ปัญหาน้ำเสีย นับเป็นหนึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทย ที่เกิดขึ้นในหลายจุดทั่วประเทศ และยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงไม่น่าแปลกใจที่โจทย์เรื่อง การแก้ปัญหาน้ำเสีย จะถูกนำมาเป็นหัวข้อในการวิจัย ศึกษาค้นคว้าของนักวิจัยไทยมาแทบทุกยุคทุกสมัย จนกระทั่ง มาในวันนี้ มีหนึ่งงานวิจัย ที่นำเสนอแนวคิดการสืบแหล่งกำเนิดน้ำเสีย เพื่อลด “มลพิษทางน้ำ” อย่างยั่งยืน โดยผลงานวิจัยนี้เป็นของ นักวิจัย สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถคว้ารางวัลวิจัยดีเด่นแห่งชาติ 2565 มาครองได้สำเร็จ ด้วยผลการวิจัยที่นำไปปรับใช้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ให้ประเทศได้จริงโดย ดร.ขวัญรวี สิริกาญจน นักวิจัยเชี่ยวชาญ จากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ในฐานะหัวหน้าโครงการนี้ ได้พัฒนาเทคโนโลยีกลุ่มจุลินทรีย์ เพื่อระบุแหล่งกำเนิดน้ำเสียในประเทศไทย (Microbial Source Tracking) แก้ปัญหามลพิษและโรคทางน้ำ ฟื้นฟูและจัดการคุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากจะเป็นที่ยอมรับและนำไปปรับใช้แก้ ปัญหาน้ำเสีย ในประเทศโดยร่วมมือกับการประปาฯ กรมปศุสัตว์ กรมควบคุมมลพิษ ใช้ประโยชน์งานวิจัยอย่างได้ผลแล้ว งานวิจัยนี้ยังเป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติด้วยดร.ขวัญรวี สิริกาญจน
รับรู้ ปัญหาน้ำเสีย ภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม ที่อยู่กับสังคมไทยมานาน ผ่านกรณีศึกษา คลองแสนแสบ
หากให้ยกตัวอย่าง ปัญหาน้ำเสีย ที่คลาสสิค และคนไทยต่างรับรู้กันมากที่สุด เชื่อว่าปัญหาน้ำเสียที่เกิดขึ้นใน คลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งใน Cast study ที่เห็นได้ชัดที่สุดปัญหาน้ำเสีย ในคลองแสนแสบพบว่า ร้อยละ 70 เกิดจากกิจกรรมในชุมชนริมคลอง รองลงมาเกิดจากโรงงานและสถานประกอบการ ยกตัวอย่างปี 2563 มีปริมาณน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดถูกปล่อยลงคลองแสนแสบและคลองสาขา กว่า 8 แสนกว่าลูกบาศก์เมตรต่อวัน และมีค่าเฉลี่ยความสกปรก อยู่ระหว่าง 6.9-12.2 มิลลิกรัมต่อลิตร ถือว่าเป็นมลพิษอย่างรุนแรงตลอดความยาว 74 กิโลเมตร ของคลองแสนแสบ ซึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 47.5 กิโลเมตร และ จ.ฉะเชิงเทรา 26.5 กิโลเมตร พบว่าในปัจจุบันมีการปล่อยน้ำที่ไม่ผ่านการบำบัด 800,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันคลองแสนแสบ
นี่เป็นเพียงหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาพจำของคลองแสนแสบจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คือ น้ำสีดำ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ผู้ที่ต้องสัญจรไปมาผ่านคลองนี้ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกันแบบหลบเลี่ยงไม่ได้ในทุกวี่วัน โดยบนหน้าประวัติศาสตร์ เล่ากันว่าที่มาของชื่อคลองแสนแสบ มาจากการที่มียุงชุมมาก เพราะมีการทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลลงในแม่น้ำ แม้จะผ่านมากว่า 180ปี แต่สภาพของคลองแสนแสบ ก็ยังไม่ดีขึ้นล่าสุด เมื่อปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทางภาครัฐจะเอาจริง ทุ่มงบประมาณ 82,563 ล้านบาทในการฟื้นฟูคลองแสนแสบ เป็นระยะเวลา 11 ปี ตั้งแต่ปี 2564-2574 รวมทั้งสิ้น 84 โครงการ ดำเนินการ 3 ระยะ คือ1.ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2564) 2.ระยะกลาง ( พ.ศ.2565-2570) 3.ระยะยาว (พ.ศ. 2571 -2574)อย่างไรก็ดี ศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ได้ให้มุมมองต่อโครงการฯล่าสุดที่ภาครัฐจะดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสียในคลองแสนแสบอย่างเป็นรูปธรรมนี้ว่า“กรุงเทพมหานครเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย เป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองวัฒนธรรมและมีอารยธรรม แต่ขณะนี้กรุงเทพฯ มีริ้วรอยและไม่น่าดู ทุกคลองเน่าเสีย ในเบื้องต้นจึงเห็นด้วยกับที่มีแนวคิดจัดทำแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ แต่แนวทางโครงการ งบประมาณ จำเป็นต้องให้ข้อมูลต่อสาธารณะ โครงการต่างๆ ควรจัดทำเวที Technic Hearing กับนักวิชาการ เพื่อให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงการที่ทั้ง 8 หน่วยงานจะจัดทำเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูมลภาวะของคลองแสนแสบ จากนั้นจะต้องดำเนินการจัดทำเวทีประชาพิจารณ์ หรือ Public Hearing กับประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน”
คลองแสนแสบ
“นอกจากนั้น แผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบที่ผ่านการอนุมติของ ครม. จะต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบการจัดการน้ำเสียของชุมชนเมือง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดน้ำเสียและลงสู่สิ่งแวดล้อม เพราะ กรุงเทพฯ เป็นเมืองเก่า ใช้ท่อร่วม แต่ประเทศที่เจริญแล้วมีระบบท่อแยก คือ แยกท่อระบายน้ำฝนกับท่อน้ำเสีย ท่อระบายน้ำฝนจะส่งน้ำลงคลอง แม่น้ำ และทะเล” “ถ้ามีท่อแยก จะส่งน้ำเสียไปบำบัดที่โรงบำบัดฯ วิธีการจัดการน้ำเสียชุมชนในปัจจุบันของกรุงเทพฯ ยังปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่มีศักยภาพทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนถึง 20 เท่า ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ นอกจากจะไม่แก้ปัญหาน้ำเสีย ยังจะเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันกรุงเทพฯ สู่เมืองคาร์บอนเป็นศูนย์อีกด้วย”ที่หยิบยกปัญหาน้ำเสียในคลองแสนแสบมานี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันให้เห็นว่า ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องการการแก้ไข มิเช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคที่มาในรูปแบบ “ปัญหาสิ่งแวดล้อม” ที่มาขัดขวางการพัฒนาประเทศในหากหายด้านก็ได้เปิดผลงานวิจัยดีเด่น ปี 2565 ความหวังของการแก้ปัญหาน้ำเสียไทย ด้วยงานวิจัยอย่างได้ผล
ดังที่เกริ่นมาในตอนต้น เพื่อแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดทางฝั่ง “นักวิจัยไทย” ได้พัฒนาเทคโนโลยีกลุ่มจุลินทรีย์ เพื่อระบุแหล่งกำเนิดน้ำเสียในประเทศไทย (Microbial Source Tracking) แก้ปัญหามลพิษและโรคทางน้ำ ฟื้นฟูและจัดการคุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลงานนี้ได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่นปี 2565 ด้วยโดย ดร.ขวัญรวี หัวหน้าโครงการวิจัย จาก สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมถึงที่มาของงานวิจัยนี้ว่า“ปัจจุบัน แหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ น้ำฝน น้ำแม่น้ำ ลำคลอง น้ำใต้ดินและน้ำทะเล ประสบปัญหาเสื่อมโทรมอย่างมาก ผลมาจากการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ทั้งแบบทราบจุดแน่นอน และแบบไม่ทราบจุดแน่นอน เช่น การรั่วไหลของท่อรวบรวมน้ำเสียใต้ดิน น้ำฝนที่ชะพาสิ่งสกปรกลงสู่ดินและแหล่งน้ำ ตลอดจนสิ่งปฏิกูลจากสัตว์ป่าและนกน้ำ เป็นต้น”“อย่างไรก็ตาม มลพิษทางน้ำแบบไม่ทราบแหล่งกำเนิดแน่ชัด กลับมีปริมาณที่หลากหลายและส่งผลกระทบต่อภาวะมลพิษที่ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้มากกว่า ซึ่งยังคงไม่มีระบบบริหารจัดการ หรือระบบติดตาม ตรวจสอบ ที่เป็นรูปธรรม ทำให้ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณในการจัดการคุณภาพน้ำและน้ำเสียในปี พ.ศ. 2562 สูงถึง 2,154 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50 ของงบประมาณทั้งหมดที่ใช้ในการบริหารจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม”“จากผลของโครงการวิจัย โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีผลกระทบสูงต่อประเทศ ช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหามลพิษทางน้ำ คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม และลดปัญหาข้อขัดแย้งจากการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยได้ประสบปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน”“ผลการวิจัยได้รับการต่อยอดร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประปานครหลวง และกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์งานวิจัยในการระบุแหล่งปนเปื้อนมลพิษ พร้อมกำหนดแผนจัดการฟื้นฟูคุณภาพน้ำให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน แผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ได้อย่างเหมาะสมกับงบประมาณและความรุนแรงของปัญหาในพื้นที่ต่างๆ”“โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวคิดใหม่ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง หรือ Blue Economy ให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวทางน้ำ และเพื่อเตรียมพร้อมให้ไทยเป็นผู้นำด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดในอาเซียน อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ สร้างสุขภาพที่ดีให้ประชาชนชาวไทย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ”“ผลสำเร็จของโครงการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยได้เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ กว่า 13 ผลงาน อ้างอิงผลกระทบเชิงวิชาการในระดับนานาชาติ 95 ครั้ง และคว้ารางวัลผลงานวิจัยระดับนานาชาติ จำนวน 6 รางวัล”“สำหรับการใช้เทคโนโลยีกลุ่มจุลินทรีย์ในการตรวจระบุแหล่งกำเนิดน้ำเสียในประเทศไทย (Microbial Source Tracking ; MST) มีกรอบการทำงานครอบคลุมตั้งแต่- การพัฒนาวิธีการตรวจวัดจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารที่จำเพาะกับมนุษย์และสัตว์แต่ละชนิด โดยอาศัยการตรวจวัดเชื้อไวรัสที่จำเพาะกับแบคทีเรีย หรือเรียกว่า แบคเทอริโอเฟจ
- การตรวจทางอณูชีวโมเลกุลของสารพันธุกรรมด้วยวิธีพีซีอาร์ และพีซีอาร์เชิงปริมาณ การศึกษาลักษณะเฉพาะต่าง ๆ เช่น ความคงทนในสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการวิเคราะห์ จนได้เป็นเทคโนโลยีการตรวจแหล่งปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการที่มีความพร้อม
- การทดสอบวิธีที่พัฒนาใหม่ในพื้นที่จริงของประเทศ พัฒนาเทคนิคตัวอย่าง ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้สัมผัสน้ำปนเปื้อน และต่อยอดองค์ความรู้พัฒนาเครื่องมือแบพกพาสำหรับตรวจวัดจุลินทรีย์เพื่อระบุการปนเปื้อนในภาคสนาม
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านห้องปฏิบัติการวิจัยขั้นสูง ที่สามารถรองรับการแก้ไขปัญหาในโจทย์ใหม่ที่มีความท้าทายสูง เช่น การเฝ้าระวังเชื้อก่อโรคอุบัติใหม่โควิด-19 ในน้ำเสีย ทำให้ไทยสามารถตอบสนองปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และเท่าทันต่อสถานการณ์
นี่นับเป็นที่ไม่ได้วางอยู่บนหิ้ง แต่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างแท้จริงอ้างอิง :
- รายงานข่าว เรื่อง “เดิมพัน 8.25 หมื่นล้าน ลบภาพ’คลองแสนแสบ’เป็น’คลองแสนสวย'” จากเว็บไซต์ไทยโพสต์
- รายงานข่าว จาก Facebook : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
อัปเดตผลงานวิจัยจากนักวิจัยไทย ที่สามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาให้สังคมไทยได้จริง‘เรือหางยาวไฟฟ้า’ ต้นแบบการนำเทรนด์ EV แก้ปัญหามลพิษจากการท่องเที่ยว ‘ตลาดน้ำดำเนินสะดวก’ อย่างได้ผล
รู้จักแล้วจะรัก ‘4 แพลตฟอร์ม Wonder Waste!’ นวัตกรรมคัดแยกขยะชุมชน ต่อยอดสู่การผลิตพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
เบื้องหลังความสำเร็จของทีมเยาวชนไทย ผู้คว้าแชมป์จากเวที Asian Herb in Space กับการปลูกโหระพาบนอวกาศ
Post Views: 3,067
- TAGS
- คลองแสนแสบ
- งานวิจัยดีเด่น
- นักวิจัยไทย
- ปัญหาสิ่งแวดล้อม
- ปี 2565
- สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
Previous articleEECMd ปลดล็อคศักยภาพประเทศ สู่ Medical valley แห่งภูมิภาคของไทย
Next articleสาลิกาคาบข่าว Vol.14
Praornpit Katchwattana
//www.salika.co
เริ่มต้นขีดเขียนในฐานะ สื่อมวลชน กับงานผู้สื่อข่าวประจำกองประชาสัมพันธ์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ในปี 2546 ก่อนไปหาประสบการณ์ชีวิตที่เมลเบิร์น ออสเตรเลียมา 1 ปี และกลับมายึดอาชีพ “นักเขียน” จริงจัง กับการเป็น กองบรรณาธิการนิตยสารชีวจิต 3 ปี หลังจากนั้นคิดว่าน่าจะเปลี่ยนสายไปทำงานในบริษัท PR agancy ได้ 6 เดือน เมื่อรู้ว่าไม่ถูกจริต เลยออกมาเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ประจำกองบรรณาธิการนิตยสารฟีลกู้ดอย่าง Happy+ อยู่ 1 ปี สัมภาษณ์ทั้งดาราและคนบันดาลใจ ก่อนเข้าสู่ระบบงานประจำอีกครั้งกับนิตยสาร MBA กับการเป็นนักเขียนที่รับผิดชอบในเซคชั่นหลักสูตร MBA ของสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สั่งสมประสบการณ์อยู่ 3 ปี ก็ได้เวลา Upskill สู่งาน Online content writer ที่ใช้ความชอบและความหลงใหลในการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ความรู้ใหม่ๆ ในยุค Education 4.0 อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์
แนวทางการป้องกัน และ แก้ไขปัญหาน้ำ เน่า เสีย มี อะไร บ้าง
การแก้ไขปัญหาน้ำเสีย.
1. น้ำดีไล่น้ำเสีย ... .
2. เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ ... .
3. สระเติมอากาศชีวภาพบำบัด ... .
4. การผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบเติมอากาศ ... .
5. หลักธรรมชาติ บำบัดธรรมชาติ ... .
6. การเติมอากาศ โดยใช้กังหันน้ำชัยพัฒนา.
ข้อใดคือการแก้ปัญหาน้ำเสีย
การบำบัดน้ำเสีย หมายถึงการดำเนินการเปลี่ยนสภาพของเสียในน้ำเสียให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมพอที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อแหล่งรับน้ำเสียนั้น ๆ ซึ่งวิธีการบำบัดน้ำเสียแบ่งได้ 3 ประเภท คือ การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางกายภาพ การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางเคมี และการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางชีวภาพ
ปัญหาน้ำเสียมีอะไรบ้าง
ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางน้ำ
เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด และท้องเสีย มีผลกระทบต่อการเพาะปลูก เพราะน้ำเสียที่มีความเป็นกรดและด่างไม่เหมาะสำหรับทำการเกษตร มีผลต่อกระทบต่อทัศนียภาพ เพราะความสวยงามของแหล่งน้ำสามารถใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือจัดกิจกรรมทางน้ำเพื่อความบันเทิงได้
ปัญหาน้ำเน่าเสียคืออะไร
Ø น้ำเน่า ได้แก่ น้ำที่มีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก จุลินทรีย์ใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายจนเหลือละลายอยู่น้อย น้ำมีสีดำคล้ำ และอาจส่งกลิ่นเหม็น เนื่องจากการปล่อยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) จากการย่อยสลายของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacteria)