การที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีอารมณ์ดีอยู่เสมอจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยคุณแม่อาจฟังเพลงที่ตนเองชอบเสมอๆ นอกจากนี้การแบ่งปันเพลงเพราะๆ ให้เด็กน้อยในครรภ์จะช่วยให้มีการพัฒนาเรื่องการพูดและการฟังที่ดี สามารถทำได้ด้วยการใช้เสียงเพลงแนบหน้าท้อง เปิดเพลงไพเราะ ฟังสบายอย่างน้อยวันละ 10 นาที
ความเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังในไตรมาสแรก
- อาการแพ้ท้อง คุณแม่ส่วนใหญ่มักแพ้ท้องอย่างหนักในช่วงไตรมาสแรก คลื่นไส้ อาเจียน และรับประทานอาหารไม่ได้ หากคุณแม่ละเลยการรับประทานอาหาร อาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็นทั้งในทารกและตัวคุณแม่เอง ส่งผลให้ทารกในครรภ์ไม่ได้รับสารอาหารบำรุงสมองอย่างเพียงพอ ส่วนคุณแม่เกิดภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่และวิตามิน หากมีอาการแพ้ท้องมากควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
- เลือดออกทางช่องคลอด ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดมีความเสี่ยงต่อชีวิตของทารกในครรภ์และคุณแม่อย่างมาก ถือเป็นอันตรายที่สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุครรภ์ จึงควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด
- ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง แม้คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักพบอาการปวดท้องน้อยเป็นปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกมีการขยายตัวเพื่อรองรับตัวอ่อนในครรภ์ แต่หากอาการปวดมากขึ้นจนผิดสังเกต หรือปวดติดต่อกันยาวนาน ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
ทั้งนี้ภาวะเสี่ยงในไตรมาสแรกยังขึ้นกับโรคประจำตัวของคุณแม่ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โลหิตจาง ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และโรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น นอกจากนี้อายุของมารดาขณะตั้งครรภ์ก็มีผลต่อความเสี่ยงเช่นกัน โดยคุณแม่ตั้งครรภ์มีอายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 40 ปี ควรปรึกษาแพทย์และตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
ท้องไตรมาสแรก กับการตรวจคัดกรองครรภ์เสี่ยง
การเอาใจใส่ดูแลคุณแม่ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ถือเป็นสิ่งจำเป็น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่วิตกกังวลจนเกินไป แต่ก็ไม่ละเลยอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่มองว่าเป็นเรื่องปกติ โดยการฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ตรวจคัดกรองความเสี่ยงของครรภ์เป็นพิษในช่วง 3 เดือนแรก สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้สูงถึง 90 % และสามารถป้องกันการเกิดครรภ์พิษได้ 70% ที่สำคัญคุณแม่ตั้งครรภ์ควรมาพบแพทย์ตามนัด ปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ ไม่ซื้อยารับประทานเอง เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์
ในระยะตั้งครรภ์ร่างกายเกือบทุกระบบจะมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง ทำให้ตลอดอายุครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดความไม่สุขสบายขึ้น ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ร่างกายอาจเกิดความผิดปกติได้ถ้ามีการละเลย
ตลอดระยะการตั้งครรภ์ สามารถจำแนกความไม่สุขสบายที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ดังต่อไปนี้
คลื่นไส้ อาเจียน(Morning Sickness)
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ หรือมีอายุครรภ์ประมาณ 6-8 สัปดาห์ อาการส่วนใหญ่ก็จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หรืออยากกินของแปลกๆ หรืออาหารรสจัดในบางราย แต่เมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 12-16 สัปดาห์อาการนี้ก็จะหายไป ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจึงทำให้อาหารผ่านไปสู่กระเพาะช้า และหญิงมีครรภ์มีความวิตกกังวล เช่น กลัวการคลอดหรือปัญหาครอบครัว หรือไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ แต่ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่นอน
