จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การส่งออก (อังกฤษ: export) หมายถึง การจัดส่งสินค้าและบริการจากต้นทางสู่ปลายทางในทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ โดยผู้ส่งสินค้าหรือบริการออกเรียกว่า "ผู่ส่งออก" ส่วนในทางการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกหมายถึง การขายสินค้าและบริการในประเทศไปสู่ตลาดอื่น (ตลาดสากล)
ในการส่งออกและนำเข้าซึ่งสินค้าจะต้องมีหน่วยงานที่ต้องเกี่ยวข้องด้วยคือ กรมศุลกากร แม้ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือส่งออกผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตเองก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับกรมศุลการกรด้วย และที่สำคัญต้องอยู่ภายใต้กฎหมายการนำเข้าและส่งออกของประเทศนั้น ๆ[1]
ความสำคัญของการส่งออกในประเทศไทย[แก้]
ในประเทศไทยมักพบว่าสินค้าทางการเกษตรเกินอุปทานของตลาดในประเทศอยู่เสมอ การส่งออกจึงเหมือนเป็นการลดปริมาณสินค้าที่เกินความต้องการของตลาดลง และในภาคอุตสาหกรรมมีบริษัทที่ผลิตสินค้าที่ต่างประเทศต้องการโดยเฉพาะ อาทิ สินค้าทางเกษตรบางประเภท สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปี พ.ศ. 2555 พบว่าไทยมีรายได้จากการส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนออกสูงถึง 831,752.3 ล้านบาท โดยตลาดการส่งออกที่สำคัญได้แก่ จีน อาเซียนและยุโรป ดังนั้นการส่งออกจึงช่วยให้เกิดการขยายการจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย[2][3]
ความสำคัญของภาคการส่งออกสามารถแบ่งได้ดังนี้[แก้]
1. ผลักดันในด้านการขยายการลงทุนและสร้างความต้องการแรงงาน
2. ช่วยในการนำเข้าเงินตราต่างประเทศ
3. ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากร (Value Added)
5. เป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตลง (Economy of Scale)
6. ช่วยสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
7. ช่วยลดการพึ่งพิงสินค้าจากต่างประเทศ
การอ้างอิง[แก้]
- ↑ Joshi, Rakesh Mohan, (2005) International Marketing, Oxford University Press, New Delhi and New York ISBN 0-19-567123-6
- ↑ ความสำคัญของการส่งออกจากเว็บไซต์ Nidambe11.com Archived 2012-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนสืบค้นวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09.59 น.
- ↑ มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปีพ.ศ. 2555 จากเว็บไซต์ ThaiBiz.netสืบค้นวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.11 น.
การนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ในปัจจุบันมีความสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติมโตมากขึ้น เพราะผู้ที่นำเข้าสินค้า จะสามารถหาสินค้าที่มีรูปแบบใหม่ คุณภาพดี หรือราคาถูกกว่าในประเทศของตน และผู้ส่งออกสามารถขายสินค้าที่ตัวเองผลิต ไปยังประเทศต่าง ๆ ได้
การนำเข้า (Import)
การนำเข้า (Import) คือ การนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ เพื่อเข้าในประเทศ โดยสินค้าที่นำเข้า ส่วนใหญ่จะสินค้าที่มีต้นทุนถูก เป็นสินค้าที่ไม่มีในประเทศ หรือผลิตในประเทศไม่ได้ ซึ่งจะขนส่งผ่านกันมาทางเรือ ทางเครื่องบิน มักจะส่งตรงมาจากโรงงานเลย เพราะต้นทุนของสินค้าจะถูกลงกว่าตลาดทั่วไปในการนำเข้าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่กรมศุลกากรและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าได้หนดไว้ให้ครบถ้วน รวมถึงจัดเตรียมเอกสาร และศึกษาขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้า
ในการนำเข้าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่กรมศุลกากรและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าได้หนดไว้ให้ครบถ้วน รวมถึงจัดเตรียมเอกสาร และศึกษาขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้า
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการนำเข้าสินค้า
- ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Declaration)
- ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (B/L-Bill of Lading), ทางอากาศ (AWB-Air Way Bill)
- บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
- บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List)
- ใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการนำเข้า (ถ้ามี) (Import License)
- ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (กรณีขอลดอัตราอากร) (Certificates of Origin)
- เอกสารอื่น ๆ เช่น แคตตาล็อก เอกสารแสดงส่วนผสม ฯลฯ
การส่งออก (Export)
การส่งออก (Export) คือ การจัดส่งสินค้า หรือขายสินค้าภายในประเทศ ไปสู่ประเทศอื่น จากต้นทางไปยังปลายทาง ในทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ เป็นต้น
ในการส่งออกจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวกับข้อง คือ กรมศุลกากร เพราะในการส่งออกสินค้าแต่ละครั้งต้องผ่านพิธีการศุลกากร โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะส่งข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามกฎหมาย และข้อกำหนดของศุลกากรกำหนดไว้ เพื่อดำเนินการต่อให้สินค้าสามารถที่จะส่งออกได้
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการส่งออกสินค้า
- ขนสินค้าขาออก (Export Declaration)
- บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
- ใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการส่งออก (ถ้ามี) (Export License)
- ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (ถ้ามี) (Certificates of Origin)
- เอกสารอื่น ๆ เช่น แคตตาล็อก เอกสารแสดงส่วนผสม ฯลฯ
การนำเข้า-ส่งออกสินค้า จะมีการเก็บ ภาษีศุลกากร (Customs Duty) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้า หรือส่งออกไปต่างประเทศ ตามที่บัญญัติในกฎหมายศุลกากร และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ตลอดจนกฎหมายอื่นที่กำหนดให้เป็นอากรศุลกากร
ภาษีศุลกากรจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อากรขาเข้า และ อากรขาออก โดยมี กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการจัดเก็บ
อากรขาเข้า คือ การเก็บภาษีจากสินค้าที่นำมาให้ หรือบริโภคในราชอาณาจักร ซึ่งการคำนวณค่าภาษีจะคำควณตามสภาพสินค้า ราคา และพิกัดของอัตราศุลกากร
อากรขาออก คือ การเสียภาษีหรือจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนที่จะนำสินค้าออกจากนอกประเทศ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดย ตัวแทนออกของศุลกากร เพื่อที่จะสามารถส่งสินค้าไปต่างประเทศได้ ซึ่งกรมศุลกากรมีการกำหนดให้สินค้าว่าออก
ที่มา: blog.giztix
SHARE THIS NEWS & ACTIVITIES
Line