หลักการสังคมสงเคราะห์ มี 7 หลักการ ดังนี้
- หลักการปัจเจกบุคคล คือ ลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ของบุคคลแต่ละคนซึ่งมีความแตกต่างกันทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู ประสบการณ์ชีวิต เช่น บางคนพูดเสียงดัง บางคนพูดเสียงเบา เป็นต้น นั่นเป็นเพราะการเลี้ยงดู หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขาได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่มีลักษณะเฉพาะตัวนั่นเอง
- หลักการยอมรับ คือ การยอมรับผู้ใช้บริการว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ยอมรับในตัวของผู้ใช้บริการ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน เข้าใจในการกระทำและท่าทางที่ผู้ใช้บริการแสดงออกมาอย่างไม่มีอคติ เช่น ผู้ใช้บริการแต่งตัวสกปรก เพราะหน้าที่การงานที่ผู้ใช้บริการอาจจะต้องแต่งตัวแบบนี้ นักสังคมสงเคราะห์ก็ต้องเข้าใจและยอมรับในสภาพที่ผู้ใช้บริการเป็น เป็นต้น
- หลักการตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้ใช้บริการมีสิทธิที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิต หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง นักสังคมสงเคราะห์มีหน้าที่เพียงแนะนำปัญหา และสร้างทางเลือกหลายทางเลือกให้ผู้ใช้บริการได้ตัดสินใจด้วยตนเอง โดยจะสะท้อนปัญหาของผู้ใช้บริการและทำให้ผู้ใช้บริการสามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้
- หลักการไม่ประณามหรือตำหนิติเตียนผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการอาจจะทำในสิ่งที่ผิดพลาด นักสังคมสงเคราะห์ก็ต้องช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้ใช้บริการ จะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ใช้บริการ ไม่ตำหนิติเตียนหรือประณามการกระทำของผู้ใช้บริการ ไม่ควรซ้ำเติมผู้ใช้บริการ เพราะบางสิ่งผู้ใช้บริการอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- หลักการรักษาความลับ นักสังคมสงเคราะห์จะต้องรักษาความลับของผู้ใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความมั่นใจในตัวนักสังคมสงเคราะห์ และไม่ควรนำเรื่องราวของผู้ใช้บริการไปเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ แต่ถ้าจะเปิดเผยควรขออนุญาตและบอกจุดประสงค์ในการเปิดเผยเรื่องราวของผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งการได้รับอนุญาตจากผู้ใช้บริการด้วย
- หลักการตระหนักในตนเอง มนุษย์ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัว มีความแตกต่างกันทั้งในด้านรูปร่าง หน้าตา ลักษณะท่าทาง อุปนิสัยนิสัยใจคอ ความรู้สึกทางด้านจิตใจ การแสดงออก นักสังคมสงเคราะห์ควรพึงระลึกอยู่เสมอในการปฏิบัติงานว่าตนคือนักสังคมสงเคราะห์ ควรแยกแยะให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว เช่น ถ้าเจอผู้ใช้บริการที่เป็นคนรู้จักและไม่เคยถูกกันมาก่อน นักสังคมสงเคราะห์ควรตระหนักว่าตนคือนักสังคมสงเคราะห์ และคนที่ไม่ถูกกับเราคือผู้ใช้บริการ เป็นต้น
- หลักการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการ คือการให้ผู้ใช้บริการได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยนักสังคมสงเคราะห์จะอยู่ข้างๆผู้ใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่ายังมีคนอยู่ข้างๆเขา และทำให้ผู้ใช้บริการไม่เครียดจนเกินไป
ลาออกแล้ว แต่ยังอยากรักษาสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากประกันสังคม ที่คล้ายกับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก ม.33 สามารถสมัครประกันสังคม มาตรา 39 ได้ จะมีรายละเอียด เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง บทความนี้จะมาช่วยคลายข้อสงสัยให้กับทุกคน
สารบัญ
- ประกันสังคม ม.39 คืออะไร คุ้มไหมถ้าส่งต่อ
- ใครสามารถสมัคร ม.39 ได้บ้าง
- วิธีสมัครประกันสังคม ม.39
- จ่ายเงินสมทบไว้ ได้ความคุ้มครองชัวร์
Link ที่เกี่ยวข้อง
เช็กสถานะและเงินสมทบสะสม
เช็กสิทธิรักษาพยาบาล และอื่น ๆ
ประกันสังคม ม.39 คืออะไร คุ้มไหมถ้าส่งต่อ
ประกันสังคม ม. 39 คือ หลักประกันสำหรับผู้สมัครใจที่จะส่งเงินสมทบ และใช้สิทธิกับประกันสังคมต่อ หลังจากลาออกจากงานแล้ว สิทธิประโยชน์ที่ได้รับอาจจะได้ไม่เท่ากับ ม.33 (คนทำงานมีนายจ้าง) แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก มาดูกันว่าสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน ม.39 นั้นมีอะไรบ้าง มีความเหมือนหรือแตกต่างจาก ม.33 อย่างไร ใครสามารถใช้สิทธิได้บ้าง
ใครสามารถสมัคร ม.39 ได้บ้าง
ผู้ที่สามารถสมัครประกันสัง ม.39 ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- เคยเป็นผู้ประกันตน ม. 33 ซึ่งส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
- ลาออกจากงานมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ออกจากงาน
- ไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม
วิธีสมัครประกันสังคม ม.39
การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ม.39 นั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติครบสามารถสมัครด้วยตัวเองได้ 2 ช่องทาง
สมัครที่
สำนักงานประกันสังคม
- ผู้สมัครสามารถยื่นแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (แบบ สปส. 1-20) ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ลาออกจากงาน
