3 เม.ย. 62-ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK park) ร่วมกับ สำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดงานแถลงข่าว “ผลสำรวจการอ่านของประชากร ประจำปี พ.ศ. 2561” พบว่าคนไทยใช้เวลาอ่านเพิ่มมากขึ้นเป็น 80 นาทีต่อวัน โดยอ่านหนังสือเล่มร้อยละ 88 และอ่านบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาแรงถึงร้อยละ 75.4 ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น สะท้อนว่าหนังสือเล่มยังคงอยู่เคียงคู่สื่อใหม่ ทั้งนี้ในภาพรวมคนไทยมีการอ่านร้อยละ 78.8 ซึ่งหมายถึงยังมีคนไทยที่ไม่อ่านถึงร้อยละ 21.2 และกลุ่มวัยรุ่นคือกลุ่มที่ใช้เวลาอ่านสูงสุดเมื่อเทียบกับทุกวัย
นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวถึงภาพรวมสำรวจการอ่านของคนไทยในปี พ.ศ. 2561 พบว่าคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป อ่านร้อยละ 78.8 หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 49.7 ล้านคน โดยในกรุงเทพฯ มีคนอ่านมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 92.9, ภาคกลางร้อยละ 80.4 ภาคเหนือและภาคอีสานร้อยละ 75 และ ภาคใต้ร้อยละ 74.3 ขณะที่เวลาในการอ่านสูงขึ้น พบว่าคนไทยอ่านหนังสือนานสุด 80 นาที/วัน เทียบจากปี 2558 อ่าน 66 นาที และและ 2556 อ่าน 37 นาที
ผลการสำรวจปี 2561 นี้ยังมีการจัดอันดับ 10 จังหวัดที่มีจำนวนคนอ่านหนังสือมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 92.9%, สมุทรปราการ 92.7%, ภูเก็ต 91.3% ขอนแก่น 90.5% สระบุรี 90.1% อุบลราชธานี 88.8% แพร่ 87.6% ตรัง 87.2% นนทบุรี 86.6% และ ปทุมธานี 86.2%
นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ กล่าวว่า การสำรวจในปีพ.ศ. 2556 และ พ.ศ. 2558 และพบว่าสถิติการอ่านของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับในปีนี้ แม้ว่าจะมีตัวเลขคนอ่านเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.8 ก็ตาม แต่เมื่อมองไปที่ตัวเลขของกลุ่มที่ไม่อ่าน พบว่ามีถึงร้อยละ 21.2 คิดเป็นจำนวนประชากร 13.7 ล้านคน ซึ่งเหตุผลของการไม่อ่าน มีตั้งแต่การดูทีวี ไม่มีเวลา อ่านไม่ออก ไม่ชอบ ไม่สนใจการอ่าน ชอบเล่นเกม รวมทั้งไม่มีเงินซื้อหนังสือ ในจำนวนนี้มีคนที่บอกไม่ชอบและไม่สนใจอ่านถึงร้อยละ 25.2 ถ้าคิดเป็นจำนวนประชากรก็ประมาณกว่า 3 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว คนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของอุทยานการเรียนรู้ TK park และหน่วยงานที่ทำงานด้านส่งเสริมการอ่านทั้งหลาย
อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือกลุ่มเด็กเล็ก กิตติรัตน์ บอกว่า จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 63.8 ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการอ่านหนังสือของเด็กเล็ก โดยให้เหตุผลว่าเด็กยังมีอายุน้อยเกินไป ทำให้เด็กกลุ่มนี้ คิดเป็นจำนวนราว 1.1 ล้านคน ไม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านเหตุเพราะความเข้าใจผิดของผู้ปกครอง ดังนั้นการรณรงค์ให้ความรู้และทำความเข้าใจในการส่งเสริมการอ่านในเด็กเล็ก เช่น การเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และในกลุ่มอายุ 15-24 กลับพบว่าไม่ชอบการอ่านถึงร้อยละ 34.9
“ผลการสำรวจในปี 2561 ยังระบุถึงประเด็นการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียวในเด็กวัยต่ำกว่า 6 ปี ที่มีจำนวนร้อยละ 5.4 เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากผลสำรวจเมื่อครั้งที่แล้ว นั่นหมายถึงมีเด็กจำนวนถึง 145,000 คน ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว ในขณะที่งานวิจัยเรื่องผลกระทบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านจอ ทีมแพทย์ระบุว่าการเสพสื่อผ่านจออิเล็กทรอสิกส์มีผลกระทบกับพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งไม่สมควรใช้กับเด็กเล็กแรกเกิดจนถึง 1 ขวบครึ่งอย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเด็นนี้นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างมาก” ผู้อำนวยการอุทยานการเรียนรู้ TK park กล่าว
สถิติการอ่านของคนไทย มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับในปีนี้เมื่อเราเข้าสู่ยุคดิจิทัล แน่นอนว่าการอ่านผ่านสื่อออนไลน์ ย่อมส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการอ่าน ทำให้ห้องสมุด ร้านหนังสือ หรือส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ย่อมต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรก็ตามผลสำรวจยังบอกอีกว่ามีจำนวนประชากรไทยที่ไม่อ่านหนังสืออยู่กว่า 21.2% หรือราว 13.7 ล้านคนแบ่งเป็นผู้ชาย 20.3% และผู้หญิง 22.1% ซึ่งในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่าชอบดูทีวี 30.3% ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือไม่สนใจ 25.2% อ่านไม่ออก 25.0% สายตาไม่ดี 22.1% ไม่มีเวลาอ่าน 20.0%
และเมื่อจำแนกตามช่วงวัยพบว่าเด็กอายุระหว่าง 6-14 ปีมีแนวโน้มการอ่านเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงว่าการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านในกลุ่มนี้ค่อนข้างได้ผล เมื่อไปดูในเด็กอายุ 15-24 ปีกลับพบว่าไม่ชอบการอ่านหนังสือถึง 34.9% ขณะที่วัยผู้ใหญ่ 25-50 ปีที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมีถึง 32.8%
สะท้อนว่าหลังการศึกษาช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น จนถึงทำงานและเกษียณอายุคนกลุ่มนี้ ยังขาดนิสัยรักการอ่านและยังแสดงให้เห็นว่า การปลูกฝังเรื่องรักการอ่านในคนไทย อาจจะยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร นับเป็นความท้าทายที่หน่วยงานด้านการส่งเสริมการอ่าน ต้องกลับไปแก้โจทย์ และหาแนวทางในการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านกันต่อไป
ข้อมูลที่นำมาเสนอและอ้างอิงมากที่สุด คือผลสำรวจการอ่านของประชากร ประจำปี พ.ศ. 2561 จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 55,920 ครัวเรือนทั่วประเทศ
ผลสำรวจดังกล่าวบอกว่า คนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปใช้เวลาอ่านเฉลี่ยมากถึงวันละ 80 นาทีเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาในปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 66นาทีต่อวัน ส่วนเยาวชนไทยเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาอ่านมากที่สุดคือเฉลี่ยวันละ 109 นาที
ไม่เพียงเท่านั้นแนวโน้มการอ่านของคนไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วยโดยปี พ.ศ. 2551 มีอัตราการอ่านร้อยละ 66.3 ปี พ.ศ. 2554ร้อยละ 68.6 ปี พ.ศ. 2558 ร้อยละ 77.7 และปี พ.ศ. 2561อัตราอ่านของคนไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 78.8 หรือกว่า 49.7ล้านคน
และจากผลการศึกษาอัตราการรู้หนังสือและการอ่านของประชากรใน 61 ประเทศทั่วโลกโดยมหาวิทยาลัย Central Connecticut State in New Britain ของสหรัฐอเมริกา
พบว่าประเทศในแถบนอร์ดิกมีอัตราการรู้หนังสือและการอ่านมากที่สุด โดยอันดับ 1 เป็นของฟินแลนด์ ตามด้วยไอซ์แลนด์เดนมาร์ก และสวีเดน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 56
ซึ่งก็ไม่ถึงกับแย่จนเกินไปถ้าพิจารณาว่าโลกปัจจุบันนี้มีทั้งหมด193 ประเทศ
ผ่านการอ่านแค่ไหนไปแล้ว ลองมาดูกันว่าคนไทยอ่านอย่างไร
จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าคนไทยอ่านข้อความจากสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุดร้อยละ 61.2โดยมีหนังสือพิมพ์รองลงมา ตามด้วยแบบเรียน และหนังสือทั่วไป
สื่อสังคมออนไลน์ที่ว่านี้ที่สำคัญก็คือพวกแชตพวกโพสต์ทั้งหลายที่เชื่อถือได้บ้างไม่ได้บ้าง มากกว่าเว็บไซต์ที่ให้ความรู้และเป็นทางการ
และถ้าจะถามต่อไปว่าคนไทยชอบอ่านอะไรแล้วสถิติการขายหนังสือคงพอตอบได้
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยได้เก็บสถิติซึ่งช่วยให้เห็นแนวโน้มการอ่านหนังสือของคนไทยมากขึ้นโดยหนังสือที่ขายดีที่สุดในงานหนังสือปี พ.ศ.2564คือการ์ตูนและไลท์โนเวลหรือพูดให้ตรงแบบไม่อ้อมค้อมที่ผู้คนในวงการหนังสือรู้กันก็คือพวกนวนิยายแปลจากไต้หวันและเกาหลีที่มีเนื้อหากระเดียดไปในทางชายรักชายทั้งสองประเภทนี้เป็นหนังสือที่ขายดีติดต่อกันมานานหลายปี
ปี พ.ศ. 2565 หนังสือที่ขายดีที่สุดก็ยังเป็นหนังสือการ์ตูนและไลท์โนเวล เหมือนเดิมมีการพยายามอธิบายกันว่าวัฒนธรรมการอ่านในปัจจุบันมีความหลากหลายและเฉพาะตัวมากขึ้น การอ่านขยายตัวสู่การอ่านทุกรูปแบบ ทุกที่ ทุกเวลาโดยการอ่านแต่ละแบบตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันของแต่ละคน
แต่หากวัฒนธรรมการอ่านพัฒนาจากการอ่านแบบเจาะลึกผ่านสื่อหนังสือหรือเอกสารที่เชื่อถือได้ ไปสู่การอ่านแบบฉาบฉวยเร่งรีบในภาวะแวดล้อมของสังคมปัจจุบันผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่แทบจะไม่คำนึงถึงความเชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้
ยิ่งจากการนิยมอ่านหนังสือดี ๆ มีสาระไปสู่การนิยมอ่านหนังสือการ์ตูนและไลท์โนเวลด้วยแล้วอนาคตของเราก็น่าเป็นห่วง
เพราะวัฒนธรรมการอ่านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อผู้อ่านในฐานะปัจเจกชน ต่อสังคมที่ต้องอาศัยเศรษฐกิจฐานความรู้และต่อประเทศชาติโดยองค์รวมที่ต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางการแก่งแย่งแข่งขันในระบอบทุนนิยม