ที่มาคอลัมน์ จิตวิวัฒน์ ผู้เขียนจุมพล พูลภัทรชีวิน www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เผยแพร่วันที่ 3 มีนาคม 2561
ความแตกต่างที่ถูกบีบรัดให้เหมือนกัน
เกณฑ์กำกับสหกรณ์ที่ถูกออกแบบ และได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและแนวปฏิบัติของเกณฑ์กำกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินทั่วๆ ไป ภายใต้การครอบงำของระบบคิดและระบบปฏิบัติแบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม โดยมิได้คำนึงถึงจิตวิญญาณสหกรณ์ (คุณค่า หลักการ และอุดมการณ์ของสหกรณ์) เป็นสิ่งที่ดีงาม เหมาะสม ถูกต้องหรือไม่? ลองพิจารณาดู
สหกรณ์มีสมาชิกเป็นเจ้าของ ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีนักธุรกิจเป็นเจ้าของ
สหกรณ์มีหลักการ และอุดมการณ์ในการช่วยเหลือสมาชิกของสหกรณ์ ช่วยเหลือเพื่อนสหกรณ์ และเอื้ออาทรต่อสังคม
ในขณะที่ผู้บริหาร และลูกค้าของสหกรณ์เป็นสมาชิกของสหกรณ์ แต่ผู้บริหารและลูกค้าของธนาคารและสถาบันการเงินคือใคร? หลักการ อุดมการณ์ การได้มาซึ่งผู้บริหาร และเป้าหมายในการทำธุรกรรมทางการเงินแตกต่างกัน ใช่หรือไม่?
การออกเกณฑ์กำกับเชิงปริมาณที่เข้มข้น เจตนาอาจจะดี เพราะตั้งใจจะแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่วิธีคิดยังติดอยู่กับการคิดแก้ปัญหาแบบเดิม คือเป็นแบบเส้นตรง หาเหตุ แก้ที่เหตุ เพื่อให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบแก้เครื่องยนต์กลไก เป็นแบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่า status quo problem solving หรือแปลเป็นไทยได้ว่า การแก้ปัญหาแบบ “คงสถานภาพเดิม” หรือ “ขอให้กลับมาเหมือนเดิม” ซึ่งใช้ได้และเหมาะกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับวัตถุ สิ่งของ เครื่องยนต์กลไก
แต่ปัญหาสหกรณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น หรือสหกรณ์เคหสถานนพเก้ารวมใจ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เกิดจากการไม่มีเกณฑ์กำกับเชิงปริมาณที่เข้มข้น แต่เป็นปัญหาที่เกิดจาก และเกี่ยวกับ “คน” ทั้งสิ้น เพราะถ้าเป็นเรื่องของการขาดเกณฑ์กำกับเชิงปริมาณที่เข้มข้นจริง ระบบและขบวนการสหกรณ์คงล่มสลายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่? และในความเป็นจริงสหกรณ์มีการพัฒนาไปมากจากจุดเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติ แต่หลักการและอุดมการณ์ยังหนักแน่นเหมือนเดิม ยกเว้น “คน” ในวงการสหกรณ์เพียงไม่กี่คนที่สร้างปัญหาส่งผลกระทบต่อขบวนการสหกรณ์โดยรวม
ผู้บริหารพึงต้องมีความกล้าหาญทางคุณธรรมและจริยธรรม กล้าที่จะคิดและทำในสิ่งที่ดีงาม เหมาะสม ถูกต้อง ไม่ใช่พยายามที่จะคิดและทำสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ถูกต้อง) ให้ถูกต้อง (Doing the right things vs. Doing things right)
ทําไมไม่สร้างหรือพัฒนาเกณฑ์กำกับเชิงคุณภาพ? ทำไมไม่คิดและพัฒนาเกณฑ์กำกับ/ส่งเสริมความสำเร็จ?
หรือปัญหาสหกรณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และหน่วยเหนือที่กำกับดูแลสหกรณ์มิได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มข้นและทันเวลาพอ ปล่อยให้ปัญหาบานปลาย แล้วท้ายที่สุดจะออกเกณฑ์กำกับที่เข้มข้นเชิงปริมาณมาบีบรัดสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ ที่พัฒนาตนเองจากจุดเริ่มต้นที่จะช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกด้วยกัน ไปสู่การช่วยเหลือเพื่อนสหกรณ์ด้วยกัน และช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อสังคมตามหลักการและอุดมการณ์ของสหกรณ์ได้แล้ว เพื่อทำให้สหกรณ์ที่ประสบผลสำเร็จเหล่านั้นกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ มันจะถูกต้อง เหมาะสม ดีงามสำหรับสหกรณ์ที่ดีมีคุณภาพหรือไม่?
ตกลงเกณฑ์กำกับใหม่ที่จะออกมา เป็นการส่งเสริมและสร้างความสำเร็จให้กับสหกรณ์ หรือเป็นการลงโทษสหกรณ์ที่พัฒนาความคิด และวิธีปฏิบัติที่ก้าวล้ำไปกว่าผู้ทำหน้าที่ส่งเสริม หรือกำกับสหกรณ์?
ตกลงเกณฑ์กำกับใหม่ที่กำลังจะออกมา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 20 การนำเงินไปฝากหรือให้กู้เพื่อนสหกรณ์อื่นได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนของสหกรณ์ของผู้ให้กู้และของผู้รับ รวมไปถึงเกณฑ์กำกับเชิงปริมาณอื่นๆ จะเป็นการส่งเสริมและพัฒนาขบวนการสหกรณ์จริงหรือไม่? หรือมีเป้าหมายเป็นการลดความเติบโตของสหกรณ์ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นการลดศักยภาพความสามารถในการช่วยเหลือของสหกรณ์ขนาดใหญ่ต่อสหกรณ์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ใช่หรือเปล่า? ต้องการ “บอนไซ” ขบวนการสหกรณ์เพื่ออะไร? ใครได้ผลประโยชน์จากการบอนไซครั้งนี้? … เป็นคำถามที่คนในขบวนการสหกรณ์ต้องการคำตอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจากคนในวงการสหกรณ์ด้วยกันเอง และโดยเฉพาะจากสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย และชุมนุมสหกรณ์ระดับชาติทุกประเภท
ในท้ายที่สุดของบทความนี้ ขอฝากกรมส่งเสริมสหกรณ์ช่วยพิจารณาว่า ท่านจะเลือกบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบใดมากกว่ากัน ระหว่างการเป็นผู้ส่งเสริมสหกรณ์ (Cooperatives Promoter) ตามชื่อของกรม หรือผู้ควบคุมกำกับสหกรณ์ (Cooperatives Regulator)
ถ้าเลือกที่จะเป็นแบบแรกก็ควรต้องเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และชื่อของกรม แต่ถ้าเลือกแบบหลังก็ควรต้องเปลี่ยนชื่อกรมจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรมควบคุมและกำกับสหกรณ์ ถ้าจะเลือกทั้งสองแบบก็ควรกำหนดสัดส่วนเชิงปริมาณให้ชัดเจน แต่คุณภาพต้องเต็มศักยภาพ
แต่ที่น่าพึงประสงค์ที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน คือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยภาษา ด้วยจิตวิญญาณสหกรณ์ บนหลักการและอุดมการณ์ของสหกรณ์ มากกว่าการใช้ภาษา แนวคิด และแนวปฏิบัติของสถาบันการเงินกระแสหลักที่เน้นการแข่งขันและมาตรฐานสากลตามแนวทางของเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม มากกว่าการช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามแนวทางของสหกรณ์
- 2019
ธนาคารสามารถอธิบายได้ว่าเป็นตัวกลางทางการเงินท่ามกลางผู้กู้และผู้ฝากเงินและให้บริการด้านการธนาคารแก่ลูกค้า ธนาคารพาณิชย์ เป็นธนาคารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการค้าและเป็นเป้าหมายหลักในการทำกำไรจากธุรกิจธนาคาร
ในทางตรงกันข้าม ธนาคารสหกรณ์ เป็นเจ้าของและดำเนินการโดยสมาชิกเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปเช่นการให้บริการทางการเงินแก่เกษตรกรและนักธุรกิจขนาดเล็ก มันขึ้นอยู่กับหลักการของความร่วมมือเช่นการเป็นสมาชิกแบบเปิดการตัดสินใจตามระบอบประชาธิปไตยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บทความนี้นำเสนอความแตกต่างพื้นฐานระหว่างธนาคารพาณิชยกรรมและสหกรณ์
แผนภูมิเปรียบเทียบ
ความหมาย | ธนาคารที่ให้บริการด้านการธนาคารแก่บุคคลและธุรกิจเป็นที่รู้จักกันในชื่อธนาคารพาณิชย์ | ธนาคารจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดหาเงินทุนให้แก่เกษตรกรอุตสาหกรรมในชนบทและเพื่อการค้าและอุตสาหกรรมในเขตเมือง (แต่ไม่เกินขอบเขต) |
พระราชบัญญัติที่ใช้บังคับ | พระราชบัญญัติระเบียบธนาคาร พ.ศ. 2492 | พระราชบัญญัติสมาคมสหกรณ์ พ.ศ. 2508 |
พื้นที่ปฏิบัติการ | ใหญ่ | เล็ก |
แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน | กำไร | บริการ |
ผู้กู้ | ผู้ถือบัญชี | สมาชิกผู้ถือหุ้น |
ฟังก์ชั่นหลัก | รับเงินฝากจากประชาชนและให้สินเชื่อแก่บุคคลและธุรกิจ | รับเงินฝากจากสมาชิกและประชาชนและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและนักธุรกิจขนาดเล็ก |
บริการธนาคาร | เสนอบริการที่หลากหลาย | ความหลากหลายของบริการค่อนข้างน้อย |
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก | น้อยกว่า | สูงกว่าเล็กน้อย |
นิยามของธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์หมายถึง บริษัท ธนาคารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการแก่บุคคลองค์กรและธุรกิจ เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้รับเงินฝากจากประชาชนทั่วไปและให้เครดิตแก่พวกเขา พวกเขาถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติระเบียบการธนาคาร พ.ศ. 2492 และควบคุมโดยธนาคารกลางอินเดีย
ธนาคารพาณิชย์ให้การสนับสนุนทางการเงินระยะสั้นระยะกลางและระยะยาวแก่ประชาชน อย่างไรก็ตามมันมักจะชอบที่จะให้เงินทุนระยะสั้น มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่นำเสนอโดยธนาคารให้กับลูกค้าเช่น:
- บัญชีเงินฝากเช่นเงินฝากประจำ, เงินฝากที่เกิดขึ้น, บัญชีออมทรัพย์, บัญชีกระแสรายวันและอื่น ๆ
- สินเชื่อเช่นสินเชื่อรถยนต์สินเชื่อบ้านและอื่น ๆ
- บริการ ATM
- วงเงินบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
- ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการรวบรวมเช็คตั๋วเงิน
- ปกป้องทรัพย์สินและความมั่งคั่งของบุคคล
- ธนาคารผู้ค้า
- การค้าการเงิน
- โอนเงิน
นิยามของธนาคารสหกรณ์
ธนาคารสหกรณ์เป็นสถาบันการเงินที่ลูกค้าเป็นเจ้าของและดำเนินการและดำเนินงานโดยใช้หลักการของหนึ่งคนต่อหนึ่งเสียง ธนาคารอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทั้งธนาคารและกฎหมายสหกรณ์เนื่องจากมีการจดทะเบียนภายใต้พระราชบัญญัติสหกรณ์สังคมปี 1965 และควบคุมโดยธนาคารแห่งชาติเพื่อการเกษตรและการพัฒนาชนบท (NABARD) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) พวกเขาทำงานทั้งในชนบทและในเขตเมืองและให้สินเชื่อแก่ผู้กู้และธุรกิจ
ธนาคารสหกรณ์เสนอบริการที่หลากหลายเช่นการรับเงินฝากและการปล่อยสินเชื่อให้กับสมาชิกและผู้ที่ไม่ใช่สมาชิก สมาชิกเป็นเจ้าของและลูกค้าของธนาคารในเวลาเดียวกัน ธนาคารให้บริการต่างๆเช่นบัญชีเงินฝากเช่นเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน, การเก็บรักษาของมีค่าอย่างปลอดภัย (ตู้เก็บของ), สินเชื่อและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจำนองให้กับลูกค้า
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างธนาคารพาณิชยและสหกรณ์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างธนาคารพาณิชย์และสหกรณ์มีดังต่อไปนี้:
- ธนาคารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านการธนาคารแก่บุคคลและธุรกิจเรียกว่าธนาคารพาณิชย์ ธนาคารสหกรณ์คือธนาคารที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เกษตรกรอุตสาหกรรมในชนบทและเพื่อการค้าและอุตสาหกรรมในเขตเมือง (แต่ไม่เกินขอบเขต)
- ธนาคารพาณิชย์จัดตั้งขึ้นภายใต้พรบ. ระเบียบการธนาคารในปี 2492 ตรงกันข้ามธนาคารสหกรณ์ได้รับการจดทะเบียนภายใต้พรบ. สหกรณ์สังคม พ.ศ. 2508
- พื้นที่การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์มีขนาดใหญ่กว่าธนาคารสหกรณ์เนื่องจากธนาคารสหกรณ์ถูก จำกัด อยู่ในพื้นที่ที่ จำกัด เฉพาะในขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีสาขาในต่างประเทศ
- ธนาคารพาณิชย์เป็น บริษัท ร่วมทุนซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็น บริษัท ธนาคารที่ดำเนินงานเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำกำไร ตรงข้ามกับธนาคารสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรสหกรณ์ที่ทำงานเพื่อแรงจูงใจในการให้บริการ
- ผู้กู้ของธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ถือบัญชีเท่านั้น พวกเขาไม่มีอำนาจลงคะแนนใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากธนาคารสหกรณ์ผู้กู้เป็นสมาชิกที่มีอิทธิพลต่อนโยบายเครดิตโดยอำนาจการลงคะแนน
- หน้าที่หลักของธนาคารพาณิชย์คือการรับเงินฝากจากประชาชนและให้สินเชื่อแก่บุคคลและธุรกิจ ตรงกันข้ามกับธนาคารสหกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรับเงินฝากจากสมาชิกและสาธารณะและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและนักธุรกิจขนาดเล็ก
- ธนาคารพาณิชย์เสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้กับลูกค้าในขณะที่มีผลิตภัณฑ์ จำกัด ให้แก่สมาชิกและประชาชน
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์นั้นค่อนข้างน้อยกว่าธนาคารสหกรณ์
ข้อสรุป
ธนาคารที่ดำเนินการเกี่ยวกับการรับเงินฝากและการให้สินเชื่อแก่สาธารณะเป็นธนาคารพาณิชย์ ในทางตรงกันข้ามธนาคารสหกรณ์ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่นักธุรกิจขนาดเล็กและเกษตรกรในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองคำนี้คือในขณะที่เครือข่ายของอดีตมีขนาดใหญ่มากในขณะที่เครือข่ายของหลังถูกกักขังอยู่ในพื้นที่ จำกัด เท่านั้น