เหมือน จะเป็นโรค ซึม เศร้า Pantip

เราอยากทราบว่าอาการของโรคซึมเศร้าเข้าข่ายเป็นแบบนี้ไหมหรือแค่อาการเครียดเศร้าธรรมดาคือเราชอบเป็นแบบนี้บ่อยบางวันมีอาการหงุดหงิดรำคาญเพื่อนครอบครัวบางครั้งมีอาการน้อยใจบ่อยน้อยใจจนร้องไห้ตลอดๆในความคิดอยากจะฆ่าตัวตายตลอดชอบคิดว่าเราเป็นตัวปัญหาของทุกคนทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้โกรธง่ายขี้น้อยใจง่ายชอบเก็บเรื่องที่ไม่สบายใจมาคิดจนร้องไห้ชอบคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะเรา

มีใครเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนเราไหมคะ

สวัสดีค่ะ เราเป็นโรคซึมเศร้ามา 2 ปีแล้วตอนนี้กำลังรักษา อาการมีขึ้นมีลงบ้าง บางครั้งเรากลัวอะไรเราก็จะร้องไห้ออกมา มันบอกไม่ถูกจริงๆ เราเกลียดตัวเองที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ จนบางครั้งเราไม่อยากอยู่โลกใบนี้ อยากตายให้จบๆไปเลย เราคิดแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนอื่นเราให้กำลังใจว่ามันต้องผ่านไปให้ได้ แต่เรากลัวที่จะเริ่มต้น เราอยากมีความสุขมากกว่าแต่มันไม่มีเลย ท้อ เศร้า เหนื่อย 3 สิ่งนี้มันอยู่ในหัว เหมือนเรากำลังฝันร้ายอยู่ เราต้องการใครสักคนที่จะรับฟังเรา พาเราออกจากโรคบ้าๆนี่  มีใครไหมที่เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนเราไหมคะ

สังเกตโรคซึมเศร้าด้วยตัวเอง

เรื่องที่อยากจะมาเขียนตอนนี้คือ เรื่องของโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจจะรู้หรือไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็คิดว่าน่าจะป็นแนวทางให้คุณสังเกตตัวเองกันนะคะ พยายามเล่าเท่าที่อธิบายได้ พยายามไม่จม คิดว่าหลายๆคนอาจจะคิดไม่เหมือนกัน แต่อาจจะมีคนที่มีอาการคล้ายๆฉันบ้าง ก็อยากให้ลองเอามาวิเคราะห์ดู

วิธีสังเกตโรคซึมเศร้าด้วยตัวเอง

วิธีสังเกตง่ายๆด้วยตัวเองว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า คือ สังเกตอารมณ์ตัวเองตอนตื่นเช้า

"มีความสุขมั้ย" "คิดอะไรเป็นอย่างแรกหลังลืมตา" "รู้สึกยังไงกับการมองเห็นเพดาน โต๊ะข้างเตียง ชั้นวางของปลายตียง หรือลายผ้าห่ม" ...คนปกติส่วนมากจะจำจุดนี้ไม่ได้ แล้วข้ามไปหยิบมือถือ หรือปิดเสียงนาฬิกาปลุก แต่คนป่วยส่วนมาก โมเมนต์นี้เป็นโมเมนต์สำคัญของวัน ...โอเค ร่างกายอาจจะฟังก์ชันปกติ คือปิดเสียงนาฬิกา ดูเวลา เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วอาบน้ำเตรียมไปทำงาน แต่ใน"สมอง" ย้ำ ว่า "สมอง" มันจะคิด และมีคำถามที่ดูปกติแต่ไม่ปกติดังขึ้นเป็นระยะ เช่น "...เมื่อกี้ตอนลุกเราหายใจแรง" "เหนื่อย หายใจนี่เหนื่อยอย่างงี้เลยหรอ" "รู้สึกไม่ดีเลย" ..."อยากหลับ" ..."ไม่อยากตื่นแล้ว" "ทำไมเราไม่มีความสุข" ...ในขณะที่คำถามต่างๆที่

