แพลนเที่ยวเกาหลี 5 วัน 4 คืน 2022

เราเคยไปลุยที่เที่ยวโซลมาแล้วเมื่อประมาณสิบปีก่อน ในยุคที่ Wonder Girls กับ Girls’ Generation กำลังรุ่งเรืองพอดี แต่ด้วยความที่ไปแบบทัวร์ ไปกับคุณนายแม่ที่รักการเดินทางสายนั่งรถ เราเลยไม่ค่อยได้สัมผัสโซลในแบบที่เราอยากรู้จักเท่าไหร่ มารอบนี้เลยตั้งใจไปเอง รีเสิร์ชร้านไว้นิดหน่อย ที่เหลือกะว่าเดินดูเอง เจออะไรน่าสนใจก็แวะ กลายเป็นได้ทริป เที่ยวเกาหลี 5 วัน 4 คืน ถ่ายรูป / กิน / ช็อป จุใจในกรุงโซล ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ได้ทั้ง A must และ Random ในอัตราส่วนที่กลมกล่อม

วันที่ 1 - อิ่มจนจุกในย่านยองดึงโพ ต่อด้วยช็อปปิงในย่านฮงแด

เราไปถึงด้วยความหิว ลงเครื่องมาไฟลต์เช้า กว่าจะได้เข้าที่พักก็ปาไปบ่ายกว่า ๆ ตั้งหลักได้แล้วก็หาร้านกินข้าวก่อนเลย แต่เนื่องจากร้านส่วนใหญ่ในย่านยองดึงโพ (Yeongdeungpo) ที่เราพักมักจะออกแนวกินดื่มกลางคืน เวลานี้จึงยังไม่เปิดกัน เห็นมีแต่อาจุมม่าเดินเตรียมของอยู่หลังร้าน

อย่างไรก็ตาม เราไม่หมดหวังง่าย ๆ สำรวจต่อไปจนเจอร้าน Chicken Galbi (รู้เพราะดูจากรูปเอา เห็นมีข้าวผัดรามยอนและอื่น ๆ ลงไปผัดรวมกันมั่วซั่วน่ากินมาก) ตกลงใจทันทีว่าร้านนี้แหละที่ใช่! ถึงชื่อร้านจะอ่านไม่ออกก็ตาม

พอเขายกกระทะมาเสิร์ฟ เข้าใจละว่าความใหญ่มีอยู่จริง!! กระทะก็ใหญ่ เนื้อไก่ก็เยอะ เปิดไฟให้ร้อนสักพักแล้วพนักงานก็จะใส่พวกปลาหมึกตามลงไป ตามด้วยข้าวและชีส ตักกินคำแรก...อร่อยง่ะ ยิ่งถ้าทิ้งข้าวไว้บนกระทะนาน ๆ จนกลายเป็นแห้งหอมกระทะนะ ยิ่งดีงาม รูปหน้าร้านตามนี้เลย ตามมาโดนกันได้ราคาตกอยู่ที่คนละประมาณ 13,000 วอน/คน อิ่มระดับจุก ๆ

มาเกาหลีทั้งทีก็ต้องมีมิชชันเนื้อย่างด้วย แต่อิ่มเบอร์นี้ เลยขอไปเดินย่อยไก่ในย่านฮงแดเสียก่อน ย่านนี้การันตีความร้านเยอะ เป็นแหล่งช็อปเกาหลีแห่งหนึ่งซึ่งใครมาที่เที่ยวโซลต้องไม่พลาด ร้านเครื่องสำอางเกาหลีและเสื้อผ้าเกาหลีอัดแน่นอยู่ในทุกซอยจริง ๆ ร้านเสื้อผ้านั้นราคาจับต้องได้ แถมสีและแบบก็ดีมากกก ส่วนร้านเครื่องสำอางน่ะเหรอ? ก็เดินไปหยิบลิปหยิบอายแชโดว์ลงตะกร้าไปรัว ๆ งงที่ตั้งใจซื้อมากมั้ย...ก็ไม่ แต่ทำไมหยุดหยิบไม่ได้อย่างกับโดนของ

หลังจากที่จ่ายเงินเหนื่อยพอแล้วเบิร์นแคลไปกับการควักเงินเก็บเหรียญ เราก็ทำการแรนดอมร้านเนื้อย่าง ได้เจอร้านหนึ่งโอ่อ่าดี (แม้ชื่อร้านจะอ่านไม่ออกอีกแล้ว) ตอนเข้าไปบังเอิญเจอแก๊งคนไทยเดินสวนออกมา กลิ่นเนื้อหอมชื่นใจติดโค้ตออกมาเลย บรรยากาศในร้านกันเองมาก ๆ ใช้วัสดุไม้ธรรมดา ๆ แบ่งซอยเป็นโต๊ะเล็ก ๆ มีชั้นวางผักกาดหอม กระเทียม พริก เต้าเจี้ยว ให้ตักกินเองแบบไม่หวง ถ้าหิวน้ำก็หยิบเองได้เลยจากตู้น้ำเล็ก ๆ ซึ่งมีน้ำอัดลมและโซจูรสต่าง ๆ ให้เลือก

คุณป้าพนักงานน่ารัก เอาใจใส่ เราลองสั่งเนื้อตามที่เขาแนะนำ ได้มาเป็นเนื้อขนาดกินได้สัก 3 คน พร้อมเครื่องเคียงเยอะสะใจ เนื้อติดมันกำลังดี ย่างแล้วนุ่ม หอม นำไปจุ่มน้ำมันงาแล้วคีบวางบนผักกาดหอม กระเทียมย่าง เอาพริกเขียวเกาหลีสไลด์จิ้มเต้าเจี้ยวมาวาง ยัดเข้าปาก ตามด้วยข้าวครึ่งค่ำฟินเวอร์ไปเลยย มีความสุขสุด ๆ บรรยากาศข้างในร้านครึกครื้น กิน ๆ ไปเห็นคนไทยตามเข้ามากินอีกสองโต๊ะ บอกเลยว่ามีความสุขกับโมเมนต์นี้เหลือเกิน

จากนั้นเราก็ไปเดินดูตามซอยต่อ ขณะแวะซื้อของกระจุกกระจิกอยู่ก็เจอร้าน Baskin Robbins เราชอบ Baskin Robbins ของญี่ปุ่นกับเกาหลีมาก คือแบรนด์นี้ตอนอยู่ที่ไทยดูเหมือนจะขายไอศกรีมธรรมดา ๆ แต่ของที่เกาหลีกับญี่ปุ่นจะมาแรง มีเมนูใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ช่วงที่เรามาเขาโคกับ Sesame Street ทำพวกถ้วยน่ารักเวอร์ สั่งรสลิมิเตดช่วงฮาโลวีน Wizard’s Halloween มาลอง เป็นช็อกโกแลตมินต์ราสป์เบอร์รี ตัวช็อกโกแลตขมกำลังดี มินต์ก็หอมเย็น รสเปรี้ยวของราสป์เบอร์รีก็แทรกเข้ามาอย่างพอเหมาะ แบ่งกันกินสองคนหมดเร็ว ส่วนถ้วยที่ว่าน่ารัก ๆ ก็ไม่ลืมล้างน้ำเก็บเข้ากระเป๋า กลับที่พักอย่างมีความสุข ปิดวันแรกไปได้อย่างงดงาม

วันที่ 2 - ล่าคาเฟ่เกาหลีถ่ายรูปสวย จากมหาวิทยาลัยซุกมยองถึงเมียงดง

วันที่ 2 เราตื่นสาย เลยเดินเข้าห้าง "LOTTE" ซึ่งหรูหราอารมณ์เอ็มควอเทียร์ ศูนย์อาหารที่นี่มีของกินให้เลือกเยอะ แต่เราขอกินเร็ว ๆ กลัวไปคาเฟ่ไม่ทัน สุดท้ายตัดสินใจเลือกคิมบับกับเกี๊ยวแล้วกัน อร่อยได้มาตรฐาน สะดวกดี

เราไปต่อที่ “MND Coffee” ร้านนี้มาเพราะขนมปังเลย เห็นรูปแล้วกรี๊ดกร๊าด เค้าปาดครีมได้น่ารักโคตร ทั้งสีทั้งลาย คิดไว้ว่าต้องต้องตามไปซื้อมาถ่ายรูปให้ได้! สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า พวกร้านในโซลจะชอบทำป้ายหน้าร้านเหมือนกลัวคนหาเจอ ร้านนี้ก็เหมือนกัน ต้องใช้สกิลส่องหาพอสมควร จนได้เจอร้านอยู่ใต้ตึกเล็ก ๆ ในซอยเล็ก ๆ ย่าน Sookmyung Women’s University

พอเข้ามาแล้ว ร้านเล็กก็จริง แต่บรรยากาศนี่ไม่ใช่เล่น ๆ ดูออกเป็นสไตล์มินิมอลติดหรูเล็ก ๆ ใช้สีโทนอ่อนสะอาดตา สั่งขนมและเครื่องดื่มเรียบร้อย แค่เดินมานั่งรอสักพักทางร้านก็เตรียมทุกอย่างเสร็จ แล้วเรียกเราเดินไปยกมาเองสไตล์ Self Service ได้น้ำกับขนมมาวางบนโต๊ะปุ๊บเรากับแฟนก็ถ่ายรูปกันสนุกสนาน