มีน้ำลายมาก(Salivation)
เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีเพิ่มขึ้น หรืออาจเกิดจากภาวะจิตใจของหญิงตั้งครรภ์ ทำให้ไม่สามารถกลืนหรือบ้วนทิ้งไปได้
เหงือกอักเสบ(Gingivitis)
เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนไปกระตุ้น ทำให้มีการคั่งของโลหิตมีมากขึ้น อาจทำให้เลือดออกได้ง่าย
ร้อนในอก(Heart burn)
มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ระบบทางเดินอาหารมีการย่อยลดลง ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดในกระเพาะอาหาร ทำให้มีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร ทำให้บริเวณยอดอกและลำคอมีอาการแสบร้อน
ท้องผูก(Constipation)
เนื่องจากลำไส้ถูกกดด้วยมดลูกที่มีขนาดโตขึ้น ทำให้การเคลื่อนที่ของกากอาหารทำได้ลำบาก และกระเพาะอาหาร ลำไส้ ก็เคลื่อนไหวได้ช้าลงจากระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น
ริดสีดวงทวาร(Hemorrhoids)
เกิดจากเลือดมีการไหลเวียนที่ไม่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น และการขยายใหญ่ของมดลูกจนไปกดเส้นเลือดดำ เมื่อมีอุจจาระแข็งจากอาการท้องผูกก็จะทำให้มีเลือดสดๆ ออกมากับอุจจาระ เนื่องจากเกิดการฉีดขาดของเส้นโลหิตที่โป่งพอง
ใจสั่น เป็นลม
เกิดจากเลือดมีการไหลเวียนไปยังสมองได้ไม่ดี เนื่องจากการขยายตัวของหลอดเลือด หรือจากการเปลี่ยนอิริยาบถในท่าต่างๆ เร็วเกินไป
เป็นลมเนื่องจากนอนหงาย
เกิดจากเลือดไหลเวียนไปสู่หัวใจได้ไม่ดี จากมดลูกที่ไปกดเส้นเลือดที่เข้าสู่หัวใจเมื่อนอนหงาย
หายใจตื้นและลำบาก
เมื่อมดลูกโตขึ้น ทำให้การขยายตัวของกระบังลมทำได้ไม่เต็มที่ หรือมีความไวเพิ่มมากขึ้นต่อการกระตุ้นตะคริว
เกิดจากระหว่างแคลเซียมและฟอสฟอรัสมีการเสียสมดุล ทำให้ในกระแสเลือดมีแคลเซียมน้อย หรือเกิดจากบริเวณขามีเส้นเลือดตีบ
ปวดหลัง
เมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น ทำให้มีการถ่วงของน้ำหนักมาด้านหน้า ทำให้มีการเกร็งกล้ามเนื้อหลังมากกว่าปกติหรือแอ่นมาข้างหลัง จนทำให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่างๆ บริเวณกระดูกเชิงกรานยืดออกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด จึงทำให้มีอาการปวดบริเวณข้อต่อต่างๆ ขึ้น
ปัสสาวะบ่อย
เมื่อมดลูกโตขึ้น จนไปกดกระเพาะปัสสาวะ จะทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุได้น้อยลง หรือจากการกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ
อาการคัน
บริเวณผิวหนังทั่วไปยังไม่ทราบถึงสาเหตุของอาการคัน ส่วนการคันที่บริเวณหน้าท้อง เกิดมาจากสาเหตุที่กล้ามเนื้อและผิวหนังมีการยืดขยายขึ้น
หน้าท้องลายเป็นสีน้ำตาลแข้ม
ผิวบริเวณต่างๆ ของร่างกายคล้ำขึ้นได้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้วไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มขึ้นด้วย
อ่อนเพลีย
อาจมีผลมาจากการขาดอาหาร เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือในระยะตั้งครรภ์มีฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมักพบอาการนี้ในระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์
บวม
เนื่องจากในเนื้อเยื่อของร่างกายมีน้ำคั่งอยู่ มักมีอาการบวมที่บริเวณปลายมือ ปลายเท้า อาการนี้สามารถหายไปได้เอง แต่ถ้ามีความดันโลหิตสูงก็ควรนึกถึงภาวะความดันโลหิตสูงในระยะตั้งครรภ์ด้วย
ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดย: อาจารย์ศิรินันท์ ตรีมงคลทิพย์
หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ(การแพทย์แผนไทยประยุกต์)
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตปทุมธานี