สถานะที่ตั้ง
ที่ตั้ง 119 อยู่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร แขวงบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ประวัติความเป็นมา
วัดราชบุรณะ เดิมชื่อ "วัดเลียบ" สร้างขึ้นก่อนสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์ สถาปนาวัดเลียบขึ้นเป็นพระอารามหลวง เมื่อปีพุทธศักราช 2336 โดยพระราชทานนามว่า "วัดราชบุรณราชวรวิหาร"
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้สร้างพระอุโบสถและพระวิหารขึ้นใหม่มีพระระเบียงล้อมรอบพระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดนำมาจากหัวเมือง 162 องค์
ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้ขุดคูรอบพระอาราม 3 ด้าน ปากคูจรดคลองโอ่งอ่างซึ่งเป็นคูพระนคร โปรดให้สร้างพระปรางค์ ใหญ่ขึ้นองค์หนึ่ง ประดับกระเบื้องเคลือบทั้งองค์ สมัยรัชกาลที่ 4 วัดราชบุรณะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่ เนื่องจากมีการตัดถนนตรีเพชรผ่านกลางวัด โปรดให้สร้างห้องแถวให้ประชาชนอยู่อาศัย เพื่อเก็บผลประโยชน์บำรุงวัด ส่วนพื่นที่ด้านหลังห้องแถวโปรดให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ปีพุทธศักราช 2488 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดราชบุรณะถูกระเบิดทางอากาศทำให้พระอุโบสถ พระวิหาร และกุฏิเสนาสนะเสียหายมาก คณะสังฆมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีมติว่าสมควรยุบเลิกวัดเสีย จึงนำความกราบบังคมทูล และได้ยุบเลิกตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 และทางวัดได้อนุญาตให้วัดต่างๆ ในหัวเมือง อัญเชิญพระพุทธรูปที่ประดิษฐานพระระเบียงไปประดิษฐานยังวัดของตนได้ตามแต่ประสงค์ พระพุทธรูปเหล่านั้นจึงกระจายไปอยู่ตามวัดต่างๆ หลังสงครามสงบลงการบูรณะจึงเริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงยกช่อฟ้าและเททองหล่อพระประธานดังที่ปรากฏในปัจจุบัน ซึ่งการบูรณะในครั้งนี้ผู้ออกแบบคือ ศาสตราจารย์หลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) เรือนแก้วซุ้มพระประธานภายในเป็นฝีมือนายฟู อนันตวงษ์ พระปรางค์ไม่ได้รับภัยจากระเบิดแต่ชำรุดตามกาลเวลากระทรวงมหาดไทยได้บูรณะในปีพุทธศักราช 2505
วัดราชบุรณะนี้ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชสมัย รัชกาลที่ 2 และ 3 ทั้งยังมีพระภิษุที่มีชื่อเสียง 2 องค์ คือ สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครู (ขรัวอีโต้) และขรัวอินโข่ง มีชีวิตอยู่ในช่วง รัชกาลที่ 1 และ 2 ท่านได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากมหาชนตลอดจนเจ้านายทั้งหลาย ครั้นเมื่อท่านเสี่ยงความบริสุทธิ์ด้วยการลอยมีดโต้ลอยน้ำในสระกลางวัด ปรากฏว่ามีดโต้ลอยน้ำอย่างน่ามหัศจรรย์ นับแต่นั้นท่านก็ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากมหาชนตลอดจนเจ้านายทั้งหลาย และพระพิมพ์ของท่านชื่อว่า พระขรัวอีโต้ จำนวน 84,000 องค์ ที่ถูกค้นพบในพระเจดีย์ที่ถูกรื้อในปี พ.