ขอบอกเลยว่า คาเฟ่เกาหลีร้านนี้ Photogenic มากเวอร์ แสงก็ดี ขนมก็ดี ถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็ลงมือชิมขนมที่สั่งมา "Wave Toast" ใช้ขนมปังนุ่ม เนื้อหยาบ แต่เบา ทาครีมไล่สีที่ทำจากครีมชีสแบบตีไม่ผสมน้ำตาลแทรกเค็มเบา ๆ ผสมเป็นโทนสีสวยงาม ด้านในระหว่างชั้นขนมปังแผ่นที่สองก็มีวิปครีมกับแยมแอปพริคอตหวานนิด ๆ ทาอยู่ พอกินรวมกันแล้วดีมาก ไม่หวานเกิน ส่วนลาเต้กับบราวนีรสชาติกลาง ๆ บราวนีเนื้อออกเป็นแนวมัฟฟินมากกว่า ส่วน "Green Grape Soda" ดีกว่าที่คาด เราแอบเห็นเขาใช้เบสน้ำองุ่นจากขวดสำเร็จ แต่รสชาติไม่สำเร็จรูปนะ เป็นเบสน้ำปนเนื้อองุ่นเขียว กลิ่นหอมองุ่น ใส่โซดาหวานน้อยกำลังดี ร้านนี้สรุปชอบและประทับใจ เมนูน้อยแต่คิดมาแล้ว

กินเสร็จเราก็ไปเดินช็อปปิงกันต่อที่ย่านเมียงดง แน่นอนว่าจะต้องมาแวะที่ “Pink Pool Cafe Stylenanda” หลังจากโดนกองทัพลิปสติกและอายแชโดว์กันไปอย่างยับเยินที่ชั้น 1 และ 2 เราก็แวะขึ้นไปที่ชั้นคาเฟ่ โดยจะมี 2 ชั้น คือชั้น Pool Cafe กับชั้น Deck แต่วันนี้มีฝนตกปรอย ๆ ชั้น Deck ก็เลยปิด อดไป เลยมานั่งกันชั้น Pool Cafe ด้านล่างโซนจัดได้มีรายละเอียดน่ารัก ใช้ดีเทลของสระว่ายน้ำตกแต่งทั้งโซน มีเคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ ให้สั่งน้ำสั่งขนมกินได้ เราสั่งลาเต้ร้อนที่มีสายไหมข้างบน หนีบสายไหมไว้ด้วยฐานเหล็กให้ไอน้ำร้อนลอยขึ้นไปโดน จะละลายเป็นน้ำเชื่อมหยดลงมา เป็นกิมมิกคิวต์ ๆ น่ารัก แต่กินแล้วก็เป็นสายไหมธรรมดา ตัวกาแฟถือว่าใช้ได้ในมาตรฐาน Theme Cafe ส่วนขนมลองสั่ง Lemon Cake มา เนื้อแป้งค่อนข้างกระด้าง ผิดหวังนิด ๆ

วันที่ 3 - ทัวร์คาเฟ่เก๋ กินอาหารโลคอล ช็อปสินค้ากุ๊กกิ๊ก ในย่านมังวอน

เช้าวันต่อมาเราไปที่ย่านมังวอน (Mangwon) กะว่าจะเริ่มต้นวันด้วยกาแฟดี ๆ สักแก้ว หาจากอินเทอร์เน็ตก่อนมาเจอคาเฟ่เกาหลีชื่อ “Social Club Seoul” ดูสวยงามน่านั่ง พอไปถึง ร้านโล่งมาก เป็นแนววินเทจ อารมณ์เหมือนไปเจอบ้านเก่าในยุโรปที่ไม่มีใครอยู่อาศัย มีผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์

เราสั่งลาเต้เย็น "Manggo Milktea" แล้วก็ "Choccolate Cake" สำหรับเราทุกอย่างรสค่อนข้างจืดชืด ถ้าจะแนะนำคนอื่น ๆ ก็ว่าผ่านไปถ่ายรูปเฉย ๆ น่าจะพอแล้ว

หลังจากผิดแผนกับกาแฟช่วงเช้า เราก็เดินเล่นกันต่อในบริเวณใกล้ ๆ ย่านมังวอน นี้ดูไปแล้วมีความคล้ายกับย่านจิยูกาโอกะ (Jiyugaoga) ของโตเกียว คือเป็นย่านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านเล็ก ๆ แทรกอยู่ เดิน ๆ ไป จู่ ๆ ก็เจอร้านน่าสนใจอยู่หลายร้านเหมือนกัน

และแล้วเราก็เดินผ่านร้านที่มีชื่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษเล็ก ๆ ว่า "Ha Sim Jeong" ที่เหลือมีแต่ภาษาเกาหลี อ่านไม่ออกเลย แต่จากภาพประกอบแล้วคิดว่าเป็นร้านขายอาหารชุดแบบเกาหลีดั้งเดิม ทำโดยคนเกาหลีแท้ ๆ สังเกตดู คนเกาหลีก็เข้าไปกินเยอะอยู่ เราเลยลองเข้าไปดูค่ะ

เข้าไปถึงก็สื่อสารกับเขายาก เพราะพนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยได้แต่ชี้ ๆ บอก ดูเมนูแล้วไม่ได้มีอะไรให้เลือกมากนัก เป็นพวกอาหารเซตกลางวัน เราก็ใช้ภาษามือบอกว่าว่าเอาสองเซตละกัน

ระหว่างนั่งรอมองไปรอบตัว เห็นคนเกาหลีพาครอบครัวมานั่งกินบ้าง พาเพื่อนร่วมงานมาบ้าง เลยเข้าใจว่าน่าจะเป็นร้านคนท้องถิ่นจริง ๆ สักพักอาหารก็มา เป็นรถเข็นเลย อาหารเยอะมากกก เครื่องเคียงต่าง ๆ ทยอยขึ้นโต๊ะ พริกทอด ยำวุ้นเส้น ปลาทอด หมูสามชั้น ไข่ตุ๋น สาหร่าย ผักดอง สลัด มะเขือยาวทอด มะระดอง กิมจิ แตงกวา ซุปสาหร่าย ตามมาด้วยข้าวเสิร์ฟในหม้อเล็ก ๆ ให้คนละหม้อ

พนักงานเห็นเรานั่งอึ้งก็เลยมาช่วยสอนให้ตักข้าวจากในหม้อลงชามเกือบหมด ทิ้งแผ่นข้าวแห้ง ๆ ให้ร้อนต่อในหม้ออีกสักพัก แล้วค่อยใส่ชาร้อนลงไปก่อนจะปิดฝา หลังเรากินข้าวสวยที่ตักออกมาตอนแรกหมด เปิดหม้อมาอีกทีก็จะได้ข้าวต้มใบชากินต่อ ข้าวต้มนี้กลิ่นหอมมาก ผสมกันระหว่างกลิ่นข้าวไหม้ ๆ กับน้ำชา ตอนเห็นรู้สึกเหมือนเยอะเกิน แต่กินหมดแฮะ ราคาก็ไม่แพงเลย เพียงคนละประมาณ 13,000 วอนเท่านั้นเอง

หลังจากอิ่มข้าวกลางวันแล้วเราก็เดินเล่นกันต่อ ย่านนี้มีร้านเก๋ ๆ เยอะเลย ราคาก็ย่อมเยา ร้านเสื้อวินเทจมือสองหลายร้านราคาดีมาก ตัวละ 10,000 วอน คิดเป็นเงินไทยก็แค่ประมาณ 300 บาท สภาพสะอาด ดีไซน์น่ารัก พวกกระเป๋า ถุงผ้า อะไรก็มี น่าซื้อไปหมดเลย

และแล้วเราก็เดินมาจนกำลังจะไปถึงร้านกาแฟในเกาหลีอีกร้านที่ลิสต์ไว้ก่อนมา แต่สะดุดตากับดีไซน์ร้านสวย ๆ ร้านหนึ่งเสียก่อน มองเข้าไปเป็นร้านแนวชาเขียว ในตู้เค้กมีชีสเค้กชาเขียวที่ไล่โทนสีเขียวเป็นระดับ กรี๊ดสิคะ เก๋ขนาดนี้ แวะไปเข้าสั่งทันที ส่วนแฟนเราชอบชาเขียวบรรจุขวด ก็เลยสั่งมาลองด้วย อ้อ! ชื่อร้านคือ “Nocturne NO.5” ค่ะ

ตอนกำลังจัดฉากถ่ายรูปกัน ก็เพิ่งสังเกตว่าในร้านมีคนไทยอยู่หลายโต๊ะ แล้วทุกคนก็กินไอศกรีมชาเขียว เลยมาคิดว่า จริง ๆ แล้วร้านนี้เขาน่าจะเด่นด้านไอศกรีมชาเขียวที่มีความเข้มเรียงกันหลายระดับ แต่เรามัวแต่ตื่นเต้นกับชีสเค้กเลยไม่ได้สั่ง จะสั่งก็กินไม่ไหวแล้ว เสียดาย ไว้รอบหน้าค่อยไปลองใหม่ละกัน ส่วนตัวชีสเค้กรสชาติกินง่าย หวานน้อย ไม่เปรี้ยวจัด กลิ่นชาเขียวร้านนี้ออกไปทางหอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเราชอบแนวเข้ม ๆ กลิ่นทางสาหร่ายแบบญี่ปุ่นมากกว่า ส่วนชาเขียวขวดรสกลาง ๆ ยอมให้ที่ขวดสวย โดยรวมแล้วร้านนี้ถือว่าคู่ควรแก่การไปโดนร้านหนึ่งเลยล่ะ

จบจาก Nocturne NO.5 เราก็มุ่งหน้าไปร้าน “Vacant Shop” ที่เราตั้งใจไว้แต่ต้น พอไปถึงไม่มีคนเลยแฮะ มองผ่าน ๆ นึกว่าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์เสียอีก เก๋มาก ร้านนี้มีโต๊ะอยู่ตัวเดียว ล้อมรอบด้วยเก้าอี้แบบต่าง ๆ แต่ด้วยความโต๊ะมันใหญ่มาก ดังนั้นคิดว่าลูกค้าคงไม่อึดอัดถ้าต้องนั่งด้วยกัน ตอนนั้นเรากับแฟนเป็นลูกค้าแค่สองคนในร้าน ก็เลยใช้พื้นที่ได้ตามสบาย ถ่ายรูปกันมัน

สำหรับเครื่องดื่ม เราสั่ง “White Cream Ice” เป็นกาแฟท็อปด้วยครีมหวานละมุน มีซอสคาราเมลเล็ก ๆ ตรงขอบแก้ว แก้วนี้หอม ๆ ไม่เลี่ยน แล้วก็ได้รสกาแฟกำลังดีเลย ส่วนของแฟนเราเป็นน้ำเลมอน อร่อยสดชื่น มีขูดผิวเลมอนมาด้วยกลิ่นเลยหอมแรง ใช้น้ำเลมอนล้วน ร้านนี้เครื่องดื่มใช้ได้เลยค่ะใครมาน่าจะไม่ผิดหวัง

ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เราไปต่อกันอีกร้านค่ะ กลัวเก็บไม่ครบ XD คราวนี้เป็นคาเฟ่เกาหลีชื่อ “Onion” ในย่าน Seongsu ซึ่งพลาดไม่ได้จริง ๆ เสิร์ชมาแล้วว่าฮอตฮิตสุด ๆ เรามาถึงช่วงห้าโมงเย็นวันธรรมดา แต่คนก็ยังค่อนข้างเยอะอยู่ เลยคิดว่าถ้าเสาร์ - อาทิตย์อาจจะไม่เหลือที่นั่งแน่ ๆ แนวร้านออกดิบ ๆ ปูน ๆ มีเคาน์เตอร์กาแฟและเครื่องทำกาแฟที่ใหญ่มากและเท่มาก มีโต๊ะดิสเพลย์ขนมปังไว้หลากหลาย ขนมปังร้านนี้ไม่ได้เป็นแบบที่เห็นกันทั่ว ๆ ไปนะ แต่เป็นขนมปังเก๋ ๆ รูปร่างและรสชาติแปลกใหม่

เราลองเมนูที่เห็นคนหยิบกันเยอะสุด คือ “Pandor” เป็นขนมปังที่เนื้อเกือบเป็นเนื้อเค้กแบบมัฟฟินฉ่ำเนย โรยไอซิงเป็นกองอยู่ด้านบน ตอนแรกคิดว่ากินแล้วต้องหวานสุด ๆ แน่ ๆ กลายเป็นว่าไม่ได้หวานขนาดนั้น เนื้อขนมฉ่ำ ถูกใจกว่าที่คิด กินได้เรื่อย ๆ เลย อีกเมนูที่ได้ลองคือขนมปังไส้กรอก “Chilli Sauage Croissant Stick” เนื้อแป้งออกเป็นแนวโดนัท เราคิดว่าคงใช้วิธีทอดแบบโดนัท แล้ววางไส้กรอกแทรกด้วยซอสพริกรสเผ็ด ชอบเมนูนี้มาก กินแป๊บเดียวหมด ตัดเลี่ยนจากกองทัพของหวานทุกอย่างของวันนี้ได้ดี สำหรับกาแฟ รสจะออกไปทางหนัก ๆ กว่าทุกร้านที่ชิมมา ถูกใจสุด ๆ

ตัวร้าน Onion แบ่งเป็นโซน ๆ เท่ทุกโซน ที่เราชอบที่สุดคือโซนด้านหลัง เป็นโต๊ะยาว Outdoor คงเป็นเพราะอากาศดีด้วย กำลังเย็นสบาย มีใบไม้เปลี่ยนสีเบา ๆ ไปนั่งกินขนมตรงนั้นแล้วมีความสุขมากเลย ขอแนะนำใครที่จะไปเที่ยวเกาหลีว่าพลาดไม่ได้จริง ๆ

