณะเดียวกัน EEC ยังตอบโจทย์การลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้า EV ด้วยการเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ที่จะใหญ่ที่สุดในอาเซียนและเป็นพื้นที่ทดลองวิ่ง EV ด้วยการติดตั้งสถานีเติมไฟจำนวนมาก
นอกจากนั้นภายในพื้นที่ยังจะมีศูนย์นวัตกรรมสำคัญ อาทิ EECi หรือ ศูนย์การศึกษาถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเกษตร / ดิจิทัล / หุ่นยนต์ / โดรน / แบตเตอรี่ / EV, EECd หรือ DATA Center และ EECh หรือ Digital Hospital รวมไปถึงมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง รถไฟฟ้าความเร็วสูง และสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น
ด้าน นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยมุมมองการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาภาคเกษตรกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้ GDP มีการกระจายตัวอย่างทั่วถึงและมีความยั่งยืน ให้เป็นการเติบโตที่ทุกคนมีส่วนร่วม
โดยประเทศไทยมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น คาดการณ์การส่งออกอาหารทั้งปี 65 จะมีมูลค่า 1.2-1.3 ล้านล้านบาท เท่ากับขยายตัว 8-12% ด้านนักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทั้งจากยุโรปและรัสเซีย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัจจัยที่เอื้อต่อการตั้งฐานการลงทุนระยะยาว ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยมากขึ้น และยังมีโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การสร้างความมั่นคงทางห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Security) ความมั่นคงทางอาหาร และการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร โดยใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น
ในภาพรวมประเทศไทยมีอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 ประเภท แบ่งเป็น First S-curve อุตสาหกรรมที่จะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น คือ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ EV โดยในปี 2030 ตั้งเป้าจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 30% จากปริมาณยานยนต์ทั้งหมดของประเทศ, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ส่วนต่อมาคือ New S-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ซึ่งจะเกิดมาจากการมีอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ มีการใช้หุ่นยนต์เหมือนคนที่มีสมองมีความจำและต่อไปจะสามารถขับรถยนต์เองได้,
อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ, อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะ e-commerce ต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงโควิดได้ช่วยเปลี่ยนและเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น, อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ telemedicine มากขึ้นและในอนาคตอาจมีการรักษาด้วยหุ่นยนต์, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, อุตสาหกรรมพัฒนาคนและการศึกษา ข
ขณะเดียวกันแนวทางอุตสาหกรรมก็มีการปรับตัวมุ่งสู่ BCG Model โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Security) โดยนำพลังงานทดแทนเข้ามามีบทบาทในภาคอุตสาหกรรม และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัจจุบันสภาอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการเรื่อง Smart Agriculture Industry หรือ เกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ซึ่งเป็นการนำเอาเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ โดยการผสมผสาน สมาร์ท ฟาร์มมิ่ง และ สมาร์ท อินดัสทรี เพื่อปลูกสิ่งที่โลกต้องการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างการเติบโตของประเทศไทยบนแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้ผลประโยชน์มากขึ้นและเพื่อให้ GDP ประเทศไทยเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเกษตรอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยกว่า 40 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีมูลค่าถึงร้อยละ 5.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และได้รับการกล่าวถึงอย่างมากจากผู้ประกอบการยานยนต์ทั่วโลก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคตควรมีการมุ่งเน้นสาขาต่างๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ดังนี้
กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม
- พัฒนาเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจากการประกอบร่วมกับผู้ผลิต (OEM) เพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนรถไฟไฟ้าต่อไป
- ขยายธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในด้านการออกแบบและจัดทำต้นแบบ (Surface Integration Design & Prototyping)
- ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง(Catalytic Manufacturing)
- พัฒนาธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ก้าวทันมาตรฐานโลกเช่น ชิ้นส่วนระบบความปลอดภัย ชิ้นส่วนระบบกำลังส่ง (Transmission System Parts)
- ผลิตจักรยานยนต์ (ขนาดมากกว่า 248 cc) โดยมีการขึ้นรูปชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ(SMART ELECTRONICS)