ศ. 2472 เพื่อใช้พื้นที่สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นั้นเป็นที่นับถือแพร่หลายเช่นเดียวกับพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆัง หรือพระรอด และนอกจากนั้นยังมีแผ่นศิลาจารึกปริศนาด้วยอักษรขอมอีกแผ่นหนึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ในตู้ภายในพระอุโบสถ ขรัวอินโข่ง เป็นพระภิกษุอีกรูปที่มีชื่อเสียงในฐานะจิตรกรเอก ในพระราชสำนักผู้หนึ่ง ผลงานจะมีอยู่ทั้งในพระนครและหัวเมืองแต่ไม่ปรากฏประวัติละเอียด ท่านเป็นจิตรกรท่านแรกที่นำเทคนิคภาพเขียนแบบยุโรปมาผสมผสานกับลักษณะดั้งเดิมของไทย คือ การใช้แสงเงาทำให้เกิดภาพแบบสามมิติ ผลงานของท่านในปัจจุบันคือ ภาพลายรดน้ำที่หอไตรวัดชัยชนะสงคราม(วัดตึก) จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ภาพจิตรกรรมฝาผนังในหอพระคันธารราษฎร์ หอพระราชกรมานุสร และหอพระราชพงศานุสรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถวัดมหาสมณาราม จังหวัดเพชรบุรี และสมุดร่างภาพรามเกียรติ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ที่วัดราชบุรณะนี้ ขรัวอินโข่งเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถหลังเดิม ซึ่งถูกระเบิดทำลายไปเมื่อปี พ.ศ. 2488 นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งที่ไม่เหลือผลงานอยู่ในวัดที่ท่านจำพรรษาจนมรณภาพ
สิ่งสำคัญในพระอาราม
พระประธาน ในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปแบบพระพุทธชินราช พระนามว่า พระพุทธมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเททองหล่อในพระอุโบสถเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2503
พระปรางค์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ฐานกว้างด้านละ 15 วา สูงจากพื้นถึงยอดนภศูล และยอดฉัตร 16 วา 2 ศอก ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งองค์ เป็นพระปรางค์ย่อมุมไม้ยี่สิบแปด มีฐานบัวซ้อนขึ้นไป 5 ชั้น แต่ละชั้นทำเป็นรูปมารแบกโดยรอบ ชั้นซุ้มค่อนข้างสูงเหนือชั้นซุ้มขึ้นไปเป็นชั้นกลีบขนุน 8 ชั้น ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล มีมงกุฎครอบบนนภศูลอีกทีหนึ่ง
ศาลาสมเด็จ เป็นศาลาตรีมุข ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ยาว 60 เมตร ลักษณะคล้ายศาลารายแต่ยกพื้นสูง แบ่งเป็นสองตอน พระคุณาจารวัตรร่วมกับคณะกรรมการสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2518
บรรณานุกรม
พระอารามหลวง. คณะผู้จัดทำ พิสิฐ เจริญสุข [และคนอื่นๆ] กรุงเทพฯ : กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม,2551.
พระระเบียงรอบพระอุโบสถ
สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นอาคารยาวรูปเหมือนกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าซ้อนกัน 2 ชั้น ทำหน้าที่ปิดล้อมและเป็นทางเข้าออกพระอุโบสถ พระระเบียงชั้นในมีขนาดใหญ่กว่าพระระเบียงชั้นนอกปิดล้อมลานพระอุโบสถ ผนังด้านนอกปิดทึบประดิษฐานพระพุทธรูป 150 องค์ ที่มุมของแนวอาคารซึ่งออกแบบให้ผนังที่พบกันเป็นมุมฉากมีมุมเพิ่มตามแบบมุมไม้สิบสองของไทย พระระเบียงชั้นในสามารถสัญจรได้โดยรอบ ส่วนพระระเบียงชั้นนอกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าออกแบบให้วางซ้อนอยู่ด้านนอกโดยรอบ แต่ตัดมุมฉากที่แนวอาคารมาพบกันให้วกกลับมาตั้งฉากกับอาคารพระระเบียงชั้นในแล้วเพิ่มมุมให้กับอาคารวิธีเดียวกับพระระเบียงชั้นในทำนองเดียวกับย่อมุมไม้สิบสอง แต่เส้นทางสัญจรไม่สามารถติดต่อได้ถึงกันตลอด เนื่องจากถูกแบ่งกั้นด้วยพระวิหารทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูป 244 องค์ ตามเสาพระระเบียงจารึกเพลงยาวกลบท 50 ฉันท์ วรรณพฤติ 50 ผนังพระระเบียงทั้ง 2 ชั้น ด้านในเป็นผนังทึบทำฐานชุกชี ผนังด้านหลังที่ตั้งพระพุทธรูป ในสมัยรัชกาลที่ 3 เขียนเป็นเรือนแก้ว มีขวดปักดอกไม้ระหว่างเรือนแก้ว เหนือเรือนแก้วเขียนเป็นลายแบ่งขาว ผนังเขียนเป็นริ้วดอกไม้ขาว ผนังทึบทุกมุมมุขของมุมพระระเบียงเขียนเรื่องนนทุกปกรณัม ระหว่างพระระเบียงทั้ง 2 ชั้น ซึ่งเรียกว่าชาลาเป็นที่ว่างไม่มีหลังคาตั้งถะหินหรือเจดีย์จีน จำนวน 20 องค์ ช่องทางข้าออกทำเป็นเสาประดับกรอบประตู ปั้นปูนปิดทองประดับกระจก ปัจจุบันซุ้มพระระเบียงด้านในไม่มีแล้วเหลือเพียงรอยอยู่ทางด้านเหนือเท่านั้น
พระเจดีย์
พระเจดีย์ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ประกอบด้วยเจดีย์ 4 ประเภท คือ พระเจดีย์ราย พระเจดีย์กลุ่ม พระปรางค์ และพระมหาเจดีย์ใหญ่ ดังนี้
พระเจดีย์ราย เป็นพระเจดีย์บรรจุอัสถิราชวงศ์ มีจำนวน 71 องค์ ออกแบบจัดวางอย่างเป็นระเบียบให้รายล้อมอยู่นอกวงพระระเบียงชั้นนอกของพระอุโบสถ พระเจดีย์รายนี้มีรูปแบบและสัดส่วนที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองที่งดงามที่สุดของยุครัตนโกสินทร์ เป็นแบบประเพณีนิยมประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเคลือบสีและศิลาเขียวเหมือนกันหมดทุกองค์ มีขนาดเล็กที่สุดในพระเจดีย์ทั้ง 4 ประเภทของวัด ลักษณะสำคัญจากฐานไปถึงยอดมีดังนี้ ส่วนฐานประกอบด้วยฐานเขียงย่อมุมไม้สิบสองแบบย่อ 90 ฐานสิงห์ ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองแบบย่อรัศมี 3 ชิ้น บัวปากระฆังทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองแบบย่อรัศมี 3 องค์ระฆัง ส่วนยอดประกอบด้วยบัลลังก์ บัวกลุ่ม 9 ชั้น ปลี ลูกแก้ว ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง
พระเจดีย์กลุ่ม เป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ กลุ่มละ 5 องค์ ตั้งอยู่ที่ตรงมุมวิหารคต ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง 4 องค์ ล้อมองค์กลาง ซึ่งมีขนาดใหญ่และสูงกว่า ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ลักษณะสำคัญของพระเจดีย์ 4 องค์เล็ก แบ่งเป็น ส่วนฐาน ประกอบด้วย ฐานทักษิณ ฐานเขียง ฐานสิงห์ 2 ชั้น บัวถลา บัวลูกแก้วอกไก่ บัวปากระฆัง ส่วนองค์ระฆังประกอบด้วย องค์ระฆังและบัลลังก์ และส่วนยอดประกอบด้วย คอฐานยอด บัวถลา บัวกลุ่ม 7 ชั้นปลี ลูกแก้ว ปลียอด เม็ดน้ำค้าง ในขณะที่พระเจดีย์องค์กลาง ส่วนฐาน ประกอบด้วย ฐานเขียงย่อมุมไม้สิบสอง ฐานสิงห์ 3 ชั้น บัวถลา บัวลูกแก้วอกไก่ บัวปากระฆัง ส่วนองค์ระฆังประกอบด้วย องค์ระฆังและบัลลังก์ และส่วนยอดประกอบด้วย คอฐานยอด บัวถลา บัวกลุ่ม 9 ชั้น ปลี ลูกแก้ว ปลียอด เม็ดน้ำค้าง
พระปรางค์ ส่วนฐาน ประกอบด้วย ฐานเขียงสี่เหลี่ยมตัดมุม ฐานสิงห์ 3 ชั้น ฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ส่วนเรือนธาตุ ประกอบด้วย ฐานบัวลูกแก้วอกไก่ เรือนธาตุ มีรูปปั้นเทวดายืนถือพระขรรธ์ในซุ้มคูหาทั้งสี่ทิศ บัวหงาย และส่วนยอดประกอบด้วยฐานยอดทำเป็นรูปปั้นมารแบก ปรางค์ ยอดนภศุล
พระมหาเจดีย์ มีจำนวน 4 องค์ เป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 ได้แก่
1. พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชรญดาญาณ เป็นพระมหาเจดีย์องค์กลางสีเขียว สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระนามว่า "พระศรีสรรเพชญ์" พระพุทธรูปองค์นี้เดิมอยู่วัดพระศรีสรรเพชรญ์ พระนครศรีอยุธยา ถูกพม่าเผาไฟลอกทองคำไปเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไม่สามารถบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ได้จึงอัญเชิญมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์นี้ และถือเป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 เมื่อได้บรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
2. พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน อยู่ทางด้านเหนือองค์สีเหลือง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่ออุทิศแด่พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถือกันว่าเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2
3. พระมหาเจดีย์มุนีบัติบริขาร อยู่ทางทิสใต้องค์สีส้มย่อมุมไม้สิบสอง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือกันว่าเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3
ลักษณะสำคัญของเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-3 จากฐานไปถึงยอดมีดังนี้ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนฐานประกอบด้วยฐานเขียงรูปสี่เหลียมตัดมุมทำในรูปฐานสิงห์ ฐานสิงห์ 3 ชั้น ฐานบัวปากระฆัง (ส่วนฐานบัวปากระฆังนี้มีลักษณะพิเศาเพิ่มจากแบบประเพณีทั่วไปคือ ประกอบด้วยบัวคว่ำลูกแก้วอกไก่ บัวปากระฆังและบัวเชิงบาตร) ส่วนองค์ระฆัง ส่วนบัลลังก์ คอฐานยอดมีเ สาหารรอบ บัวถลา ส่วนยอดประกอบด้วย บัวกลุ่ม 11 ชั้น ปลี ลูกแก้ว ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง
4. พระมหาเจดีย์ศรีสุริโยทัย อยู่ทางด้านทิศตะวันตกตรงกับองค์กลาง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 สร้างเลียนแบบเจดีย์ศรีสุริโยทัยที่วัดสวนหลวงสบสวรค์ พระนครศรีอยุธยา ลักษณะสำคัญของเจดีย์นี้ คือ ส่วนฐานสูง ประกอบด้วยฐานเขียงสูงทำเป็นฐานทักษิณ ฐานสิงห์ย่อมุมไม้สิบสองและย่อเก็จเพิ่ม ย่อแบบ 45 องศา ฐานบัวลูกแก้วกลม ย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนที่เป็นฐานเก็จเพิ่ม นั้นทำเป็นซุ้มคูหาทั้ง 4 ทิศ เฉพาะทิศเหนือและทิศใต้มีเจดีย์กลมตั้งอยู่บนหลังคาซุ้ม ส่วนองค์เจดีย์ ประกอบด้วยฐานบัวลูกแก้วกลม 3 ชั้น ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองแบบย่อรัศมี ส่วนองค์ระฆังและส่วนบัลลังก์ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองแบบย่อรัศมี คอฐานยอดมีเสาหาร ส่วนยอดประกอบด้วย ปล้องไฉน 21 ปล้อง ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจโบราณสถานในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : งานผังรูปแบบ ฝ่ายอนุรักษ์โบราณสถาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2538.