วันที่ 4 - เที่ยวย่านอิแทวอน ดูวาดลายกาแฟ ช็อปเครื่องหอม

มาถึงเช้าวันใหม่ ได้เวลาออกไปตามล่ากาแฟกันอีกครั้ง! คราวนี้มาที่ย่านอิแทวอน (Itaewon) สุดเก๋ ดูแพง อารมณ์เหมือนเอกมัยหรือย่านโอโมเตะซันวอน (Omotesando) ของโตเกียวมาก มีช็อปของแบรนด์นอกใหญ่ ๆ เรียงรายสวยงามตามถนน เราเดินขึ้นเนินเขากันไปหาร้านที่ชื่อว่า “Parched Seoul” ซึ่งได้ข่าวมาว่ากาแฟสุดยอดมาก ผลปรากฏว่าหาแทบไม่เจอแหละ เพราะร้านนี้ก็ยังคงคอนเซปต์กลัวคนหาเจอเหมือนหลายร้านที่เจอมา ป้ายร้านมีแค่เป็นสติกเกอร์ขาด ๆ แปะตรงเสาไฟฟ้าหน้าซอยอยู่หนึ่งต้น กับตรงกำแพงอีกแถบเล็ก ๆ ทางเข้าก็ลึกลับเหลือเกิน

แต่พอเดินเข้าไปแล้วบรรยากาศเปลี่ยนเลย โอ้โห! คนเต็มไปหมด คนเกาหลีเพียบ ในนี้แต่งเป็นยุคเรโทรแบบเท่ ๆ เล่นสีแดงเขียวกับไม้โทนอุ่น เมนูมีไม่เยอะนัก เราเลือก “Ice Black Single Origin” ขนมในร้านเห็นมีชีสเค้ก แต่เราไม่ได้สั่ง

กาแฟเสิร์ฟมาในแก้วกระดาษซ้อนกันสองชั้น ปั๊มโลโก้เล็ก ๆ ไม่ว่าจะสั่งเมนูร้อนหรือเย็น ลองชิมกาแฟแล้วว้าวเลย ยกให้เป็นร้านกาแฟในเกาหลีที่ดีที่สุดในทริป รสกาแฟออกเข้มถึงเข้มมาก แต่ไม่บาดคอ มีกลิ่นหอมไปทางดอกไม้ กับมีกลิ่นช็อกโกแลตนิดหน่อย กินหมดแก้วไม่เหลือเลย แฮปปี้สุด แนะนำว่าเป็นอีกร้านที่ควรโดนมาก ๆ

ดื่มกาแฟเสร็จแล้ว เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ไปถึงร้าน “C.Through Cafe” เป็นร้านกาแฟในเกาหลีที่ดังเพราะสองอย่าง หนึ่งคือฝีมือการวาดลายบนกาแฟ สองคือโอปป้า!

สำหรับเราโอปป้าไม่ใช่แนว (ฮ่าๆ) แต่เรื่องวาดลายกาแฟเขาเก่งจริง ในเมนูมีกาแฟให้เลือกเยอะดี ออกเป็นสไตล์ล้น ๆ เยิ้ม ๆ ส่วนลายแบบเขียนหน้ามีให้เลือกสี่ลาย ได้แก่ ลายชาร์ลีบราวน์ 2 แบบ กับลายหมาชิบะ 2 แบบ เราเคยเห็นรูปใน Instagram มีคนให้เขาวาดลาย Starry Night ของแวนโก๊ะ เลยถามถึงดู เขาบอกว่าลายพิเศษรับทำแค่เสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ราคาก็ตามความยากง่าย สรุปก็เลยเลือกเป็นลายชาร์ลีบราวน์มาแทน

แอบดูตอนเขาวาด น่าจะใช้วิปเบสที่เป็นเหมือนวิปครีม Non Dairy เทแบบไม่ตี เป็นวิปเหลวลอยเป็นหน้า แล้วค่อยผสมสีเขียนเป็นลายเอา เก่งดี มีคนยืนดูวิธีทำเต็มเลย

พอของเรามาเสิร์ฟ ชิมดูแล้วรสชาติออกไปทางหวาน แอบเลี่ยนครีมที่เขาวาดหน้าด้วยเลยดื่มไม่หมด แต่ตัวกาแฟข้างใต้ก็ใช้ได้อยู่ ส่วนของแฟนเราสั่งเป็นทีรามิสุลาเต้ ชิมแล้วเป็นทำนองเดียวกัน ใครชอบดื่มกาแฟหวาน ๆ กับชอบลายการ์ตูนน่ารักน่าจะชอบร้านนี้มาก