- ยื่นใบสมัครได้ที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน
- กรุงเทพฯ : สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่
- ต่างจังหวัด : สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)
สถานที่ตั้งของสำนักงานประกันสังคม
สมัครได้โดยไม่ต้องไปที่สำนักงานประกันสังคม
- ดาวน์โหลดแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา มาตรา 39 (แบบ สปส.1-20) พิมพ์พร้อมกรอกข้อมูล และเซ็นเอกสาร
- แนบหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่น ๆ ซึ่งมีรูปถ่ายที่ทางการออกให้
- ส่งแบบคำขอสมัคร ผ่านช่องทางที่สะดวก
- ไปรษณีย์ลงทะเบียน
- ส่งผ่านอีเมล (E-mail)
- ส่งผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (Line ID)
- โทรสาร (Fax)
*ตรวจสอบที่อยู่ในการจัดส่งแบบคำขอ ได้จากเว็บไซต์ประกันสังคม
แบบคำขอเป็นผู้ประกันตน ม.39
จ่ายเงินสมทบไว้ ได้ความคุ้มครองชัวร์
ผู้ประกันตน ม.39 จะได้สิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 432 บาททุกเดือน ซึ่งคำนวณจากฐานเงินเดือน 4,800 บาทเท่ากันทุกคน และมีอัตราการคำนวณเงินสมทบอยู่ที่ 9 %
วิธีคำนวณ เงินสมบทประกันสังคม ม.39
ฐานเงินเดือน x อัตราเงินสมทบ (9%) = เงินสมทบที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน
ตัวอย่าง ฐานเงินเดือน (4,800) x อัตราเงินสมทบ (9%) = 432 บาท
โดยผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน หากเลยกำหนดจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 2% ต่อเดือน รวมเงินที่ต้องจ่ายเป็น 440.64 บาท หากจ่ายล่าช้า
ความคุ้มครอง 6 กรณี
ผู้ประกันตน ม. 39 ที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน จะได้รับความคุ้มครองใน 6 กรณี ดังนี้
- เจ็บป่วย
- ทุพพลภาพ
- คลอดบุตร
- เสียชีวิต
- สงเคราะห์บุตร
- ชราภาพ
ความคุ้มครองมาตรา 39มาตรา 33เจ็บป่วย
กรณีชราภาพ: เมื่อวันที่ 10 พค. 2565 มีการแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ “หลักการ 3 ขอ” ของประกันสังคมกรณีชราภาพ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยผู้ประกันตนสามารถนำเงินออกมาใช้ก่อนได้ ซึ่งมีรายละเอียด คือ
- ขอเลือก – ผู้ประกันตน (อายุ 55 ปีบริบูรณ์) สามารถเลือกรับ เงินบำเหน็จ หรือ เงินบำนาญชราภาพได้
- ขอคืน – ผู้ประกันตน (ก่อน อายุ 55 ปีบริบูรณ์) สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ได้
- ขอกู้ – ผู้ประกันตนสามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้
- ขยายอายุผู้ประกันตน จาก 60 ปี เป็น 65 ปี
- ปรับปรุง เงื่อนไขการสมัครเป็นผู้ประกันตน ม.39
- กำหนดให้เงินเพิ่มของผู้ประกันตน ม.39 จะต้องไม่เกินเงินสมทบที่ต้องจ่าย
- เพิ่ม เงินสงคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร จาก 90 วัน เป็น 98 วัน
- เพิ่ม เงินทดแทนขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จาก 50% เป็น 70%
- เพิ่ม ความคุ้มครองกรณีสงเคราะห์บุตร ต่ออีก 6 เดือน
สิทธิของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ของผู้ประกันตน จะสิ้นสุดลงในกรณี ต่อไปนี้
- เสียชีวิต
- กลับเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33
- ลาออกจากการเป็นผู้ประกันตน
- ขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน (กรณีนี้พบได้บ่อย)
- ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน (สิทธิจะสิ้นสุดลงในเดือนที่ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน)
หากมีเหตุให้สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน ม.39 สามารถขอคืนสิทธิได้โดยติดต่อสำนักงานประกันสังคมในช่องทางที่สะดวก เพื่อขอเช็กสิทธิและสอบถามรายละเอียดในการขอคืนสิทธิได้
ตรวจสอบสถานะของคุณ
จ่ายง่าย ได้หลายช่องทาง
การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมของผู้ประกันตน ม. 39 ทำได้หลายวิธี ดังนี้
จ่ายเงินที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน
พร้อมแบบส่งเงินสมทบฯ (สปส. 1-11)
หักอัตโนมัติจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคาร
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารทหารไทย-ธนชาติ
- ธนาคารกรุงเทพ
จ่ายเป็นเงินสดด้วยวิธีอื่น
- จ่าย ณ ธนาคารที่ร่วมโครงการ (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทยธนชาติ)
- เคาน์เตอร์เซอร์วิส
- ธนาณัติ ณ ที่ทำการไปรษณีย์
- เคาน์เตอร์เพย์สบายที่มีสัญลักษณ์ “แจ๋ว”
ทั้งนี้ การจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ม.39 สามารถนำไปยื่นลดหย่อนภาษีได้เหมือนกันกับ ม. 33 โดยสามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกใบรายการรับเงินสมทบกองทุนประกันสังคมให้ได้
แม้ว่าจะลาออกจากงานแล้ว แต่ผู้ประกันตนยังอยากได้สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองอยู่ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน ม.39 โดยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้ครบ และตรงเวลา หากขาดส่ง 3 เดือนติดต่อกัน หรือจ่ายเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน จะทำให้สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสียสิทธิก็ต้องทำตามเงื่อนไข จะได้ใช้สิทธิและรับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง