มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

9  อาชีพ ลงทุน ไม่เกิน 5,000 บาท

 

9  อาชีพ ลงทุน ไม่เกิน 5,000 บาท   มีเงิน 5,000 บาทจะลงทุนเปิดร้านอะไรได้ คำถามนี้จะกลายเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ เพราะเงิน 5,000 บาทสามารถเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ได้ โดยร่วมลงทุนกับแฟรนไชส์ราคาไม่เกิน 5,000 บาทได้แล้ว

1.แฟรนไชส์ราคาไม่เกิน 5,000 บาท

แฟรนไชส์ราคา 3,000 บาท, ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิดเถิดเทิง 2,990 บาท ซูโม่ลูกชิ้นปลาระเบิด 1,990 บาท เป็นต้น

2.ขายรองเท้ามือสอง

ราคารองเท้ามือสองแบบขายส่งเพียงคู่ละ 30 บาท โดยต้องดูคุณภาพของรองเท้า รอยชำรุดต่าง ๆ แล้วนำกลับมาซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ ซึ่งจากราคาคู่ละ 30 บาท สามารถขายได้ 70 – 100 บาท ได้เลยดังนั้น ถ้ารับซื้อมาคู่ละ 30 บาท จำนวนเงิน 2,000 บาท จะได้ประมาณ 66 คู่ ส่วนเงิน 1,000 บาทเก็บเป็นเงินสำรอง  ส่วนอุปกรณ์การขายก็เพียงหาผ้าปูภื้นหรือโต๊ะมาวางรองเท้าก็สามารถขายได้แล้ว

3.ขายลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หมูปิ้ง

วิธีการไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ซื้อลูกชิ้นมาเสียบไม้ ตั้งเตาถ่าน หาน้ำจิ้มรสเด็ด และเตรียมอุปกรณ์อีกนิดหน่อย เช่น ถุงใสใส่น้ำจิ้ม ใส่ลูกชิ้น ป้ายหน้าร้าน ก็สามารถตั้งขายได้แล้ว หรือขายไก่ทอด ก็ควรมีสูตรการหมักไก่ และทอดไก่ให้กรอบอร่อย หรือ หมูปิ้งก็ต้องมีสูตรการหมักเช่นกันทำอย่างไรให้หมูปิ้งนุ่มอร่อย การวางขายก็อาจวางขายตามตลาดนัดหน้าหมู่บ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ค่อย ๆ เริ่มต้นทีละน้อย ๆ พอขายดีค่อยขยับขยายก็ทำได้เช่นกัน

4.ขายข้าวไข่เจียว

เมนูข้าวไข่เจียว เป็นอะไรที่ขายได้ง่าย ขายได้กับทุกเพศทุกวัยเลย โดยเงินลงทุนประมาณ 2,000-3,000 บาท ก็ตั้งร้านขายข้าวไข่เจียวได้แล้ว ส่วนราคาขายข้าวไข่เจียวในราคา 20-25 บาท ขายได้ 100 จาน เป็นเงิน 2,500 บาท หาทำเลดี ๆ เช่น หน้าโรงเรียน ตลาดนัดหน้าหมู่บ้าน บริษัทห้างร้านต่าง ๆ เลือกขายในเวลาเช้า ถึงกลางวันกำลังเหมาะ ทั้งนี้ปริมาณการขายก็ขึ้นกับทำเลและกลยุทธ์การตลาดเป็นสำคัญด้วย

5.ขายสลัด

กระแสคนรักสุขภาพมาแรงอย่างต่อเนื่อง การหาเมนูเพื่อสุขภาพมาขายก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจเลยไม่น้อย และเมนูสลัดก็เป็นที่ต้องการมากโดยเฉพาะในหมู่สาว ๆ หรือ หนุ่ม ๆ ที่กำลังเร่งฟิตหุ่น ยิ่งถ้าเรามีสูตรน้ำสลัดอร่อย ๆ เข้าด้วย รวมถึงเทคนิคการเลือกผักที่สดใหม่มาขาย ปลอดสารพิษ สารเคมี ผักออแกนิกส์ จะยิ่งขายได้ดี ต้นทุนไม่ถึง 5,000 บาทก็ขายสลัดได้ไม่ยากเลย ทำขายกล่องละ 20-30 บาท หรือขายแบบชั่งกิโลก็ขายได้ราคา

