ใส่ถุงยางกินยาคุมฉุกเฉิน ท้องไหม

ยาคุมฉุกเฉิน หรือ ยาคุมกําเนิดฉุกเฉิน หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency contraception pill) คือยาฮอร์โมนเช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดธรรมดา ที่ผลิตออกมาเพื่อใช้เฉพาะในเหตุการณ์จำเป็นฉุกเฉินเท่านั้น แต่ตัวยาจะมีขนาดฮอร์โมนสูงกว่า ใช้กินเพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยจะเกิดผลดีหากใช้อย่างถูกต้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เต็ม 100% เพราะในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการคุมกำเนิดแบบใดที่ให้ผลเต็มร้อย ไม่ว่าจะเป็นการทำหมันหรือใส่ถุงยางอนามัยก็ตาม โดยตัวยาจะทำให้เยื่อบุมดลูกเปลี่ยนแปลงจนไม่เหมาะกับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว

สรุปแล้วยาคุมฉุกเฉินก็คือยาคุมที่เหมือนกับยาคุมกำเนิดธรรมดาทั่วไปนั่นแหละครับ เพียงแต่จะมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดสูงกว่า และมีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายในเวลาที่กำหนด ไม่ควรใช้เพื่อการคุมกำเนิดในระยะยาว ถ้าจะคุมกำเนิดยาว ๆ แนะนำให้กินเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดแบบธรรมดาจะดีกว่าครับ เพราะจะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่า หรือจะเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นก็ได้ เช่น การใส่ห่วงอนามัย การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด การฝังยาคุมกำเนิด เป็นต้น

ข้อบ่งใช้ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินมีข้อบ่งใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ใน “กรณีฉุกเฉินเท่านั้น” ซึ่งคำว่าฉุกเฉินในที่นี้หมายถึง

  • สตรีที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือการมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่เต็มใจหรือไม่ตั้งใจ
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้มีการคุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ
  • การมีเพศสัมพันธ์ในคู่สามีภรรยาที่มีการคุมกำเนิดอยู่ แต่การใช้วิธีคุมกำเนิดปกติเกิดความผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือมีเหตุฉุกเฉิน เช่น การนับระยะปลอดภัยผิดพลาด, ถุงยางอนามัยรั่ว แตก หรือฉีกขาด, ห่วงอนามัยหลุด, ลืมฉีดยาคุมกำเนิด, ลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดเกิน 3 วันขึ้นไป

วิธีการกินยาคุมฉุกเฉิน

การกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (แบบเดิม) อย่างถูกต้อง มีดังนี้

  • ต้องกินยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรก “ให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน” โดยไม่ควรนานเกินกว่า 120 ชั่วโมง (5 วัน) หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ (แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน และจะให้ผลดีที่สุดคือไม่เกิน 12 ชั่วโมง) และต้องกินยาคุมฉุกเฉิน (เม็ดที่ 2) ซ้ำอีก 1 เม็ด หลังจากกินยาเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง เช่น มีเพศสัมพันธ์เสร็จและเริ่มกินยาเม็ดแรกเวลา 0.00 น. เมื่อครบ 12 ชั่วโมงให้กินซ้ำอีก 1 เม็ด คือ เวลา 12.00 น.
  • เพื่อความสะดวก สามารถกินยาคุมฉุกเฉินได้พร้อมกัน 2 เม็ดในครั้งเดียว ซึ่งเป็นขนาดที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กิน โดยที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยจะไม่แตกต่างจากการแบ่งกินเป็น 2 ครั้ง ซึ่งในต่างประเทศจะนิยมรูปแบบการกินในครั้งเดียวมากกว่า โดยตัวยาที่จำหน่ายจะมีความแรงจากเดิมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คือจะมีตัวยาลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ขนาด 1.5 มิลลิกรัม เพียง 1 เม็ด จึงทำให้เกิดความสะดวกในการกินมากกว่าแบบ 2 เม็ด แต่วิธีนี้จะไม่ค่อยเหมาะกับมือใหม่ครับ เพราะในบางรายยังพบว่าจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน (จากการกินยาเพียงครั้งเดียวพร้อมกัน 2 เม็ด) ได้มากกว่าการแบ่งกิน 2 ครั้ง
  • ในกรณีที่กินยาในแต่ละเม็ด แล้วเกิดอาเจียนหรืออ้วกออกมาภายใน 2 ชั่วโมง จะต้องกินยาใหม่ (กินซ้ำอีก 1 เม็ดในทันที) สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยกินหรือกลัวกินแล้วอาเจียนจะซื้อมาเผื่ออีก 1 กล่องก็ได้ครับ
  • หลังกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ การกินยาแก้อาเจียนก่อนยาคุมฉุกเฉินจะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ดี
  • ไม่แนะนำให้กินยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 กล่อง หรือ 4 เม็ดต่อเดือน เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงกับรังไข่ในระยะยาวได้
  • สามารถกินยาคุมฉุกเฉินได้ แม้จะกินยาคุมกำเนิดชนิดปกติอยู่แล้วก็ตาม “แต่จะกินได้เฉพาะในกรณีที่ลืมกินยาเกิน 3 วัน ร่วมกับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน” ในกรณีนี้เราสามารถกินยาคุมฉุกเฉินแทรกเข้าไปได้โดยไม่แทรกแซงการทำงานของยาคุมชนิดปกติ
  • สำหรับการเก็บรักษายาคุมฉุกเฉิน ควรเก็บในที่อุณหภูมิห้องปกติหรือไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส

กินยาคุมฉุกเฉินแล้วประจำเดือนจะมาเมื่อไหร่

ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาขับประจำเดือนหรือทำให้ประจำเดือนมา แต่ผลข้างเคียงจากยาอาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดในช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังกินยาได้ ซึ่งพบได้ประมาณ 16% (โดยเลือดที่ออกมามักเป็นผลข้างเคียงจากยา ไม่ใช่ประจำเดือน) ส่วนประจำเดือนจริง ๆ ของรอบเดือนนั้น มักจะมาในช่วงเวลาเดิม ซึ่งในบางรายอาจมาช้าหรือเร็วกว่าปกติก็ได้ ดังนั้น คุณจึงควรรอให้ถึงกำหนดเวลาปกติที่ประจำเดือนจะมาก่อน และหากพ้นเวลานั้นไปแล้วประมาณ 1-3 สัปดาห์ (จากที่ประจำเดือนควรจะมา) แล้วประจำเดือนยังไม่มา ให้สงสัยไว้ก่อนว่ากำลังตั้งครรภ์ และคุณควรรีบไปพบแพทย์

ยกตัวอย่าง : หากคุณมีรอบเดือนปกติคือ 28 วัน (ประจำเดือนมาทุก ๆ 28 วัน) ประจำเดือนครั้งล่าสุดมาวันแรกคือวันที่ 1 มกราคม หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันและกินยาคุมฉุกเฉินวันที่ 14 มกราคม ในช่วงวันที่ 15-21 อาจมีเลือดออกผิดปกติหรือออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดได้ ซึ่งไม่ใช่เลือดประจำเดือน เมื่อครบ 28 วัน ประจำเดือนควรจะมาวันที่ 29 มกราคม ซึ่งประจำเดือนจริง ๆ อาจจะมาช้ากว่าหรือเร็วกว่าวันที่ 29 มกราคมก็ได้ แต่ถ้าเลยหลังวันที่ 29 ไปแล้วประมาณ 1-3 สัปดาห์ ประจำเดือนยังไม่มา คุณควรทดสอบการตั้งครรภ์ และรีบไปพบแพทย์

ข้อควรรู้ : กินยาคุมฉุกเฉินแล้วมีเลือดออกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ท้อง เพราะเลือดที่ออกมาอาจไม่ใช่ประจำเดือนก็ได้ อย่าประมาทกันล่ะครับ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน

  • ก่อนการใช้ยาคุมฉุกเฉิน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ (ไม่ต้องอายครับ เพราะมันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ สำหรับแพทย์หรือเภสัช)
  • ถึงแม้จะใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง (กินทันทีหรือภายในเวลาที่กำหนด) ก็อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ ถ้าพลาดตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำแท้งครับ เพราะเด็กจะยังปกติดีอยู่
  • ประสิทธิภาพของยาจะดีถ้าคุณกินยาทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการกินยาภายใน 72 ชั่วโมง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75-79% (รวมยาเม็ดที่ 2 แล้ว) แต่ถ้าเริ่มกินยาภายใน 12-24 ชั่วโมงแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงขึ้นเป็น 85% ดังนั้น คุณควรกินยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ส่วนการกินยาหลังจากเลย 72 ชั่วโมงไปแล้ว หรือตั้งแต่ 72-120 ชั่วโมง (3-5 วัน) ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงเหลือเพียง 60%)
  • ระหว่างยาเม็ดแรกกับเม็ดที่ 2 คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย เพราะประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยายังคงมีเท่าเดิม แต่อย่าลืมว่าประสิทธิภาพไม่ใช่ 100% โอกาสตั้งครรภ์จะยังคงมีอยู่ (ในกรณีที่กินยาครบ 2 เม็ดแล้ว หลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กันอีก แบบนั้นจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้สูงมากครับ ไม่ควรทำ)
  • ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูงครับ (หากใช้อย่างถูก) ความเชื่อที่ว่ากินแล้วอันตราย ทำให้เป็นมะเร็ง ตั้งครรภ์นอกมดลูก ไม่จริงนะครับ “ถ้าคนทั่วไปยังกินยาคุมกำเนิดแบบธรรมดาได้ คุณก็กินยาคุมฉุกเฉินได้แบบไม่ต้องกังวลครับ
  • จากการศึกษาพบว่า คุณสามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้มากกว่า 1 ครั้ง (ไม่เกิน 2 ครั้ง) ภายใน 1 เดือน โดยไม่มีอาการข้างเคียงรุนแรงใด ๆ จากการใช้ดังกล่าวในคนมากกว่า 30 ปี พบว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่มีความสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือความสามารถในการตั้งครรภ์หลังเลิกใช้ยา
  • ไม่ควรใช้ยานี้เพื่อคุมกำเนิดเป็นประจำหรือใช้ในระยะยาว เพราะหากใช้ซ้ำกันหลายครั้งอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ดังนั้นหากต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว คุณควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพและได้ผลดีกว่า
  • การกินยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำจะเกิดอาการข้างเคียงเหล่านี้ได้สูง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้การ “ใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำหลังร่วมเพศทุกครั้งอาจจะเกิดการตั้งครรภ์ได้สูงและอาการแทรกซ้อนได้มากขึ้นด้วย
  • ยาคุมฉุกเฉินห้ามกินเกิน 2 ครั้งในชีวิต ส่วนนี้ “ไม่จริง” นะครับ คุณสามารถกินได้มากกว่า 2 ครั้ง เพียงแต่ไม่ควรกินเกิน 2 กล่องต่อเดือน ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
  • มีความเข้าใจผิด ๆ ว่าการกินยาคุมฉุกเฉินโดยไม่ทราบว่ามีการตั้งครรภ์ จะทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ส่วนนี้ไม่เป็นความจริงนะครับ เพราะมีรายงานว่า “ยังไม่พบทารกพิการจากการที่มารดากินยาคุมฉุกเฉินโดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์“
  • ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช้ยาทำแท้ง หลายคนยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่ เพราะยาจะต้องเข้าไปในร่างกายก่อนที่จะมีการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก แต่หากไข่ที่ผสมกับอสุจิได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว จะกินยาคุมฉุกเฉินก็ไม่ได้ช่วยอะไร สรุป “ยาคุมฉุกเฉินมีฤทธิ์ยับยั้งหรือรบกวนการตกไข่ ไม่ใช่ยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อน” จึงไม่มีผลทำให้แท้งหรือทำให้ทารกในครรภ์พิการ
  • ยาคุมฉุกเฉินไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด เพราะหน่วยงานควบคุมยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency: EMA) ออกมายืนยันแล้วว่า “ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าการกินยาคุมฉุกเฉินแล้วจะทำให้อ้วนขึ้นหรือตัวบวมขึ้น
  • ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสมะเร็งปากมดลูก หรือกามโรคชนิดต่าง ๆ แต่การใช้ถุงยางอนามัยนอกจากจะช่วยคุมกำเนิดได้แล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
  • หากมีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนขาดหรือประจำเดือนไม่มา ให้รีบไปพบแพทย์
  • หลังใช้ยาคุมฉุกเฉินและประจำเดือนมาแล้ว ถ้าอยากกินยาคุมแบบปกติทั้งแบบ 21 เม็ดและ 28 เม็ด คุณต้องตระหนักไว้ว่า “ในแผงแรกอาจยังไม่ได้ผลในการคุมกำเนิดอย่างเต็มที่ คุณควรใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วยไปจนกว่าจะขึ้นแผงที่ 2” เพื่อความชัวร์
  • การคุมกำเนิดฉุกเฉิน ไม่ได้มีเพียงแต่การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังมีใช้ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทอง (Copper IUDs) เพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินทั่วไปที่จะเป็นการใช้ฮอร์โมนเพื่อเข้าไปชะลอกระบวนการตกไข่ ส่วนห่วงหุ้มทองแดงนั้นจะมีสารที่เข้าไปทำลายไข่และเชื้ออสุจิไม่ให้เกิดการปฏิสนธิกันได้ โดยสามารถใส่ห่วงอนามัยได้ภายใน 120 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครร์จะอยู่ที่ 0.09 – 0.10% เท่านั้น ซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ดีกว่าวิธีการคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบอื่น ถ้าไม่มีการถอดห่วงออกก็จะเป็นการคุมกำเนิดต่อไปได้อีกนานตราบเท่าที่ต้องการ (ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วง มีทั้ง 3 ปี, 5 ปี และแบบ 10 ปี แต่ในภาพด้านล่าง คือ คอปเปอร์ที Copper T 380 (Paragard®) ที่มีอายุการใช้งานได้นานถึง 10 ปี)

ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน

  • ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ๆ จากยาคุมฉุกเฉินจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เจ็บคัดเต้านม ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริดกะปรอย (ออกมาเล็กน้อยประมาณ 1-2 วัน หรือ 3-4 วัน) ประจำเดือนมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา และจะหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง (ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ไม่ได้หมายความว่าจะมีอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นได้เกือบทุกคนที่ใช้นะครับ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กินแล้วมีอาการข้างเคียงดังกล่าว หากกินไปแล้วไม่มีอาการดังกล่าวก็ไม่ต้องแปลกใจ)
  • การกินยาคุมฉุกเฉินในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่การใช้ยานี้ติดต่อกันนาน ๆ นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ด้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ถึง 2% ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้เกิน 2 กล่องต่อเดือน

ยี่ห้อยาคุมฉุกเฉิน

ผลิตภัณฑ์ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินที่จำหน่ายในบ้านเราจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ยี่ห้อหลัก ๆ ครับ คือ มาดอนน่า กับ โพสตินอร์ ซึ่งเป็นยาคุมฉุกเฉินที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงเดียว คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดก็พอ ๆ กันครับ เพราะเป็นตัวยาเดียวกันและมีขนาดเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจะชอบของถูก (ของไทย) หรือของแพง (ของนอก) มากกว่า ส่วนยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวมก็มีครับ คือรวมทั้งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Levonorgestrel) กับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Ethinyl estradiol) เข้าด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้มันมียาคุมฉุกเฉินออกมาใหม่ครับ คือ Ulipristal acetate ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าแบบเดิม แต่ในบ้านเราตอนนี้ยังไม่มีขายนะครับ คงต้องรอไปก่อน คราวนี้มาดูกันต่อดีกว่าครับว่าแต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกันยังไง

  • ยาคุมฉุกเฉินโพสตินอร์ (POSTINOR) : ราคาประมาณ 40-60 บาท แต่ผมซื้อจากร้านยาในเซเว่นมากล่องละ 58 บาทครับ (29/10/58) ในกล่องยาจะมีแผงยา 1 แผง และเอกสารกำกับยา 1 แผ่น ยาในแผงจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เม็ด เม็ดยาจะเป็นสีขาว มีลักษณะกลม ผิวหน้าแบนทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งมีอักษร NOR ส่วนอีกด้านหนึ่งเรียบ ในยา 1 เม็ดจะประกอบไปด้วย ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) 0.75 มิลลิกรัม (ผลิตโดย Gedeon Richter Plc., Budapest-Hungary) โดยตัวยา Levonorgestrel จะเป็น Progestin (synthetic progestogen) รุ่นที่ 2 ออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดโดยการชะลอหรือยับยั้งการเจริญของถุงไข่หรือการแตกของถุงไข่ จึงเป็นการยับยั้งการตกไข่ หากกินยาหลังการตกไข่หรือหลังจากที่ฮอร์โมน Luteinizing hormone (LH) มีระดับสูงสุดแล้ว (เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่จะเกิดการตกไข่ตามมา) จะป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ได้

  • ยาคุมฉุกเฉินมาดอนน่า (Madonna) : ราคาประมาณ 30-40 บาท ผมซื้อจากร้านยาในเซเว่นมากล่องละ 40 บาท (29/10/58) ในกล่องยาจะมีแผงยา 1 แผง และเอกสารกำกับยา 1 แผ่น ยาในแผงจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เม็ด เม็ดยาเป็นสีขาว มีลักษณะกลม ผิวหน้าแบนทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งมีอักษร NOR และ 750 ส่วนอีกด้านหนึ่งเรียบ ในยา 1 เม็ด จะประกอบไปด้วย ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) 0.75 มิลลิกรัม เช่นเดียวกับยาคุมโพสตินอร์ครับ (ผลิตโดย บริษัท ไบโอแลป จำกัด)

  • ยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวม หรือที่เรียกว่า Yuzpe Regimen : เป็นการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Ethinyl Estradiol – EE) 0.1 มิลลิกรัม และโปรเจสเตอโรน (Levonorgestrel) ขนาด 0.5 มิลลิกรัม ใช้กินครั้งละ 2 เม็ด 2 ครั้ง (รวม 4 เม็ด) ภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยตัวยาจะเข้าไปขัดขวางการปฏิสนธิของอสุจิและไข่ ช่วยยับยั้งการตกไข่ หรืออาจมีผลต่อการทำงานของคอร์ปัสลูเทียมก็ได้ วิธีนี้เป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีข้อเสียคือผลข้างเคียงจะมีมากกว่า 2 ตัวแรกครับ แต่ในปัจจุบันยาเม็ดชนิดนี้แทบจะไม่ค่อยมีใช้กันแล้วครับ
  • ยาคุมฉุกเฉิน ellaOne 30 mg : ยาคุมฉุกเฉินแบบใหม่ที่ FDA ให้การรับรองเป็นที่เรียบร้อย ในบางประเทศมีใช้กันมาระยะหนึ่งแล้วครับ แต่ในบ้านเรายังไม่มีขาย ตัวยาที่นำมาใช้ คือ Ulipristal acetate ขนาด 30 มิลลิกรัม เป็นยาในกลุ่ม selective progesterone receptor modulator รุ่นที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดฉุกเฉินสูงกว่าลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์แม้ว่าจะกินยาล่าช้าออกไปจนถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) หลังการมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม และยาตัวนี้ยังมีประสิทธิภาพแม้อยู่ในช่วงที่ฮอร์โมน Luteinizing hormone (LH) มีระดับสูงสุด (เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่จะเกิดการตกไข่ตามมา) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว โดยออกฤทธิ์รบกวนการทำหน้าที่ของตัวอสุจิ หรือการผสมระหว่างไข่กับอสุจิ หรือการเตรียมความพร้อมของเยื่อบุมดลูก หากกินยานี้ภายใน 120 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์พบว่าจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงกว่า Levonorgestrel ครับ โดยความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์จะลดลงไปครึ่งหนึ่งของการใช้ Levonorgestrel เลยทีเดียว ! ส่วนในด้านความปลอดภัยก็ไม่แตกต่างจาก Levonorgestrel ครับ เพราะจากการใช้ไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงร้ายแรง และไม่มีหลักฐานว่ายาตัวนี้จะทำให้ทารกพิการหากการคุมกำเนิดล้มเหลว นอกจากนี้ภาวะน้ำหนักตัวมากเกินหรือโรคอ้วนก็ยังกระทบต่อประสิทธิภาพของยานี้น้อยกว่า Levonorgestrel ด้วยครับ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้จากยานี้ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง และปวดประจำเดือน

คำถามที่พบบ่อย

Q : หาซื้อยาคุมฉุกเฉินได้ที่ไหน ?
A : ตามร้านขายยาทั่วไป ราคาประมาณ 30-50 บาท (ควรซื้อไว้ 2 กล่อง เพราะอาจมีการอาเจียนหลังกิน)

Q : กินยาคุมฉุกเฉินก่อนมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ ?
A : กินก่อนได้ แต่ประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่าตอนกินหลังมีเพศสัมพันธ์ทันที

Q : กินยาคุมฉุกเฉินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วหลายวันได้หรือไม่ ?
A : ได้ครับ อย่างช้าสุดไม่ควรเกิน 5 วัน (แต่ประสิทธิภาพจะน้อย) จะให้ดีคือไม่เกิน 3 วันจะได้ผล 75% แต่ถ้ากินภายใน 24 ชั่วโมงหรือกินทันทีจะป้องกันได้ถึง 85% (ยิ่งเร็วยิ่งดี)

Q : หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินแล้วเมื่อไหร่ประจำเดือนจะมา ?
A : โดยทั่วไปแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์ และในรอบเดือนถัดไปประจำเดือนจะมาในช่วงเวลาเดิม (ในบางรายอาจมาช้าหรือเร็วกว่าเดิม) หากประจำเดือนไม่มาให้สงสัยไว้ก่อนว่าตั้งครรภ์ แล้วควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอีกที

Q : กินยาคุมฉุกเฉินแล้วประจำเดือนไม่มา ?
A : ต้องรอดู 2-3 สัปดาห์ หากประจำเดือนยังไม่มา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าตั้งครรภ์

Q : หลังจากกินยาคุม 3-5 วัน แล้วพบว่ามีเลือดออก หมายความว่าไม่ตั้งครรภ์แล้วใช่ไหม ?
A : ไม่ใช่ครับ เพราะส่วนใหญ่อาจเป็นผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินก็ได้ และจะหายไปเองใน 2-3 วัน

Q : กินยาคุมฉุกเฉินแล้วจะมีเลือดออกหรือเปล่า ?
A : หลังกินยา 3-5 วันอาจมีเลือดออก และถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับบางรายก็ไม่มีอาการดังกล่าว

Q : หลังจากกินยาคุมฉุกเฉิน 3-5 วันแล้วมีเลือดออก จะเริ่มกินยาคุมกำเนิดแบบธรรมดาได้เลยไหม ?
A : เริ่มกินได้เลยครับ แต่แผงแรกควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัย เมื่อถึงเดือนถัดไปยาก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่แล้ว

Q : กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย จะเป็นอะไรไหม ?
A : มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์สูงมากขึ้น เพราะประจำเดือนอาจจะมาไม่ตรง (ห้ามใช้เกินเดือนละ 2 กล่อง)

Q : ยาคุมฉุกเฉิน มีอันตรายหรือไม่ ?
A : หากใช้อย่างถูกวิธี ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ กับร่างกายได้ (หากไม่จำเป็นจริง ๆ ห้ามใช้เด็ดขาด) แต่สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวกับเส้ยเลือดหัวใจ โรคลมชัก โลหิตแข็งตัว ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน

Q : ระหว่างยาคุมฉุกเฉินกับถุงยางอนามัย อันไหนดีกว่ากัน ?
A : ถุงยางอนามัยดีกว่า เพราะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศได้อีกด้วย

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย

เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด

กินยาคุมและใส่ถุงท้องไหม

2. หากทานยาคุมกำเนิดอยู่ และทานได้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 99% ดังนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมไปด้วย แต่หากไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์จริงๆ ก็อาจใส่เพื่อช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ลงไปอีก อีกทั้งช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย

ใส่ถุงยางต้องกินยาคุมฉุกเฉินไหม

การมีเพศสัมพันธ์แบบที่ได้ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเอาไว้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ และถุงยางไม่ขาด ไม่รั่วเลยนั้น มีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยกว่า 2%ค่ะ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินตามเข้าไปอีก

ใส่ถุงกินยาคุมฉุกเฉนได้ไหม

การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยนั้น หากใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่มีการฉีกขาดหรือรั่วซึม ถุงยางก็จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 98% ดังนั้น จริงๆ แล้ว จึงไม่ควรทานยาคุมฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น

กินยาคุมรายเดือนไม่ใส่ถุงยางได้ไหม

ถ้าได้รับประทานยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนติดต่อกันมาเกิน 7 วันแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์หลั่งในได้อย่างปลอดภัย มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า 1% ค่ะ ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยอีก แต่สามารถใส่ได้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง