อยากให้เงินทำงานในแต่ละเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากในแต่ละเดือนมีเงินเหลือเก็บได้แค่ 1,000 บาท ก็สามารถลงทุน หรือเก็บออมในรูปแบบต่าง ๆ จนสามารถสะสมจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ หรือเป็นเงินก้อนใหญ่ ๆ ได้
1.เปิดบัญชีฝากประจำ
เป็นรูปแบบของการเก็บออมที่ง่ายที่สุด และมีความน้อยที่สุด เพียงแค่มีเงิน 1,000 บาท ก็สามารถไปขอเปิดบัญชีฝากประจำกับทางธนาคารพาณิชย์ได้แล้ว ซึ่งการฝากประจำนี้จะให้อัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ทั่วไป แต่มีเงื่อนไขที่ว่า ต้องฝากประจำทุก ๆ เดือน เท่า ๆ กันในแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลา 24 เดือน หรือ 36 เดือน หรือ 48 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% – 2.50% แล้วแต่ละธนาคารจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งเราต้องไปเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคาร เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง นอกจากนี้แล้วการฝากประจำยังได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องเสียภาษี หรือเรียกว่า ปลอดภาษี นั่นเอง
2. เปิดบัญชีกองทุนรวม
ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาหน่อยหากเทียบกับการฝากเงิน โดยเฉพาะในกองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนมันนี่มาร์เก็ต จะเป็นออมที่มีความเสี่ยงไม่สูง แต่ได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณเฉลี่ย 2 – 3% ต่อปี ซึ่งสามารถเลือกลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 500 – 1,000 บาท แล้วแต่บางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะเป็นผู้กำหนด นอกจาก 2 กองทุนดังกล่าวแล้ว บลจ.ต่าง ๆ ยังมีกองทุนให้เลือกออมได้อีกมากมาย เช่น กองทุนหุ้น กองทุนอสังหาฯ กองทุนรวมต่างประเทศ กองทุน ETF กองทุนทองคำ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนประหยัดภาษี อย่าง กองทุน SSF หรือ กองทุน LTF เป็นต้น โดยแต่ละกองทุนก็จะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งกองที่จะเข้าไปลงทุนก็ต้องศึกษาการลงทุนให้รอบครอบเสียก่อน
3.ออมผ่านหุ้น
หลายคนคิดว่า การออมผ่านหุ้นนั้นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก และยิ่งได้ยินคำว่า หุ้น แล้วต้องยุ่งยากมากๆ จึงไม่กล้าที่จะลงทุนในหุ้น แต่แท้ที่จริงแล้วการลงทุนในหุ้นสำหรับมือใหม่ สามารถเข้ามาลงทุนผ่าน DCA หรือที่เรียกว่า Dollar-Cost Averaging เป็นวิธีการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ที่ถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยนักลงทุนจะทำการลงทุนอย่างต่อเนื่องในแต่ละงวด ด้วยเงินลงทุนจำนวนเท่า ๆ กัน คล้าย ๆ รูปแบบการฝากประจำ แต่เป็นการเลือกเข้าไปลงทุนในหุ้นแต่ละตัว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหุ้นในกลุ่ม SET 100 ซึ่งการลงทุนแบบนี้มีข้อดีคือ เราไม่ต้องกังวลในช่วงที่สภาวะหุ้นเกิดความผันผวน เพราะเป็นการออมระยะยาวที่สามารถสร้างกำไรในอนาคตได้
4.ออมทองคำ
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า รูปแบบของการออมทองคำนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากจากสมัยก่อน ที่มีแค่ทองคำแท่ง และทองรูปพรรณ เท่านั้น แต่ปัจจุบันการออมคำง่ายแค่ปลายนิ้วมือผ่านทางแอปพลิเคชั่น โดยเริ่มออมขั้นต่ำที่ 1,000 บาท เป็นการสะสมทองในรูปแบบของการเฉลี่ยตามราคาทองขณะนั้น ซึ่งสามารถถอนออกมาได้ตามที่มีน้ำหนักทองพอ เช่น 1 บาท 5 บาท 10 บาท หรือ 1 สลึง 2 สลึง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถออมทองคำผ่าน Gold Futures ซึ่งเป็นอนุพันธ์รูปแบบหนึ่งของการลงทุน เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง แต่การลงทุนในทองคำในรูปแบบหลังนี้อาจจะต้องใช้การเรียนรู้ก่อนจะเลือกเข้าไปลงทุน หรือจะออมทองผ่านกองทุนรวมก็สามารถทำได้เช่นกัน
5.ออมผ่านตราสารหนี้
มีหลากหลายรูปแบบ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคงคลัง ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้บริษัทเอกชน มีทั้งการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำและต้องการเก็บเงินต้นไว้ไม่หายไปไหน เริ่มต้นลงทุนเพียงแค่ 1,000 บาท ก็สามารถซื้อตราสารหนี้ได้แล้ว ส่วนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณการอยู่ที่ 2 – 3% ต่อปี
6.ออมผ่านสลากออมทรัพย์
เป็นอีกหนึ่งการออมเงินที่ผู้ออมจะได้รับทั้งอัตราดอกเบี้ย และแถมยังได้ลุ้นลุ้นเงินรางวัลอีกด้วย เป็นการออมที่รักษาเงินต้นไว้ให้คงอยู่เช่นเดิมจึงมีความเสี่ยงต่ำ ฉะนั้นแล้วจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการออมเงินที่ดี ซึ่งในบ้านเราส่วนใหญ่แล้วจะมีให้ออมสลากออมทรัพย์ด้วยกัน 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.
7.ลงทุนผ่านสกุลเงินดิจิทัล
เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการเข้ารหัสมีราคากลางในการซื้อขายแปรผันตามกลไกตลาด เหรียญดิจิทัลแรกที่มีการเปิดตัวคือ Bitcoin ถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบกับเหรียญดิจิทัล เป็นรูปแบบของการเก็งกำไรเหมือนกับการซื้อหุ้น แต่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะหากช่วงเวลาใดที่ได้รับความนิยมสูง มูลค่าของคริปโทฯ ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้นแล้วนักลงทุนมือใหม่ต้องเข้าใจและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ก่อนถึงสามารถเข้ามาลงทุนเทรดคริปโทฯ ตามตลาดซื้อ – ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ได้จากเว็บไซต์ที่ได้รับใบอนุญาตจากก.ล.ต. ให้ทำการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เช่น bitkub, zipmex ,satangcorp, Huobi เป็นต้น
8.การลงทุนกับตัวเอง
เป็นการลงทุนในความรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นการต่อยอดและเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ให้กับตัวเราเอง เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีในอนาคตที่สามารถสร้างรายได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ซึ่งในปัจจุบันการเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถเรียนผ่านทางออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเดินทาง แถมค่าเรียนบางคลาสก็ถูกอีกด้วย แต่ต้องดูให้ดีเสียก่อนว่า คลาสที่เราจะเข้าไปเรียนนั้น ไม่ได้เปิดเพื่อมาหลอกลวง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน ถ้าได้ขึ้นชื่อว่า “การลงทุน” แล้ว ย่อมมีความเสี่ยงตามมาเสมอ ฉะนั้นแล้วต้องศึกษาให้ดีอย่างรอบครอบ ก่อนลงทุนจึงต้องวางแผนการเงินให้ดี โดยไม่ลงทุนไปตามกระแส หรือลงทุนตามคนอื่น ๆ เพราะหาเราไม่มีความรู้ก็อาจจะขาดทุนได้นั่นเอง