6.ขายบาร์บีคิว

บาร์บีคิวหมู ไก่ หรือเนื้อ ที่ทานกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ ด้วยรสชาติที่แสนอร่อยและวัตถุดิบที่กลมกล่อม ทำให้บาร์บีคิวเป็นเมนูอาหารจานโปรดของใครหลายคน ที่ทานกันได้ทุกเพศทุกวัย ต้นทุนในการเริ่มต้นไม่เกิน 5,000 บาท ขายในราคาไม้ละ 5 – 25 บาท แล้วแต่วัตถุดิบและทำเลที่ตั้งร้านด้วย สำคัญคือการทำซอสบาร์บีคิวที่อร่อยกลมกล่อม ก็จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้อย่างดี

7.ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวน

การขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนต้องคำนวณรายจ่ายก่อน เช่น ซื้อกล่องใส่ 500 บาท ซื้อวัตถุดิบก๋วยเตี๋ยวไม่เกิน 3,000 บาท แต่ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนค่าใช้จ่ายไม่มาก ดังนั้นถ้าจะขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนในราครกล่องละ 30-35 บาท ขายได้ 100 กล่อง เป็นเงิน 3,500 บาท ขายง่ายกำไรงามก็น่าลงทุนเช่นกัน

8.ขายแซนด์วิช

การขายแซนด์วิช เป็นไอเดียที่น่าสนใจสำหรับการขายในยามเช้า ก่อนที่ผู้คนจะไปทำงาน เรียนหนังสือ ก็มักจะไม่มีเวลาเตรียมอาหารเช้ากันสักเท่าไหร่ การมีแซนด์วิชมารองท้อง ทานในรถได้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก ก็เป็นการขายที่ขายคล่องมากเลย ตั้งราคาขายที่กล่องละ 20 บาท การลงทุนเพียงแค่ 1,500 -2,000 บาท ถ้าคุณขายได้ 50 ชิ้นต่อวันก็ได้ 1000 บาทแล้ว หรือจะฝากขายตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ เบเกอรี่ ก็จะทำให้มีออเดอร์เพิ่มมากยิ่งขึ้น รายได้ก็เพิ่มตามไปด้วย

9.ขายอาหารคลีน

ปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่รักสุขภาพและหันมากินอาหารคลีนกันมากขึ้น ดังน้นการขายอาหารคลีนจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจที่จะทำอาหารคลีนขาย และหากเป็นเมนูแบบพรีเมี่ยมก็อาจมีราคาสูงถึงกล่องละ 100  บาท  แต่หากเราทำเอง ขายเอง ลงทุนน้อยกำไรดี ก็เลือกวัตถุดิบสด สะอาด ราคาถูก เลือกทำเมนูที่ไม่ยุ่งยาก ทานง่ายดีต่อสุขภาพ บวกกำไรจากต้นทุนกล่องละ 15-20 บาท แล้วเลือกขายกลุ่มคนทำงาน ตามบริษัทห้างร้าน ก็จะขายได้ดีกว่านี่เป็นเพียงตัวอย่าง 9 อาชีพที่สามารถเริ่มต้นขายได้เลยเพียงมีเงินทุน 5,000 บาท ทั้งนี้ยังมีอีกหลายอาชีพที่น่าสนใจ ก็ลองเลือกตามความถนัดตามความชอบของตัวเองดูแล้วกัน ที่สำคัญเมื่อเลือกอาชีพที่จะขายได้แล้ว ก็ต้องตั้งใจขาย ซื่อสัตย์กับลูกค้าโดยใช้แต่วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูง สดสะอาดใหม่อยู่เสมอ ไม่ขายอาหารค้างคืน จริงใจกับลูกค้า พูดจาสุภาพอ่อนโยน เพียงเท่านี้เงิน 5,000 บาทก็จะสามารถสร้างอาชีพให้กับคุณได้แล้วขอบคุณเครดิตภาพ shorturl.asia/ZlPM9, shorturl.asia/rIon5, shorturl.asia/J24Qk, shorturl.asia/nHSOrอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ www.archeep108.com

สำหรับใครที่มีรายได้พอจะมีเงินเก็บแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าควรเก็บเงินไว้ที่ไหนดี หรือควรนำเงินไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้บ้าง บทความนี้จะขอมาแนะนำ 5 ทางเลือก ว่าถ้าหากเรานำเงินของเราไปลงทุนในแต่ละทางเลือก ทางเลือกไหนจะให้ผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่ และแต่ละทางเลือกมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

1. ออมเงินในเงินฝากออมทรัพย์

เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีบัญชีออมทรัพย์กันอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่นี่กัน แต่รู้ไหมว่าผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากออมทรัพย์นั้น ไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้เลย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปนั้นอยู่ที่ 1.25% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 0.125% - 1.00% ซึ่งดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับอีกด้วย

ผลตอบแทน : ประมาณ 0.125% - 1.00%

ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ทั้งนี้หากเรานำเงินเฟ้อมาหักลบกับดอกเบี้ยแล้ว ถือว่าเงินต้นเรามีอำนาจในการจับจ่ายลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ เงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้ไม่เท่าเดิมนั่นเอง)


2. ฝากเงินกับเงินฝากประจำ

ขยับขึ้นมาหน่อยจากเงินฝากออมทรัพย์ เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ซึ่งจะมีระยะเวลาให้เลือก เช่น 3, 6, 12, 24 เดือน ดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และพอจะสู้กับเงินเฟ้อได้นิดหน่อย แต่ต้องแลกมากับสภาพคล่อง ส่วนดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เลือก โดยจะอยู่ที่ประมาณ 0.30% – 1.35% ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ และหากดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับเช่นเดียวกัน

ผลตอบแทน : ประมาณ 0.30% – 1.35%

ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ข้อจำกัดของการออมเงินประเภทนี้คือ อาจทำให้เราขาดสภาพคล่องได้ เนื่องจากหากเราถอนเงินก่อนครบกำหนด ก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ควรจะได้ในตอนแรก)


อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ วันที่ 8 เมษายน 2565
ที่มา ://www.bot.or.th/thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx


3. ลงทุนในหุ้น

ในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นเรียกได้ว่าเป็นที่นิยม และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น หากเราเลือกหุ้นได้ถูกตัว ก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งถือเป็น “ความเสี่ยง” หากเราลงทุนในหุ้นผิดตัว ก็สามารถขาดทุนได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า High Risk... High Return ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้นนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลตอบแทน : สามารถกำไร หรือขาดทุนได้มากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงไปเป็นการซื้อ “กองทุนรวมหุ้น” แทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกับ SET Index ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปีหากลงทุนเป็นระยะยาวอย่าง 10 ปีขึ้นไป

ความเสี่ยง : สูง (หากซื้อหุ้นถูกตัวก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้มาก กลับกันหากซื้อหุ้นผิดตัวก็สามารถขาดทุนได้มากเช่นกัน)


4. ลงทุนในกองทุนรวม

กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพราะเราสามารถลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ไม่ใช่เฉพาะหุ้นอย่างเดียว โดยมีตั้งแต่ เงินฝาก ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นนอกประเทศ ฯลฯ

อีกทั้งยังได้ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “กองทุนรวมหุ้น” จากการที่เราจะซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ การซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็จะทำให้เงินของเราสามารถกระจายไปในหุ้นหลาย ๆ ตัวได้ โดยใช้เงินเท่าเดิม เป็นต้น อีกทั้งการลงทุนในกองทุนรวมนั้น ยังมี Fund Manager หรือผู้เชี่ยวชาญ คอยเลือกสินทรัพย์ให้เราอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับการลงทุนในหุ้นที่เราต้องศึกษา และเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง

ผลตอบแทน : เนื่องจากกองทุนรวมนั้นมีหลากหลายประเภท และลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ผลตอบแทนจากกองทุนรวมจึงขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ก็จะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน

ความเสี่ยง : ต่ำ - สูง (อยู่ที่เราจะเลือกลงทุนในประเภทไหน เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนทองคำ ผลตอบแทนก็จะสูงขึ้นมาตามแต่ละสินทรัพย์ เห็นไหมว่าแม้เราจะกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในกองทุนแล้ว แต่เราก็ยังกระจายไม่พอ หากเราไม่มีการลงทุนแบบกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ)


ภาพแสดงผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภททั่วโลก
ที่มา : //novelinvestor.com/asset-class-returns/

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะสนใจลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะเราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภทได้ โดยดูจากนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมนั้น ๆ

แต่จะดีกว่าไหม หากเราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่เรารับได้ พร้อมกับมีผู้เชียวชาญคอยดูแลคัดสรรกองทุน พร้อมการจัดและปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ที่สำคัญให้เรา ขณะเดียวกันเรายังสามารถกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นต่างประเทศ มาดูทางเลือกอย่างที่ 5 กันเลย


5. ลงทุนด้วย ttb smart port

ttb smart port คือ เครื่องมือทางการลงทุน ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการลงทุนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ยังไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หรือไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนในกลุ่มไหนดี โดย ttb smart port จะมีมืออาชีพซึ่งเป็นผู้เชียวชาญด้านการลงทุนระดับโลกมาช่วยดูแล คัดสรรกองทุน จัดและปรับสัดส่วนการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ ตามสภาวะของตลาด อีกทั้งยังมีหลากหลายโมเดลให้เราเลือกตามความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะมีโอกาสไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น

ต่อไปเรามาดูสัดส่วนการลงทุนกระจายความเสี่ยงของ ttb smart port แต่ละแผนกันว่ามีหน้าตาอย่างไรกันบ้าง


สัดส่วนการลงทุนในแต่ละแผนของ ttb smart port

1. tsp1-preserver - ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 80% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงเป็นหลัก เน้นรักษาเงินต้น

ความเสี่ยง : ระดับ 4 (ต่ำสุดใน ttb smart port ทั้งหมด)


2. tsp2-nurturer - กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 40% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 40% หุ้นในประเทศ 10% และหุ้นต่างประเทศ 10%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการชนะเงินเฟ้อ และไม่ต้องการรับความผันผวน

ความเสี่ยง : ระดับ 5


3. tsp3-balancer - กองทุนนี้ลงทุนแบบสมดุล 50/50 เพราะมีหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% มีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่อยากกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ผลตอบแทนกำลังพอดี ไม่เสี่ยงมากไปหรือน้อยไป

ความเสี่ยง : ระดับ 5


4. tsp4-explorer - กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 45% หุ้นในประเทศ 25% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ตราสารหนี้ในประเทศ 10%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่เน้นเรื่องการเติบโตโดยเฉพาะ และพร้อมจะรับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 ปี

ความเสี่ยง : ระดับ 5


5. tsp5-gogetter - กองทุนนี้ลงทุนในหุ้น 100% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 30% และหุ้นต่างประเทศ 70%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด จาการลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ความเสี่ยง : ระดับ 6 (สูงสุดใน ttb smart port ทั้ง 5 แผน)

จะเห็นได้ว่า จากทางเลือกที่เราเสนอมาทั้งหมด 5 ทางเลือก การลงทุนแบบจัดพอร์ตกับ tsp นั้นดูจะมีความยืดหยุ่นที่สุด เพราะเราสามารถเลือกระดับความเสี่ยงเองได้ และได้ทำการกระจายการลงทุนไปด้วย โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอย คัด จัด ปรับพอร์ต ให้เรา ซึ่งเราสามารถนำเงินเก็บในแต่ละเดือนของเรามาลงทุนใน ttb smart port ได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

สุดท้ายขอจากกันด้วยรูปตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง ด้วยการลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ระหว่าง ttb smart port กับการลงทุนในดัชนี SET Index เพียงอย่างเดียว ว่าผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ได้จะเป็นอย่างไร โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็น tsp3-balancer สำหรับคนชอบทางสายกลางกันนะครับ


//www.investing.com/indices/thailand-set-historical-data

จากตารางจะเห็นได้ว่าหากเราลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โอกาสจะเป็นเจ้าของเงินล้าน ก็อยู่ไม่ไกลเกินฝัน เพียงเราเลือกลงทุนให้ถูกที่ และมีวินัยสม่ำเสมอ จากเงิน 5,000 บาท ก็มีโอกาสกลายเป็นเงินล้านได้ ไม่ยากเกินฝันเช่นกัน

หากใครต้องการเครื่องมือช่วยลงทุนดี ๆ แบบนี้ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่าย ๆ ด้วย ttb smart port ซึ่งมีโปรโมชันพิเศษ 3 ต่อ !!

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง