การเรียนภาษาไทยจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป หากคุณครูรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่นักเรียนชื่นชอบ หรือกำลังเป็นที่สนใจในยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน เช่นการนำดารา ศิลปิน นักแสดง หรือตัวละครที่นักเรียนชื่นชอบมาใส่ลงในสื่อการสอน หรืออาจนำมาใช้เป็นตัวละครสำหรับผูกเรื่องราวให้นักเรียนทำภารกิจตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่สอนในคาบนั้นเพื่อเป็นการวัดความเข้าใจในเนื้อหาของนักเรียน ดังตัวอย่างกิจกรรมต่อไปนี้
กิจกรรม "แยกให้ออก บอกให้ถูก" เป็นกิจกรรมในลักษณะที่ให้นักเรียนได้ทำภารกิจตอบคำถามวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นเพื่อตามหาศิลปินหรือตัวละครปริศนาที่ครูกำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนการเล่นดังนี้
๑. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มผลัดกันเล่นกลุ่มละรอบ ตามลำดับที่ตกลงกันไว้ (ครูอาจกำหนดภารกิจเล็ก ๆ เพื่อกำหนดลำดับการเล่น เช่น หมุนวงล้อสุ่ม)
๒. ให้นักเรียนเลือกแผ่นป้าย และช่วยกันพิจารณาข้อความที่เป็นคุณสมบัติของศิลปิน ดารา นักร้องหรือตัวละครในการ์ตูนที่ครูกำหนดให้ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเพื่อสะสมคะแนน โดยแต่ละข้อความจะมีคะแนนอยู่ ๑๐ คะแนนหากนักเรียนสามารถพิจารณาข้อความได้ถูกต้องก็จะได้คะแนนสะสมในแต่ละข้อ และหากนักเรียนทำคะแนนสะสมได้ ๓๐ ข้อขึ้นไปก็จะมีสิทธิ์ ได้เล่นรอบพิเศษทายชื่อศิลปิน ดารา นักร้อง หรือตัวละครจากคุณสมบัติเพื่อเก็บคะแนนเพิ่มเติม
การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ ให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้ง วิเคราะห์และจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุน และข้อคิดเห็น ระบุข้อสังเกตการชวนเชื่อ การโน้มน้าว หรือความสมเหตุสมผลของงานเขียน
ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้
ตัวชี้วัด
ท 2.1 ม. 2/5 วิเคราะห์และจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุน และข้อคิดเห็นจากบทความที่อ่าน
จุดประสงค์
- นักเรียนสามารถอธิบายหลักการวิเคราะห์และจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุน และข้อคิดเห็นจากบทความที่อ่านได้
- นักเรียนสามารถจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุน และข้อคิดเห็นจากบทความที่อ่านได้
- นักเรียนเห็นความสำคัญของการอ่าน และมีมารยาทในการอ่าน
การวัดผลและประเมินผล
แบบประเมินการเขียนแผนภาพความคิด
-เกณฑ์การประเมินการจำแนกข้อเท็จจริง ข้อมูลสนับสนุน และข้อคิดเห็นจากบทความที่อ่าน
การรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพราะในโลกยุคข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ต้องรู้จักวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น และสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์โดยใช้พื้นฐานของความคิดอย่างมีเหตุผลสามารถประเมินค่าและปฏิบัติการข่าวสารเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นการพูดวิเคราะห์ข้อเท็จจริงข้อคิดเห็นจากเรื่องที่ฟังและดูมีสาระสำคัญครบถ้วนตรงตามข้อเท็จจริงของเรื่อง และอ้างอิงแหล่งที่มาให้ชัดเจน
ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้
ตัวชี้วัด
ท3.1 ม. 2/2การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ
ท 3.1 ม. 216มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด
จุดประสงค์
-นักเรียนอธิบายหลักการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่างๆ ได้
-นักเรียนพูดวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่างๆ ได้
-นักเรียนมีมารยาทในการฟัง การดูและการพูด
การวัดผลและประเมินผล
-แบบประเมินการพูดวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น จากเรื่องที่ฟังและดู
การจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ เกิดจากปัญหาความด้อยคุณภาพของผู้เรียนที่ไม่สามารถนำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและคุณลักษณะต่างๆ ที่ตนเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและการดำรงชีวิตประจำวันได้ ส่งผลให้การศึกษาจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนจุดเน้นจาก ฐานเนื้อหา (content – based) ไปเป็นฐานสมรรถนะ (competency-based) ดังนั้น จึงจำเป็นที่ผู้เกี่ยวข้องและผู้สนใจทั้งหลายจะต้องเข้าใจ ว่า “ สมรรถนะ” คืออะไร
“สมรรถนะ”เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถของบุคคลในการประยุกต์ใช้ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ในการทำงาน การใช้ชีวิตและการแก้ปัญหา ศาสตราจารย์ David McClelland แห่งมหาวิทยาลัย Harvard พบว่า สมรรถนะเป็นคุณสมบัติที่สามารถทำนายความสำเร็จในการทำงานได้ดีกว่าเชาวน์ปัญญา (Intelligence) สมรรถนะจึงควรจะเป็นผลลัพธ์ที่พึ่งประสงค์ของการเรียนรู้ เพราะเป็นความสามารถในระดับใช้การได้ในชีวิต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต
ในเมื่อ “สมรรถนะ” มีความสำคัญและประโยชน์ต่อชีวิต การศึกษาจึงต้องทำหน้าที่พัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะที่จำเป็น แต่สมรรถนะอะไรที่เป็นความจำเป็นที่ผู้เรียนทุกคนจะต้องมีเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ป.1 – ม.6) ประเด็นนี้จึงเป็นคำถามสาคัญที่ต้องตอบให้ได้เป็นอันดับแรก
สมรรถนะทั้ง 10 ประการ เป็นสมรรถนะหลักที่เด็กและเยาวชนไทยจะต้องได้รับการพัฒนาในช่วงเวลา 12 ปี ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ได้ สมรรถนะทั้ง 10 ประการได้แก่
- ภาษาไทยเพื่อ การสื่อสาร
- คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
- กระบวนการสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์
- ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
- ทักษะชีวิตและความเจริญแห่งตน
- อาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ
- ทักษะการคิดขั้นสูงและนวัตกรรม
- การรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล
- การทำงานแบบรวมพลัง เป็นทีม และมีภาวะผู้นำ
- การเป็นพลเมืองตื่นรู้และมีจิตสำนึกสากล
การดำเนินการข้างต้นได้สมรรถนะหลัก 10 สมรรถนะ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ
1) คนไทยฉลาดรู้ (Literate Thais) มี 4 สมรรถนะหลัก คือ
(1) ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (Thai Language for Communication)
(2) คณิตศาสตร์ในชีวิตประจาวัน(Mathematics in Everyday Life)
(3) การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์(Scientific Inquiry and Scientific Mind)
(4) ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (English for Communication)
2) คนไทย อยู่ดี มีสุข (Happy Thais) มี 2 สมรรถนะหลัก คือ
(1) ทักษะชีวิตและความเจริญแห่งตน (Life Skills and Personal Growth)
(2) ทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship)
3) คนไทยสามารถสูง (Smart Thais) มี 2 สมรรถนะหลัก คือ
(1) ทักษะการคิดขั้นสูงและนวัตกรรม (Higher Order Thinking Skills and Innovation)
(2) การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล (Media, Information and Digital Literacy : MIDL)
4) พลเมืองไทย ใส่ใจสังคม (Active Thai Citizens) มี 4 สมรรถนะหลัก คือ
(1) การทางานแบบรวมพลังเป็นทีม และมีภาวะผู้นา (Collaboration Teamwork and Leadership)
(2) การเป็นพลเมืองตื่นรู้ที่มีสานึกสากล (Active Citizens with Global Mindedness)
ลักษณะสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum)
หลักสูตรฐานสมรรถนะแตกต่างจากหลักสูตรปัจจุบันตรงที่ การกำหนดเป้าหมายจะมุ่งไปที่สมรรถนะของผู้เรียนว่า ผู้เรียนจะ “ต้องทำอะไรได้” ซึ่งต่างจากหลักสูตรอิงมาตรฐานที่มาตรฐานและตัวชี้วัดจำนวนมากเน้น ไปที่ผู้เรียนว่า จะต้องรู้อะไร สรปุ ได้ว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะเน้น “ทักษะ (Skill)” ในขณะที่หลักสูตรอิงมาตรฐานค่อนข้างเน้น “เนื้อหาสาระ (Content)“
หลักสูตรฐานสมรรถนะเป็นหลักสูตรที่ยึดความสามารถที่ผู้เรียนพึงปฏิบัติได้เป็นหลัก เพื่อประกันว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับหนึ่งๆ จะมีทักษะและความสามารถในด้านต่าง ๆ ตามที่ต้องการ
องค์ประกอบสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ
1) ความรู้ (Knowledge)
2) ทักษะ (Skill)
3) คุณลักษณะ / เจตคติ (Attribute / Attitude)
4) การประยุกต์ใช้ (Application)
5) การกระทำ/ การปฏิบัติ (Performance)
6) งานและสถานการณ์ต่างๆ (Tasks / Jobs / Situations)
7) ผลสำเร็จ (Success) ตามเกณฑ์ที่กำหนด (Performance Criteria)
หลักสูตรฐานสมรรถนะ จะกำหนดมาตรฐานสมรรถนะ (Competency Standards) ขึ้นเป็นสมรรถนะขั้นตํ่าที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ สมรรถนะที่กำหนดให้ผู้เรียน โดยทั่วไปมี 2 ลักษณะ คือ
สมรรถนะหลัก
สมรรถนะหลักที่เรียกว่า Core Competency มีลักษณะเป็นสมรรถนะข้ามวิชาหรือคร่อมวิชา คือ เป็นสมรรถนะที่สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนได้ในสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่หลากหลาย หรือสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียนให้เรียนรู้สาระต่างๆ ได้ดีขึ้น ลึกซึ้งขึ้น สมรรถนะในลักษณะนี้
กล่าวได้ว่าเป็นสมรรถนะที่มีลักษณะ “content – free” คือ ไม่เกาะติดเนื้อหา หรือไม่ขึ้นกับเนื้อหา
ตัวอย่างสมรรถนะประเภทนี้ เช่น สมรรถนะการคิดขั้นสูง สมรรถนะการทำงานแบบรวมพลังสมรรถนะทักษะชีวิต ซึ่งสมรรถนะเหล่านี้ สามารถใช้เนื้อหาสาระใดๆ ก็ได้ในการพัฒนาเพียงแต่ว่าสมรรถนะบางสมรรถนะ อาจพัฒนาได้ดีกว่าในเนื้อหาบางเนื้อหา
สมรรถนะเฉพาะ
สมรรถนะเฉพาะ (Specific Competency) เป็นสมรรถนะเฉพาะวิชา / สาขาวิชาซึ่งจำเป็นสำหรับวิชานั้นๆ เช่น ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจะมีสมรรถนะเฉพาะของวิชา เช่น สมรรถนะด้านการพูดในโอกาสต่างๆ สมรรถนะด้านการประพันธ์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ก็มีสมรรถนะด้านการวาดภาพ การปั้นการประดิษฐ์
สาระวิชาต่างๆ จะมีสมรรถนะเฉพาะวิชาของตน ซึ่งมีลักษณะเป็น “ทักษะ” (Skill)หากผู้เรียนได้รับการฝึกทักษะจนสามารถใช้งานได้ และสามารถประยุกต์ใช้ทักษะนั้น
ระดับของสมรรถนะ
สมรรถนะทั้ง 2 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะหลัก หรือ สมรรถนะเฉพาะ ต่างก็มีระดับตั้งแต่ง่ายไปยาก ซึ่งหลักสูตรจะกำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบไต่ระดับ ไปตามระดับความสามารถของตน
ตัวอย่างเช่น สมรรถนะหลักด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งก็คือ การคิดที่มีการใช้วิจารณญาณพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนการตัดสินใจ การคิดอย่างมีวิจารณญาณสำหรับผู้เรียนในระดับประถมศึกษาจะเริ่มต้นตั้งแต่ระดับง่าย คือ สามารถคิดจำแนกข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นข้อคิดเห็นก่อน ต่อไปจึงเพิ่มระดับให้กว้างขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น
หลักสูตรฐานสมรรถนะโดยทั่วไป
หลักสูตรฐานสมรรถนะโดยทั่วไป จะกำหนดจุดประสงค์ การเรียนรู้เชิงสมรรถนะ (Learning Competencies) สำหรับผู้เรียนในช่วงวัยหรือช่วงชั้นต่างๆ ให้แก่ครู เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน
หลักสูตรฐานสมรรถนะนอกจากจะกำหนดสมรรถนะไว้ให้แล้ว อาจกำหนดสาระการเรียนรู้ขั้นตํ่าสำหรับการพัฒนาสมรรถนะที่กำหนดให้แก่ผู้เรียนหรืออาจให้โรงเรียนและครูกำหนดได้ตามความเหมาะสม
สมรรถนะและสาระการเรียนรู้ที่กำหนดให้นั้นเป็นขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับเด็กไทยทุกคนหลักสูตรจะต้องจัดให้มีพื้นที่สำหรับโรงเรียนและครูในการจัดการเรียนรู้สาระ ทักษะ และคุณลักษณะเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการตามความแตกต่างกันของผู้เรียน ภูมิสังคม และบริบท ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย
การกำหนดสมรรถนะที่เป็นเกณฑ์กลาง/มาตรฐานกลางสำหรับการจัดการศึกษาในแต่ละช่วงวัย จะเอื้ออำนวยให้สถานศึกษาสามารถพัฒนาหลักสูตรในรูปแบบต่าง ๆตามแนวคิดของตนได้ โดยยึดสมรรถนะเป็นเกณฑ์กลาง
สำหรับจุดเด่นของหลักสูตรฐานสมรรถนะ มีหลายประการดังนี้
1) ช่วยให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาสมรรถนะหลักที่สำคัญต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2) ช่วยให้การจัดการเรียนรู้ มุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะที่ต้องการ มิใช่มุ่งเป้าไปที่การสอนเนื้อหาความรู้จำนวนมาก ซึ่งอาจไม่จำเป็น หรือเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียน
3) ช่วยลดสาระการเรียนรู้ที่ไม่จำเป็น อันส่งผลให้สถานศึกษามีพื้นที่ในการจัดการเรียนรู้อื่นที่เป็นความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียน วิถีชีวิต วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และบริบทได้มากขึ้น
4) ช่วยลดภาระและเวลาในการสอบตามตัวชี้วัดจำนวนมาก การสอบวัดสมรรถนะหลักของผู้เรียน เป็นการสอบที่ช่วยให้เห็นความสามารถที่เป็นองค์รวมของผู้เรียน
5) กรอบสมรรถนะหลักของหลักสูตรฐาน
สมรรถนะเป็นสมรรถนะขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคน จะเป็นสมรรถนะกลางที่เอื้อให้สถานศึกษาที่มีศักยภาพ สามารถออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับความต้องการและบริบทของตนได้โดยยึดสมรรถนะกลางเป็นเกณฑ์เทียบเคียงซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดรูปแบบหลักสูตรที่หลากหลาย