ตอบไม่ได้ประดังมาในหัว และดูไร้สาระ ร่างกายคุณจะทำงานไปปกติ เราจะเดินไปอาบน้ำ แปรงฟัน หยิบเสื้อผ้า นั่งรถไปทำงาน ทักทายเพื่อน ทำงาน จนถึงตอนพักเที่ยง ...คำถามเราอาจจะหายไปบ้างตอนที่เรานั่งทำงาน เพราะเราจดจ่อที่งาน แต่พอพักเที่ยง คำถามจะกลับมาใหม่ และคำถามจะโยงไปโยงมา ส่วนใหญ่จะมาจบที่ "ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันเป็นคนผิด ฉันไม่ควรตื่นมาตอนเช้าเลย" ประมาณนั้น (...อย่าให้พิมพ์อะไรที่ดาร์กกว่านี้ คือมันมีค่ะ มีแน่ๆ แต่ไม่ได้ต้องการให้การเขียนนี้นำเสนอเรื่องราวชัดเจนในเชิงแบบนั้น)

ถ้าคุณเริ่มมีเสียงในหัว คุยกับตัวคุณเอง หาเหตุผลในการตื่นเช้า ลืมตา หายใจ ค้นหาว่าสิ่งที่ไม่ดีต่างๆมันเกิดเพราะอะไร ปัญหาชีวิตที่มีตอนนี้ทำไม แก้มันยังไงได้บ้าง และเรื่องส่วนมากชอบมาจบตรงที่ คุณ เป็นคนผิด คุณผิด ผิด ผิด ผิด คุณเป็นคนทำให้เรื่องมันแย่ หรือแม้กระทั่งเป็นฉนวนเล็กๆที่ส่งเสริมให้เรื่องมันบานปลาย คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะรับผิดชอบแบบไหนก็ตาม ... และเสียงในหัวพวกนั้น เริ่มทำให้คุณคิดภาพในสมอง ภาพที่ทำให้คุณกลัว ความสูญเสียที่คุณไม่อยากให้เกิด เริ่มระแวงสิ่งของรบตัว นอนไม่หลับเพราะคิดถึงแต่เรื่องราวปละภาพต่างๆ จนในที่สุดและเริ่มเป็นภาพของคุณเองใน"รูปแบบต่างๆ" ที่บางอันก็ดูโง่ บางอันก็ดูเป็นจริง...จนคุณคิดว่ามันเป็นจริงได้ นั่นคือคุณเริ่มมีอาการ"ซึมเศร้าจริงๆ" อย่าตามภาพนั้น อย่าคิดถึงมัน รู้ให้ทัน บอกตัวเองว่า นี่เกิดขึ้นเพราะสมอง เพราะเราป่วย ยอมรับมันค่ะ และไปหาหมอ

--------------------------------------------------------------------
ต้องเศร้าแค่ไหนถึงต้องไปหาหมอ

จำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปหาหมอ คือตอนที่เกิดความรู้สึกว่า ปัญหาที่มีในตัว เยอะมาก เยอะจนหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไง เล่าให้คนอื่นฟังก็ไม่อยากให้คนอื่นคิดมาก กลัวการเล่า กลัวจะสร้างปัญหาใหม่อื่นๆ ตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ทรมาน(เพราะร่างกายเริ่มได้รับผลกระทบ เช่นนอนไม่หลับ ระแวงสิ่งที่ไม่ควรระแวง เริ่มกลัวเหตุการณ์ที่เกิดจากการจินตนาการของเราเอง เป็นต้น) ถ้าเริ่มรู้สึกแบบนี้ และเริ่มรู้สึกว่าต้องทำอะไรซักอย่าง ขอให้ลองไปเล่าให้คนที่ไม่รู้จักฟัง คนที่จะไม่เอาเรื่องเราไปเล่าต่อ คนที่จะฟัง มองหน้า และพยายามเข้าใจ และจะไม่ส่งผลกระทบกับวงจรปัญหาอะไรที่เรามีทั้งนั้น คนที่เราไม่ต้องบอกใครว่าเรารู้จัก และเราไม่ต้องแนะนำเค้าให้ใครรู้จัก ...."จิตแพทย์" (ตอนนั้นฉันก็เลยไปหาหมอ หาแบบไม่ได้นัด ไปนั่งรอ หมอคนไหนก็ได้) จริงๆฉันโชคดีที่ไปหาหมอเอง คิดถึงจิตแพทย์ได้เอง เพราะบางคนเค้าก็ไม่ได้คิดถึง และถ้าคุณมีอาการแบบนั้น อยู่ในภาวะอะไรประมาณนั้นตอนนี้ ขอให้คุณลองเดิมไปพบดู เหตุผลก็อย่างที่บอก เค้าเป็นคนที่ห่างไกลจากวงจรปัญหาในหัวของคุณ และคุณก็ไม่ได้จำเป็นต้องบอกใครว่าคุณไปพบเค้า (สำหรับฉัน คุณไม่จำเป็นต้องบอก เพราะคนอื่นก็อาจจะกังวลเรื่องของคุณมากไป หรือมันอาจจะสร้างปัญหาอื่นเพิ่มได้) ...ถ้าคุณอยู่ในจุดที่ฉํนแนะนำให้ไปพบนี้แล้ว ฉันคิดว่าคุณก็รู้ ว่าคำว่าจิตแพทย์ไม่น่ากลัวเลย ไม่มีความแปลกอะไรเลย คุณไม่มีความอายที่จะต้องไปพบ คุณจะไม่มานั่งคิดว่าทำไมฉันต้องไป ฉันไม่ได้บ้า เพราะคุณ "รู้" ว่าคนทนมันไม่ได้ คุณต้องการทางออก

สังเกต และไม่ว่าอาการจะเป็นแบบนี้ ประมาณนี้ หรือแย่กว่า ขอให้ลองไปพบดูนะคะ

-------------------------------------------------------------
ยาที่หมอสั่ง

ตามความเข้าใจของฉัน และในกรณีของฉัน หมอบอกว่าในเมื่อพบหมอแล้ว เข้าใจว่าอาจจะไม่ได้ต้องการทานยา แต่หมอคงต้องจัดยาให้ ขอให้ทาน เพราะมันน่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึน อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเรื่องนอนหลับ และถ้าหลังทานยาแล้ว หมออยากให้มาพบหมออีกครั้งเพื่อดูอาการ  และถ้าดีขึ้น หลังจากนั้นก็ไม่ต้องมาก็ได้ แต่ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ...สุดท้ายฉันกลับไปพบหมออีกสี่ห้าครั้ง จนรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และต้องควบคุมความคิดตัวเองยังไงบ้าง ยาที่ดีที่สุด คือจิตใจของเรา เมื่อสมองเราแปลก ต้องใจนิ่ง และสู้มัน ถ้าเราไม่อยากตื่นอีกต่อไปแล้ว ให้นึกถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ นึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วเราอยากจะเห็น บางอย่างอาจจะฟังดูไร้สาระก็ช่างมัน ถ้ามันสู้กับสมองเราได้ เป็นหตุผลที่ดีพอจะตอบสมองเรา ให้เราตื่นมาในวันต่อไปได้ ก็ให้คิดถึงมัน ...อย่ายึดกับเรื่องเดียว คิดเรื่องดีๆไว้หลายๆเรื่องถ้าเรื่องนึงไม่เป็นดังหวัง ก็คิดถึงอีกเรื่อง หาเรื่องดี เรื่องไร้สาระที่ดี ใส่ในใจไว้ เพื่อไว้สู้กบสมองตอนเช้า ก่อนนอน หรือตอนอยู่คนเดียว ...สำหรับยาที่เป็นเม็ดๆ หมอคงสั่งยาให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะขอละไว้

---------------------------------------------------------
...จริงๆที่พิมพ์นี่เพราะอาการมันมา มีเรื่องกระตุ้นให้คิดเรื่องเหตุแก่ตัว แต่เพราะใจฉันตอนนี้มีเหตุผลว่า ถ้าฉันจะเป็นอะไรไปตอนนี้ ไอ่คนที่คิดว่าป่วยเป็นโรคคงได้เข้าใจผิดกันไปตลอดชีวิตสิวะ... ฉันเลยนั่งลงเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง

โรคนี้สู้ได้ ถ้าเรารู้ทันสมอง และหัวใจของเรา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ อย่างน้อยฉันก็มีประโยชน์ในพื้นที่เล็กๆตรงนี้ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างต้องขอโทษด้วย และถ้าใครมีอาการถึงขั้นที่เล่านั้น ขอให้ลองไปพบ "คนที่อยู่นอกวงจรปัญหาทุกอย่างและไม่ได้ต้องรู้จักคุณมาก่อนเพื่อจะฟังคุณ"ดูนะคะ เค้าอาจจะช่วยคุณไม่ได้ตลอด แต่อย่างนั้น เวลาคุยกับเค้า(กับหมอ) ก็ช่วยฝึกให้คุณถามคำถามอื่นกับตัวเองเวลาโรคกำเริบ ฝึกให้คุณรู้ทันว่า สิ่งที่อยู่ในหัวฉันตอนนี้มันคือความป่วยไข้ ไม่ใช่เพราะฉันไม่ไหวจริงๆ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง