เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทั้งในตอนกลางของทวีปยุโรป และบางส่วนของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมจนมีผู้เสียชีวิต ในทวีปอเมริกาใต้ เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำลายสถิติรอบ 100 ปี ในอาร์เจนติน่า ส่งผลให้กรุงกรุงบัวโนสไอเรสจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งจากการวัดปริ...
ทวีปอเมริกาใต้กำลังเผชิญปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก โดยระดับน้ำในแม่น้ำปารานา แม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสองของทวีปรองจากแม่น้ำแอมะซอน ลดระดับลงต่ำสุดนับแต่ปี 1944 เป็นต้นมา
แม่น้ำปารานานับว่ามีความสำคัญมากภายในทวีปอเมริกาใต้ นอกจากไว้ใช้ในด้านคมนาคม การขนส่งเชิงพาณิชย์ รวมถึงเป็นแหล่งทำประมงแล้ว ยังเป็นแหล่งน้ำดื่มหล่อเลี้ยงประชากรในท้องที่อีกกว่า 40 ล้านคน แต่ล่าสุดความแห้งแล้งในภูมิภาคทำให้ระดับน้ำลดต่ำมากจนมีความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมประมง
นักสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ และจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต
แม่น้ำปารานามีความยาว 4,880 กิโลเมตร ไหลออกจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล ผ่านปารากวัยและอาร์เจนตินา ไหลรวมกับแม่น้ำปารากวัยรวมถึงแม่น้ำอุรุกวัย ลงสู่แม่น้ำริโอ เด ลา พลาตา หรืออีกชื่อคือ แม่น้ำเพลต ที่มีความกว้างกว่า 30 เมตร ถูกยกให้เป็นพื้นที่น้ำที่ใหญ่ มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก และให้ผลผลิตเยอะที่สุดในอาร์เจนตินา
สาเหตุของเรื่องนี้มาจากปริมาณน้ำฝนภายในประเทศบราซิล ทางตอนใต้แหล่งกำเนิดแม่น้ำปารานามีฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นปีที่สาม ความแห้งแล้งนี้ส่งผลให้อัตราการไหลของแม่น้ำปารานาจากค่าเฉลี่ย 17,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือเพียง 6,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น
ระดับน้ำลดต่ำส่งผลให้เกิดปัญหาในโรงผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำปารานา ในพื้นที่ระหว่างอาร์เจนตินาและปารากวัยสามารถดำเนินการผลิตพลังงานเดินเครื่องได้เพียง 50% จากปกติ จนรองประธานาธิบดีบราซิล ฮามิตัน โมเรา ต้องออกประการเตือนว่าภัยแล้งในครั้งนี้อาจทำให้เกิดการขาดแคลนพลังงาน
หากปล่อยไว้แบบนี้บราซิลอาจต้องใช้นโยบายจัดสรรปันส่วนพลังงาน อีกทั้งยังเป็นปัญหาในด้านการขนส่งสินค้าผ่านทางแม่น้ำที่เคยมี ด้วยไม่สามารถบรรทุกหรือใช้งานเรือขนาดใหญ่ได้ดังเดิมจากปริมาณน้ำที่แห้งขอด ทำให้การขนส่งสินค้าต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางบก ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงต้นทุนและภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
เกิดฝนตกหนัก ที่ประเทศโบลิเวีย ทวีปอเมริกาใต้ ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ แต่เกิดภาพสะเทือนใจชาวบ้านต้องทนดูบ้านพังครืนไปต่อหน้าต่อตานับร้อยหลังจากเหตุการณ์ดินถล่ม
สำนักข่าวรอยเตอร์ส เผย ภาพเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศโบลิเวีย ประเทศทางตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้ โดยเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา เกิดฝนตกอย่างหนัก ในเขตชนบทของอำเภอพีริฟรีริกา เมืองลาปาซ จากนั้นดินบริเวณเชิงเขาก็ถล่มและสไลด์ตัวลงมา ทำให้บ้านเรือนของประชาชนนับร้อยหลังคา ที่ปลูกอยู่บริเวณเชิงเขาไหลตามดินราวกับบ้านของเล่น
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่รายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เนื่องจาก ทางการได้แจ้งอพยพประชาชนออกจากที่อยู่อาศัยได้ทันเวลา แต่ที่น่าสะเทือนใจ คือ ขณะที่ผู้คนคว้าทรัพย์สินและสิ่งของที่จำเป็นและบรรดาสัตว์เลี้ยงแสนรักติดตัวรอดชีวิตออกมาได้ และกำลังจะเดินทางออกไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวนั้น กลับต้องเห็นภาพของบ้านตนเองค่อยๆ พัง ไหลไปตามดินทีละหลังๆ ทำให้หลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ในปี 2020 นี้ โลกต่างจับจ้องไปที่เหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียและแอมะซอน พร้อมตั้งคำถามถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่นำมาสู่ภัยอันรุนแรงนี้ ล่าสุด แม้แต่พื้นที่ชุ่มน้ำเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็กำลังเกิดไฟป่าต่อเนื่องมานานหลายเดือนโดยที่โลกภายนอกไม่รับรู้
ภูมิภาคพันตานัล (Pantanal) ซึ่งมีความหมายในภาษาโปรตุเกสว่า “พื้นที่ชุ่มน้ำ” และความหมายในภาษาสเปนว่า “ลุ่มน้ำ” ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ กินพื้นที่ระหว่าง 3 ประเทศ คือ บราซิล โบลิเวีย และปารากวัย
พันตานัลถือไว้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาดพื้นที่กว่า 187,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 3% ของพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งหมดบนโลก โดย “พื้นที่ชุ่มน้ำ” หมายถึง ลักษณะทางภูมิประเทศที่มีรูปแบบเป็น พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม มีน้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขัง หรือท่วมอยู่ถาวร และชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง และน้ำทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ของทะเล ในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร
ปัจจุบันพันตานัลกำลังได้รับผลกระทบจากไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เปลวไฟได้เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วประมาณ 28% และเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์
ไฟป่าได้ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดหนึ่งในนั้นคือ นกแก้วมาคอว์สีน้ำเงิน (Blue Macaw) หนึ่งในพันธุ์นกที่หายากที่สุดในโลกซึ่งเชื่อกันว่าเหลืออยู่เพียง 6,500 ตัวบนโลก
ผลกระทบของไฟป่าพันตานัลยังสร้างผลกระทบต่อโลกทั้งใบ เพราะพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น พันตานัล เป็นเสมือนอ่างกักเก็บจานคาร์บอน (Carbon Sink) ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ระบบนิเวศแบบพื้นที่ชุ่มน้ำจะดูดซับและกักเก็บคาร์บอนมากกว่าปล่อยออกมา พื้นที่ชุ่มน้ำจึงมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรคาร์บอน
เมื่อระบบนิเวศที่อุดมด้วยคาร์บอนเหล่านี้ถูกไฟเผาไหม้ ก๊าซจำนวนมหาศาลจะถูกปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศซึ่งก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และนำไปสู่ภาวะโลกร้อนต่อไป
อันเดร ลุยซ์ ซิเกรา (Andre Luiz Siqueira) ซีอีโอของ ECOA ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งตั้งอยู่ในบราซิลกล่าวว่า "พันตานัลมีความสำคัญมากสำหรับโลกใบนี้ เพราะมีพื้นที่ป่าที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตบนโลก ... มันมีความสำคัญมากพอ ๆ กับป่าแอมะซอน"
ในปีนี้ สถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติของบราซิล (INPE) ตรวจพบการเกิดเพลิงไหม้มากกว่า 21,200 ครั้งในพื้นที่ภุมิภาคพันตานัล ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าสถิติไฟป่าจากปี 2005 ถึง 69% ที่ตรวจพบประมาณ 12,500 ครั้ง สำหรับปีนี้เฉพาะในเดือนกันยายน เกิดไฟป่าถึง 8,106 ครั้งมากกว่าค่าเฉลี่ยสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ถึง 4 เท่า
พันตานัลมีลักษณะเด่นที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "ชีพจรน้ำหลาก (Flood Pulse)" คือ ในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม 3 ใน 4 ของที่ราบลุ่มจะถูกน้ำท่วมปกคลุมพื้นที่ แล้วระบายออกในช่วงแล้ง ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน น้ำท่วมตามฤดูกาลนี้ทำให้พันตานัลกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมือนใคร โดยผืนดินขนาดใหญ่จะเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเกือบสมบูรณ์
พันตานัลยังเป็นที่อยู่ของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือแปลกประหลาดหลายพันชนิด เช่น เสือจากัวร์ คาปิบารา จระเข้เคแมนดำ นากยักษ์ และนกแก้วมาคอว์สีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังเป็นจุดแวะสำคัญบนเส้นทางของนกอพยพราว 180 ชนิด
ทั้งนี้ ไฟป่าแบบ “เป็นครั้งคราว” ถือเป็นเรื่องปกติในภูมิภาคพันตานัล ซึ่งมากจนพืชบางชนิดในภูมิภาคมีความต้านทานต่อไฟได้ เช่น มีเปลือกหนาขึ้น หรือหุ้มเมล็ดด้วยเปลือกแข็ง แต่สภาพที่แห้งแล้งผิดปกติในปี 2020 นี้ทำให้เปลวไฟลุกลามไปไกลและเร็วขึ้น มีน้ำตามธรรมชาติน้อยลง เนื่องจากมีอุปสรรคน้ำตามธรรมชาติน้อยลง แม้แต่พื้นที่ที่มีความเปียกชื้นในปีนี้ก็ยังกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิงให้ไฟป่า
ไฟป่าที่โหมกระหน่ำพันตานัลเป็นตัวอย่างหนึ่งของภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีข้อบ่งชี้ว่าภูมิภาคพันตานัลมีอากาศแห้งและอุ่นขึ้นตามอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น