เราเดินออกจากร้าน เดินต่อไปเรื่อย ๆ เดินผ่านร้านหนึ่งสวยเก๋สะดุดตา เป็นร้านช็อกโกแลตชื่อ “Sayoo” ขอแวะเข้าไปเดินดูร้าน แต่จะกินกาแฟอีกก็ไม่ไหวละ เลยซื้อช็อกโกแลตบาร์แบบรวมรสกลับบ้านกล่องเล็ก ซึ่งพอชิมแล้วก็ดีแฮะ มีรสดาร์กช็อกถั่วเฮเซลนัต ไวต์ช็อก ราสป์เบอร์รีไวต์ช็อก คุกกี้แอนด์ครีม ที่ร้านนี้มีเค้กดูน่ากินด้วย คราวหน้าจะกลับไปลองเพิ่ม

เดินต่อไปจนถึงร้าน “One in a Million” ร้านสีชมพูสวยน่ารักที่เราเห็นใน Instagram แล้วเรียกร้องจะต้องมา ของจริงเป็นสีชมพูหวานอมพีชแบบเกา ๆ เดินเข้าไปเห็นโต๊ะแนวหินอ่อนขาว มีกุหลาบสีชมพูโทนเดียวกับร้านปักแจกันอยู่ทุกโต๊ะ ผู้หญิงหวาน ๆ น่าจะชอบ ใครเคยไป “Aoyama Flower Market” ที่โตเกียว ร้านนี้ให้อารมณ์เดียวกันเลย

เราสั่ง “Hot Lemon Tea” กับ “Ice Blueberry Lemonade” ด้วยความที่เลี่ยนกาแฟและขนมนมเนยทุกอย่างที่ผ่านมา สรุปว่าดีมาก ชามะนาวออกรสเลมอนชัดเจน มีทั้งผิวและเนื้อเลมอนเยอะมาก ความหวานก็กำลังดี นั่งจิบตอนอุ่น ๆ อร่อยหายเหนื่อย ส่วนบลูเบอร์รีเลมอนก็ออกรสเลมอนชัดเจนเหมือนกัน และมีบลูเบอร์รีเป็นลูก ๆ อยู่เลย

นั่งไปสักพัก พอเริ่มมืด บาริสต้าก็ออกมาจุดเทียนตามโต๊ะให้บรรยากาศสวยอีกแบบ เหมาะสำหรับการเดตหรือมากับแก๊งเพื่อนสาวมาก

กำลังจะเดินกลับ สะดุดกับกลิ่นหอมอะไรไม่รู้ หอมมากกก อ้าว! นี่มันร้านเครื่องหอม “Cosmic Mansion” ที่อยากมานี่นา พนักงานกำลังเอาสเปรย์ของร้านมายืนพ่น ๆ เรียกแขกอยู่เลย อ่อ...นี่คือกลยุทธ์สินะ ซึ่งแน่นอนว่าได้ผล เราเดินตามเข้าร้านไปแบบไม่มีสติทันที

เข้าไปแล้วก็หยิบทุกอย่างมาดม กลิ่นดีงามมาก รู้สึกถึงความซับซ้อน หอมแบบแพง ๆ ที่พีคคือกลิ่นบางกลิ่นคล้ายน้ำหอมแบรนด์แสนแพงอย่าง Diptyque ที่เราเคยใช้เลย แต่นี่ราคาจับต้องได้มาก ๆ อย่างสเปรย์น้ำหอมบ้านขวดละ 400 - 500 บาท แล้วมีให้เลือกอย่างเยอะ มีทั้งเทียนในถ้วยแบบระเหย หินหอมระเหย ดีไซน์ทุกอย่างสวยงาม ทำเอาอดใจไม่ไหว ซื้อยันไม้ขีดไฟเลยแหละ

วันที่ 5 - ปิดทริปด้วย Cetu คาเฟ่เกาหลีเล็ก ๆ สุดหายาก

และแล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ก่อนไปขึ้นเครื่องเราขอแวะคาเฟ่เกาหลีอีกแห่งที่กำลังดังในหมู่คนเกาหลี นั่นก็คือร้าน “Cetu” ซึ่งอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Euljiro 3 - ga เราเห็นเค้กแคร์รอตหน้าตาน่ารักในกล่องโฟมมาจาก Instagram เหล่าบล็อกเกอร์เกาหลี ก็เลยอยากมาลองบ้าง

แต่กว่าจะเจอร้าน ขอบอกเลยว่าร้านนี้หายากที่สุดของที่สุด คือมันเป็นแค่ห้องห้องหนึ่งในหอพักแถวนั้น ซึ่งต้องเดินขึ้นไปถึงชั้นสี่ แล้วประตูทางเข้าคือประตูหอพักชัด ๆ ถ้าไม่สังเกตเศษแผ่นโปสเตอร์ชื่อร้านที่แปะอยู่ตรงประตูแล้วคงไม่มีโอกาสเจอ ขนาดร้านก็เล็กมากจริง ๆ ประมาณ 30 ตารางเมตรเท่านั้น ไปถึงก็มีคนยืนรอคิวอยู่ก่อนแล้ว เราต้องไปยืนต่ออยู่แถว ๆ หน้าประตู

ระหว่างรอ เรามอง ๆ ไปภายในร้าน เขาทำร้านได้แบบเรียบง่ายที่สุดของที่สุด เหมือนแค่มีคนย้ายออกแล้วทาสีขาวทับ ๆ จากนั้นไปเอาโต๊ะเก้าอี้มาวาง มีเคาน์เตอร์เล็ก ๆ หนึ่งตัวเอาไว้วางเครื่องคิดเงินเล็ก ๆ แล้วก็เอาม่านมากั้นแบ่งโซนหลังร้าน แค่นี้ พอละ แต่โดยรวมน่ารักแหละ เลยรู้สึกว่า...เออจริง ๆ แล้วร้านจะตกแต่งแบบไหนก็ได้ ถ้าทำดีคนก็มาอยู่ดี

พอได้โต๊ะก็ได้เวลาสั่งของกิน เมนูร้านนี้น่ารักมาก ๆ เป็นแผ่นกระดาษไซส์ A7 เขียนด้วยลายมือแปะอยู่บนโต๊ะสองแผ่น ตัวเลือกไม่มากนัก มีแค่ลาเต้ช็อกโกแลตร้อน น้ำอื่น ๆ อีกนิดหน่อย แล้วก็ เค้กแคร์รอต แล้วก็แครกเกอร์มัทฉะ เห็นอย่างนี้เราก็จัดการสั่งมาเกือบทุกเมนูเลย

รอไม่นานพนักงานก็จัดเครื่องดื่มและขนมลงถาดเรียบร้อย ให้เราเดินไปยกเอาเอง เล็งแล้วว่าเอามาถ่ายรูปต้องน่ารักเวอร์ ช็อกโกแลตร้อนเป็นรูปคุณสโนว์แมน รสชาติถือว่าใช้ได้เลย ใช้ช็อกโกแลตดี แถมเติมไม่อั้นด้วยนะ ตัวเค้กแคร์รอตนี่ก็ฟรอสติงหนาสะใจ ชิมแล้วชอบมากกก รู้เลยว่าใช้ครีมชีสคุณภาพดี ไม่หวานเกิน แต่พอชิมเนื้อเค้กกลายเป็นว่ามันไม่มีเนื้อแคร์รอตอยู่เลย ไม่มีถั่วด้วย แอบงง ไม่เคยเจอแบบนี้ อย่างไรก็ตาม รสชาติถือว่าผ่าน เนื้อเค้กนุ่มเบา ไม่แห้งด้าน กินง่าย ส่วนตัวแครกเกอร์ครีมมัทฉะไม่มีความหวานเลย รสชาติเข้มดี มีไส้ถั่วแดงเสริมมาด้วย พอกินทั้งคำเลยได้ความหวานกำลังดีจากถั่วแดง สั่งมากินกับเครื่องดื่มเวิร์กมาก

เรียกได้ว่าร้าน "Cetu" นี่มีสไตล์ที่เป็นเสน่ห์ของตัวเองจริง ๆ เข้าไปดูใน instagram ของร้านเลยได้รู้ว่าขนมของเขาจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ด้วยนะ อย่างเซตเค้กแคร์รอตนี่น่าจะเพิ่งมีเลย คราวหน้าเดี๋ยวกลับมาลองอีกว่าจะมีอะไรใหม่

มาดูสรุปเส้นทาง เที่ยวเกาหลี 5 วัน 4 คืนในกรุงโซลอีกสักครั้ง

ส่วนสรุปค่าใช้จ่ายต่อคนก็ตามนี้เลย

- ค่าเครื่องบิน (Jeju Air) 10,753 บาท
- ค่าเดินทางใน Seoul 1,445 บาท
- ค่าที่พัก 4 คืน 3,470 บาท
- ค่าอาหาร 5 วัน 9,250 บาท

รวม 24,918 บาท

ถือว่าเป็นการปิดฉากทริป เที่ยวเกาหลี 5 วัน 4 คืน ถ่ายรูป / กิน / ช็อป จุใจในกรุงโซล ของเราอย่างสวยงาม ใครมีวันลาพร้อมแล้วมาเที่ยวตามรอยเลยก็ได้ หรือถ้าอยากซ้อมสัมผัสบรรยากาศเกา ๆ ในประเทศไทยแบบประหยัดเวลาไปก่อน ดูนี่ได้ “Korean Town” ที่เที่ยวเกาหลีใจกลางกรุงเทพฯ วันเดียวเหมือนอยู่เกาหลี ส่วนที่เที่ยวอื่น ๆ ไม่ว่าจะในไทยหรือญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ สุดฮิต ติดตามกันได้ทางเพจ Wongnai Travel นะคะ

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง