สภาพอากาศในอวกาศนั้นในความหมายทั่วไปที่ประยุกต์กับเงื่อนไขที่สภาพแวดล้อมในอวกาศซึ่งถูกกำหนดโดยกิจกรรมบนดวงอาทิตย์ อย่างเช่น "ลมสุริยะ" คือ อนุภาคย่อยของอะตอมที่ไหลออกจากดวงอาทิตย์และเกิดขึ้นตลอดเวลา ลมสุริยะ นี้บางครั้งอาจเป็นถึงขั้น พายุสุริยะ คือ อนุภาคที่ถูกชาร์จ (ส่วนใหญ่เป็นอิเล็กตรอนและโปรตอน) ซึ่งอาจส่งผลกระทบหรือรบกวนหรือทำให้ดาวเทียมในวงโคจรนั้นไร้ความสามารถไป ขัดขวางการสื่อสาร และตัวรังสีอาจเป็นอันตรายต่อนักบินอวกาศที่ไม่ได้สวมชุดป้องกันอยู่ได้
ลักษณะเกี่ยวกับสภาพอากาศในอวกาศที่เรารู้จักกันดีคือ ออโรรา (Aurora) หรืออีกชื่อในซีกโลกเหนือคือ แสงเหนือ (Northern Lights) เช่นเดียวกับ แสงใต้ (Southern Lights) ในซีกโลกใต้ ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่า แสงขั้วโลกเหนือ (Aurora Borealis) และ แสงขั้วโลกใต้ (Aurora Australis) ตามลำดับ แสงเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อมวลมหาศาลของอนุภาคลมสุริยะที่ถูกชาร์จแล้วนั้นถูกดึงดูดไปยังบริเวณขั้วของโลกโดยสนามแม่เหล็กของโลกเอง ซึ่งพวกมันจะไปกระแทกและมีปฏิกิริยากับโมเลกุลที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ ที่เรารู้จักกันโดยมากคือ ออกซิเจนและไนโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการปล่อยพลังงานของแสงออกมาให้เราเห็นเป็นออโรรา ซึ่งเป็นกระบวนการที่คล้ายกับในหลอดไฟ
ในช่วงที่พายุลมสุริยะนั้นมีความรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประจุไฟฟ้าสามารถถูกสะสมได้บนสายส่งไฟฟ้าบนโลก จนบางครั้งก่อให้เกิดการโหลดเกิน (Overload) และเกิดไฟฟ้าดับได้ (เช่นเหตุการณ์ในรัฐควิเบกเมื่อปี 2532) ยิ่งไปกว่านั้นยังกระทบกระเทือนกับลักษณะคลื่นวิทยุในชั้นบรรยากาศชั้นบน ซึ่งลมสุริยะที่ผ่านการชาร์จแล้วนั้นยังอาจไปสะสมอยู่ในดาวเทียมสื่อสารที่ประจำอยู่ในวงโคจร และสามารถทำให้พวกมันเสียได้ถ้าไม่ได้รับการป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดขึ้น การประเมินความรุนแรงของพายุสุริยะครั้งหนึ่งในปี 2402 ซึ่งครั้งนั้นก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยังมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการเสียชีวิตโดยรังสีเอ็กซ์และรังสีแกมมา ซึ่งเป็นอันตรายกับนักบินอวกาศที่อยู่บนเที่ยวบินออกจากโลก เช่นกำลังเดินทางไปดวงจันทร์ หรือ ดาวอังคาร ในยานอวกาศและสถานีอวกาศนานาชาตินั้น นักบินอวกาศจะมีความเสี่ยงปานกลางเท่านั้น ตั้งแต่ที่สนามแม่เหล็กของโลกได้ปกป้องบางส่วนให้กับนักบินอวกาศที่อยู่ในวงโคจรระดับต่ำของโลก (คือทั้งยานอวกาศและตัวสถานีอวกาศนานาชาติด้วย)
สภาพแวดล้อมในอวกาศ
อวกาศเป็นสภาวะไร้อากาศและแรงโน้มถ่วง ดังนั้นการเคลื่อนที่จึงไร้แรงเสียดทานและความเร่ง ยานอวกาศหรือนักบินอวกาศเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้วยการจุดจรวดขนาดเล็ก และจุดจรวดด้านตรงข้ามด้วยแรงที่เท่ากันเมื่อต้องการจะหยุด (ภาพที่ 5)
บนอวกาศเต็มไปด้วยรังสีคลื่นสั้นซึ่งมีพลังงานสูง ดาวเทียมและยานอวกาศอาศัยพลังงานเหล่านี้ด้วยการใช้เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม รังสีคลื่นสั้นเหล่านี้มีอานุภาพในการกัดกร่อนสสาร ดังจะเห็นว่ายานอวกาศและดาวเทียมส่วนมากถูกห่อหุ้มด้วยโลหะพิเศษ สีเงิน หรือสีทอง อุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้ในอวกาศถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุชนิดพิเศษ จึงมีราคาแพงมาก
บนพื้นผิวโลกมีบรรยากาศคอยทำหน้าที่กรองรังสีคลื่นสั้นที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต แต่ในอวกาศไม่มีเกราะกำบัง ในขณะที่นักบินอวกาศออกไปทำงานข้างนอกยาน พวกเขาจะต้องสวมใส่ชุดอวกาศ ซึ่งออกแบบมาเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมที่อยู่บนโลก กล่าวคือ ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ มีออกซิเจนให้หายใจ มีแรงดันอากาศเพื่อป้องกันมิให้เลือดซึมออกตามผิวหนัง และรังสีจากดวงอาทิตย์
เมื่อพืชดอกเจริญเติบโตเต็มที่ จะเริ่มผลิตดอกไม้เพื่อเป็นเซลล์สืบพันธุ์ในการขยายพันธุ์ต่อไป ภายในดอกจะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเกสรตัวผู้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ตัวผู้หรือละอองเรณูเก็บไว้ในอับละอองเรณู (Pollen) ส่วนเกสรตัวเมียจะมีรังไข่ ซึ่งภายในมีไข่ (Ovule) ทำหน้าที่เก็บเซลล์สืบพันธุ์ตัวเมียไว้ (เพิ่มเติม: โครงสร้างของดอกไม้) การปฏิสนธิของพืชดอก มีลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. การถ่ายละอองเรณู (Pollination) คือ กระบวนการที่ละอองเรณูไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ละอองเรณูปลิวไปตามแรงลมแล้วไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย หรืออาจเกิดการที่ตัวกลางในการผสมเกสร เช่น แมลงผสมเกสรชนิดต่างๆ สัตว์ปีก หรือเกิดจากความตั้งใจของมนุษย์ การถ่ายละอองเรณูเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน (Self Pollination) และการถ่ายละอองเรณูข้ามดอก (Cross Pollination)
การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน: การถ่ายละอองเรณูภายในต้นเดียวกัน เช่น การถ่าย ละอองเรณุในดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่งมีกลิ่นคล้ายผึ้งตัวเมีย ทำให้ผึ้งตัวผู้ มาดูดกินน้ำหวานและได้ถ่ายละอองเรณูให้ดอกอื่นๆ แต่ถ้าไม่มีผึ้งมา เกสรตัวผู้ก็อาจจะโค้งลงมา และมีการถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกันได้
การถ่ายละอองเรณูข้ามดอก: การถ่ายละอองเรณูข้ามต้นเป็นการถ่ายละออง เรณูจากพืชต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งที่ชนิดเดียวกัน ถ้าเป็นพืชต่างชนิดกันจะไม่ สร้างหลอดละอองเรณู ละอองเรณูถูกพาไปโดยลม หรือแมลงที่ไปกินน้ำหวาน ในดอกไม้
(อ่านเพิ่มเติม: 9 วิธีที่คุณจะช่วยรักษาแมลงผสมเกสรไว้ในสวนของคุณ)
2. การปฏิสนธิ (Fertilization) คือกระบวนการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (ละอองเรณู) ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (ไข่อ่อน) เมื่อเกิดการถ่ายละอองเรณู ละอองเรณูจะตกอยู่ที่บริเวณ stigma ซึ่งจะมีสารกึ่งเหลวคอยดักจับเรณูไว้ เมื่อมีสภาพที่เหมาะสม ละอองเรณูจะงอกและมีการเจริญของท่อเรณูเพื่อเข้าไปผสมกับเซลไข่ (egg cell) โดยภายในท่อเรณูจะมีสเปิร์มอยู่ 2 ชนิด ทำ ให้เกิดการผสม 2 ครั้ง (double fertilization) คือสเปิร์ม 1 อันจะผสมกับไข่ได้เป็น zygote ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นต้นอ่อน (embryo) ส่วนสเปิร์มอีกหนึ่งชนิดจะผสมกับ polar nuclei ได้เป็น endosperm ทำหน้าที่เป็นอาหารสะสมให้กับต้นอ่อน แต่ในพืชบางชนิดอาหารสะสมให้ต้นอ่อนเกิดจากเนื้อเยื่อที่อยู่ในรังไข่ (nucellus) หรือ perisperm
การผสมซึ่งเกิดจากการผสม 2 ครั้งนี้เรียกว่า การปฏิสนธิซ้อน (Double Fertilization) ซึ่งพบเฉพาะในพืชดอกเท่านั้น หลังจากปฏิสนธิแล้วนิวเคลียสที่ได้รับผสมจะเกิดส่วนประกอบต่างๆ ของพืชดังนี้
รังไข่ (ovary) เจริญเป็น ผล
ผนังรังไข่ (ovary wall ) เจริญเป็น เปลือกและเนื้อของผลไม้
ออวุล (ovule) เจริญเป็น เมล็ด
ไข่ (egg ) เจริญเป็น ต้นอ่อนอยู่ภายในเมล็ด
โพลาร์นิวเคลียส (polar nucleus ) เจริญเป็น เอนโดสเปิร์ม
เยื่อหุ้มออวุล (integument ) เจริญเป็น เปลือกหุ้มเมล็ด
สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ของดอกจะเหี่ยวแห้งและสลายตัวไป การปฏิสนธิซ้อนของพืชดอกมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นการสร้างอาหารให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ผลไม้ที่เราใช้รับประทานก็เกิดมาจากการปฏิสนธิ อาหารพวกข้าว ข้าวโพด ก็เป็นส่วนของเอนโดสเปิร์ม อาหารในเมล็ดถั่วหลายชนิดก็เป็นอาหารที่สะสมอยู่ในใบเลี้ยงของเอมบริโอของถั่ว