การขอสินเชื่อส่วนบุคคลวิธีหนึ่งในการมีเงินก้อนสำหรับเอาไว้ทำสิ่งต่างๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับการอนุมัติเหมือนกันหมด เพราะทางสถาบันการเงินเองเขาก็มีหลักในการพิจารณาเช่นกัน ซึ่งเหตุผลในการไม่อนุมัตินั้นผมได้รวบรวมจากประสบการณ์แล้วนำมาแชร์ให้ดังนี้ พร้อมแนวทางในการจัดการครับ
5 เหตุผลที่การขอ สินเชื่อส่วนบุคคล ไม่ผ่าน
1. เอกสารไม่ครบถ้วน
หลายคนมาตกม้าตายกันเมื่อต้องการจะขอสินเชื่อส่วนบุคคล แล้วเอกสารไม่ครบครับ เราต้องเข้าใจก่อนว่าสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน เช่น บ้าน รถ มาเป็นตัวค้ำประกันในการขอสินเชื่อ ธนาคารจะให้คุณกู้ได้จากความน่าเชือถือของคุณครับ ดังนั้นเอกสารที่ทางธนาคารขอเพื่อไปพิจารณาความน่าเชื่อถือของคุณเพื่ออนุมัติเงินกู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
แต่หลายคนก็อาจจะไม่มีเอกสารอยู่กับตัว ไม่อยากไปทำเรื่องขอกับทางบริษัทให้ออกเอกสารให้ใหม่ หรืออาจจะไม่สะดวกเปิดเผยข้อมูลบางอย่างที่อาจส่งผลให้กู้ไม่ผ่าน (บางคนอาจจะไม่อยากบอกรายได้ที่แท้จริง หรือปกปิดประวัติเครดติทางการเงิน) จึงเลือกส่งเอกสารเท่าที่มีไป ดังนั้นแน่นอนว่าหากข้อมูลที่ธนาคารได้รับไม่เพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจธนาคารหรือสถาบันการเงินก็จำทำการปฏิเสธอย่างแน่นอนครับ
ส่วนเอกสารที่ต้องใช้มีอะไรบ้างเพื่อนลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ เอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อส่วนบุคคล เลยครับ ผมได้เขียนรายละเอียดที่จำเป็นทุกอย่างไว้ให้แล้ว แต่ต้องบอกว่าการขอสินเชื่อเอกสารของสินเชื่อส่วนบุคคลนี้ถือว่าน้อยที่สุดแล้วนะครับ หากใครคิดว่ากู้สินเชื่อส่วนบุคคลไม่ได้ ไปกู้สินเชื่ออื่นก็ได้บอกเลยว่าต้องใช้เอกสารเบื้องต้นชุดเดียวเหมือนกันครับ
2. มีภาระผ่อนสินเชื่อในระบบ เยอะเกินมาตรฐานที่ธนาคารรับพิจารณา
หากคุณเป็นคนที่มีหนี้สินต่างๆ เยอะ (หนี้สินในระบบ) ทำให้มียอดเงินที่ต้องใช้ผ่อนหนี้ต่อเดือนสูง โอกาสในการขอสินเชื่อตัวต่อไปก็จะยากตามไปด้วย แล้วทีนี้เราต้องมาทำความเข้าใจกับเรื่องที่ว่า แบบไหนเรียกว่าภาระเยอะ ภาระต่อเดือนสูง แบบไหนเรียกว่าภาระไม่สูงในมุมของธนาคาร
ธนาคารส่วนใหญ่ จะมีการกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio) เอาไว้ ซึ่งมันจะบอกถึงความสามารถของคุณในการชำระหนี้สินที่กู้ยืมมา ส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะมีการกำหนดให้ภาระผ่อนชำระหนี้ไว้ไม่ควรเกิน 40% - 70% ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร ถามว่าทำไมถึงต้องจำกัดไว้เท่านี้ก็เพราะเงินส่วนต่างอีก 30% นั้นธนาคารก็จะตีเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้กู้ครับ
วิธีคำนวณภาระหนี้
สมมติหากคุณมีรายได้ 30,000 บาท แล้วธนาคารที่คุณกู้อยู่ให้เพดานไว้ที่ 70% ของรายรับความสามารถในการชำระหนี้หรือภาระหนี้ของผู้กู้ก็ไม่ควรเกิน
= (เงินเดือน x ภาระหนี้สูงสุด) ÷ 100
= (30,000 × 70) ÷ 100 = 21,000
หารเป็นแบบในตัวอย่างคุณมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 21,000 บาท หรือมากกว่านี้อยู่แล้ว การขอสินเชื่อใหม่เพิ่มเข้ามาอีกก็จะมีโอกาสผ่านค่อนข้างยากครับ
ซึ่งเลขในส่วนของเปอร์เซ็นยอดหนี้ในปัจจุบันนั้นก็มีผลต่อวงเงินกู้ด้วยนะครับ แม้ว่าสินเชื่อส่วนบุคคลจะให้ได้สูงถึง 5 เท่าของรายได้ แต่ว่าถ้ายอดหนี้คุณแม้จะยังไม่ถึง 70% แต่ก็ใกล้จะถึงแล้ว วงเงินที่คุณจะได้ก็อาจจะได้ไม่ถึง 5 เท่า
3. มีประวัติชำระหนี้ล่าช้า
หากเราเคยมีประวัติชำระหนี้ล่าช้าไม่เกิน 90 วัน ทางสถานบันทางการก็จะมองถึงศักยภาพในการชำระหนี้ของเราว่าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ไม่ดี ทำให้ต้องพิจารณาคุณสมบัติของเราอย่างถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะทำให้เราไม่ผ่านการอนุมัติขอสินเชื่อได้นั่นเอง
ดังนั้นทางที่ดี หากเพื่อนๆ มีการผ่อนชำระสินเชื่อตัวไหนอยู่แล้วก็ควรจะรักษาเครดิตในการผ่อนชำระสินเชื่อเหล่านั้นไว้ให้ดี เพราะในอนาคตหากเราต้องการจะขอสินเชื่อตัวอื่นอีกก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนั่นเอง
หรือหากใครที่เคยพลาดมีการผ่อนชำระหนี้ล่าช้าไปแล้ว หากคุณจัดการหนี้ก้อนนั้น และกลับมาจ่ายเป็นปกติ ธนาคารก็จะขอดูการผ่อนชำระของคุณไปอีก 6 เดือน - 2 ปี (ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละธนาคาร) หากยังคงจ่ายได้ปกติ เมื่อคุณทำเรื่องกู้เงินธนาคารถึงจะเริ่มกลับมาพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้กับคุณครับ
4. ติดเครดิตบูโร
การเสียประวัติเครดิตทางการเงิน หรือที่เราเรียกกันว่า ติดบูโร หรือติดแบล็คลิสต์ ซึ่งใจความสำคัญของมันคือการที่เรามีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน เท่าที่รู้ตอนนี้จะยังไม่มีธนาคารไหนรับเลยครับ
ซึ่งหากใครที่พลาดไปติดเครดิตบูโรแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือการจัดการหนี้ก้อนที่เป็นปัญหาแล้วรักษาประวัติทางการเงินของตัวเองให้จ่ายตรงเวลา ไม่ค้างชำระ ไม่หยุดจ่าย ไปอีก 36 งวดสถานะเครดิตบูโรของคุณก็จะหายไปแล้วกลับมายื่นกู้ใหม่ได้ครับ
และหากเริ่มรู้สึกว่าผ่อนหนี้ตัวไหนไม่ไหว ห้ามหนี้ ห้ามหาย ธนาคารโทรมาต้องรับ แล้วเข้าไปติดต่อธนาคารโดยตรงเลยว่ากำลังมีปัญหา ปกติแต่ละธนาคารก็จะมีแนวทางในการช่วย เช่น ทำสัญญาใหม่เพิ่มระยะเวลาผ่อนเพื่อให้ยอดผ่อนลดลง (ปรับโครงสร้างหนี้) หรือให้ผ่อนแต่ดอกก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อลดยอดผ่อนลงครับ
5. ไม่เคยมีประวัติกู้เงินเลยขอสินเชื่อผ่านไหม
สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายใครที่ได้ฟังครั้งแรกก็คงจะคิดว่ามันแปลกๆ เพราะหากเราไม่เคยมีประวัติขอสินเชื่อส่วนเลย เราก็คงจะไม่ใช่คนมีประวัติเสียหรือมีหนี้เยอะอะไร น่าจะเป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำที่ผ่านมาไม่เคยก่อหนี้เลย ดังนั้นมันก็ควรจะผ่านการอนุมัติสิ จริงๆ ข้อนื้ก็ยังไม่มีใครออกมายืนยันได้นะครับแต่ก็เรียกว่ามีคนเล่ากันต่อ ๆ มาซึ่งหากเราไปหาดูข้อกำหนดต่าง ๆ ของธนาคารก็ไม่มีข้อกำหนดจากสภาบันทางการเงินแห่งไหนที่ระบุไว้ว่าไม่ผ่าน ตัวผมเองที่ไม่เคยมีภาระหนี้มาก่อนก็กู้ผ่านนะครับ
แต่หากเกิดขเรื่องนี้หากเป็นจริงน่าจะมาจากสาเหตุที่ธนาคาร สถาบันทางการเงินจะไม่เคยมีประวัติการสร้างหนี้และการผ่อนชำระ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบและไม่มีข้อมูลอะไรให้วิเคราะห์ การอนุมัติจึงอาจจะยากกว่าปกติได้ในกรณีที่คุณกู้ในวงเงินที่สูง ๆ ครับ
ดังนั้นหากเพื่อนๆ อยากจะขอสินเชื่อส่วนบุคคลหรือมีแพลนที่จะขอในอนาคตก็อาจจะเริ่มต้นจากการทำบัตรเครดิต และลองทำการใช้จ่ายผ่านบัตรและจ่ายเงินให้ครบอย่างได้มีการค้างชำระเพื่อให้มีประวัติเครดิตเกิดขึ้นบ้าง ธนาคารก็จะมีข้อมูลเพื่อใช้ในการตรวจสอบได้ครับ
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนขอสินเชื่อส่วนบุคคล
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เราขอสินเชื่อไม่ผ่านกัน ซึ่งหากเรายังไม่เข้าเกณฑ์ในข้อ 2 ข้อ 3 ก็สามารถทำการขอสินเชื่อได้ครับ แต่หากใครที่ดูแล้วเสี่ยงเราก็ควรจะรีบแก้ไขปัญหานี้ก่อนที่จะสายเกินไปและทำให้เราไม่สามารถขอสินเชื่อใด ๆ ได้ในอนาคต สำหรับใครที่ดูแล้วและอยากจะลองขอสินเชื่อดูใหม่ โดยมีผู้ช่วยอย่างรีฟินน์คอยให้คำแนะนำตลอดการยื่นขอสินเชื่อ รวมถึงช่วยติดตามเคสกันการตกหล่นล้าช้า ซึ่งเป็นบริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายจากทางรีฟินน์ก็สามารถเข้าไปดูโปรโมชั่นได้ที่ www.refinn.com/สินเชื่อส่วนบุคคล
แต่หากตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสภาวะหมุนเงินไม่ทัน มีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ เริ่มผ่อนไม่ไหว จะขอสินเชื่อใหม่มาปิด มารวมหนี้ก็ยาก อาจจะลองยื่นเรื่องสินเชื่อ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ซึ่งสามารถสมัครได้ผ่าน Refinn เช่นกัน นอกจากนี้ เรายังมีบริการ รีไฟแนนซ์ อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น รีไฟแนนซ์รถ รวมไปถึง รีไฟแนนซ์บ้าน อีกด้วย