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นเสาหลักสำคัญในภาคการส่งออกของประเทศไทยในปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 24 ของรายได้การส่งออกของประเทศในปีพ.ศ. 2557 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นผู้ผลิตสำคัญระดับโลกในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์และวงจรรวม (Integrated Circuits) อีกด้วย ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีเครื่องรับรู้ (Sensors) และวงจรรวม (Integrated Circuits) ที่มีขนาดเล็กลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น ประเทศไทยควรส่งเสริมอุตสาหกรรมย่อยที่ผลิตอุปกรณ์ซึ่งใช้เทคโนโลยีระดับสูงมากขึ้น ได้แก่
กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม
- ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตวงจรรวมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
- ผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในยานยนต์ และอุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อุปกรณ์โทรคมนาคม
- ออกแบบและผลิตระบบที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (SmartAppliances) ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ (Internet of Things)
- ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเภทสวมใส่ เช่น Fitbits
- การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก(Microelectronics) และการออกแบบระบบฝังตัว (Embedded Systems) รวมถึงการผลิตสารหรือแผ่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์
3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(AFFLUENT, MEDICAL AND WELLNESS TOURISM)
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยถือได้ว่าเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ จากนโยบายที่เน้นเรื่องการเพิ่มคุณภาพของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและไทย-เที่ยว-ไทย อย่างไรก็ดี แนวโน้มของโลกจะมีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงควรมีการเพิ่มเติมทิศทางสำหรับอนาคตดังนี้
กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม
- ยกระดับประสบการณ์และคุณค่าจากการท่องเที่ยว (Value Proposition)เพื่อดึงดูดกล่มุ นักทอ่ งเที่ยวทมีี่รายไดป้ านกลางถงึ สูงจากประเทศแถบเอเชียแปซฟิ ก
- จัดระเบียบและส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่หลากหลายตามสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มคุณค่าและประสบการณ์ เช่น กีฬาทางน้ำ (Water Sports)
- สนับสนุนธุรกิจทางการแพทย์ และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ (Wellness andRehabilitation) โดยต่อยอดจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Medicaltourism) ที่เข้มแข็ง
- ส่งเสริมประเทศไทยในการเป็นศูนย์รวมของการแสดงสินค้าและนิทรรศการระดับนานาชาติ (MICE)
4. อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ(AGRICULTURE AND BIOTECHNOLOGY)
การเกษตรเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมมากที่สุดภายในประเทศไทยมีมูลค่าถึงร้อยละ 8.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ นอกจากนี้ สัดส่วนแรงงานไทยที่ทำงานในภาคการเกษตรยังสูงถึงร้อยละ 40 ส่งผลให้การเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันภาคเกษตรกรรมในไทยยังมีผลิตภาพแรงงานอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำจึงมีศักยภาพที่จะสามารถยกระดับจากการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรใหม่ๆมาใช้ เกิดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยที่เป็นเป้าหมายคือ
กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติม
- ธุรกิจเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง เช่น การใช้ระบบเครื่องรับรู้ (Sensors) การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูง (Advance Danalytics) และระบบอัตโนมัติ
- การลงทุนและการวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์
- อุตสาหกรรมการคัดคุณภาพ บรรจุ เก็บรักษาพืชผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบเนื้อในผลไม้
- กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ
5. อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร(FOOD FOR THE FUTURE)
อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญระดับสูงต่อประเทศไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้จำนวนแรงงานมากที่สุด มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด มีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุด และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในบรรดาสาขาต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย ในปัจจุบันมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในตลาดอาหารทั่วโลกอยู่ 3 แขนง ซึ่งมีโอกาสส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร แนวโน้มดังกล่าว ได้แก่ 1) ความต้องการมาตรฐานความปลอดภัยและความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่สูงขึ้นจากผู้บริโภคอาหาร 2) การเพิ่มขึ้นของความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และ 3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแหล่งโปรตีนทางเลือกซึ่งใช้พลังงาน ทรัพยากร และต้นทุนในการผลิตน้อยกว่าแหล่งโปรตีนจากสัตว์ในปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมย่อยดังนี้