ความผิดปกติของประจำเดือน ไม่ว่าจะมามากเกินไป มากระปริดกระปรอย มาขาดๆ หายๆ หรือการปวดท้องประจำเดือนที่มากจนต้องหยุดงาน อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย จึงควรรีบปรึกษาแพทย์
20 ข้อควรรู้เกี่ยวกับประจำเดือน
- ปกติผู้หญิงจะมีประจำเดือนเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น คืออายุประมาณ 12-13 ปี แต่ก็เคยพบว่าเด็กผู้หญิงอายุ 8 ปีก็มีประจำเดือนแล้ว และในปัจจุบันเด็กผู้หญิงมีแนวโน้วการมีประจำเดือนในอายุที่น้อยลง
- ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีประจำเดือนเร็วคือ...โรคอ้วน
- ในช่วง 2 ปีแรกของการมีประจำเดือน มักจะมีมาไม่สม่ำเสมอ เพราะการผลิตฮอร์โมนยังไม่สมดุล
- โดยปกติรอบเดือนจะมีทุกๆ 28 วัน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับอายุด้วย ถ้าอายุยังไม่ถึง 21 ปี มักจะมีระยะห่างประมาณ 33 วัน พออายุ 21 ปีขึ้นไปมักจะมีระยะห่าง 28 วัน และเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปจะมีระยะห่างลดลง คือประมาณ 26 วัน
- ผู้หญิงจะมีประจำเดือนเฉลี่ยคือ 6 วัน โดยพบว่า มีผู้หญิงประมาณ 5% ที่มีประจำเดือนมาน้อยกว่า 4 วัน
- หากมีประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน จะเรียกว่า ประจำเดือนมามาก
- ผู้หญิง 9-14% จะมีประจำเดือนมามาก คือมามากกว่า 7 วัน
- หากถ้าประจำเดือนมานานเกิด 8 วัน จะถือว่ามามากผิดปกติ ซึ่งเกิดในผู้หญิงราว 4%
- สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมามาก มักเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุล จึงเกิดการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกมากเกินไปหรือหนาเกินไป ทำให้กระบวนการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อกลายเป็นเลือดประจำเดือนมากตามไปด้วยนั่นเอง
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ อาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาฮอร์โมน การให้เคมีบำบัด การใส่ห่วงคุมกำเนิด ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด หรือการกินยาคุมกำเนิด
- ประจำเดือนมามากและหลายวันเกินไป อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ อาการที่เด่นชัดคือ เพลีย เหนื่อยง่าย มีเสียงในหู ใจสั่น
- ผู้หญิงที่ไม่มีประจำเดือนมักจะมีฮอร์โมนเอสโตเจนต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต การได้รับฮอร์โมนจะช่วยได้
- เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป หรือใกล้เข้าวัยทอง แทนที่ประจำเดือนจะมาน้อยลงกลับมามากกว่าปกติซะอีก
- อาการปวดประจำเดือนเกิดจากมดลูกมีการบีบตัวและคลายตัวอย่างแรงเพื่อไล่เลือดที่อยู่ในมดลูกออกมา
- การปวดท้องอาจจะปวดก่อนมีประจำเดือนหลายวัน เมื่อประจำเดือนมาแล้วอาการปวดจะดีขึ้นได้เอง
- ผู้หญิงที่ปวดประจำเดือนมาก หรือประจำเดือนมาผิดปกติบ่อยๆ อาจจะมีเนื้องอกในมดลูก และเป็นหมัน
- ผู้หญิงราว 10-15% จะมีอาการปวดประจำเดือนมากจนถึงขั้นต้องหยุดงาน
- ยาที่นิยมใช้บรรเทาปวดประจำเดือนได้แก่ aspirin, ibuprofen
- ความผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือนที่พบบ่อยๆ คือ ไม่มีประจำเดือนหรือประจำเดือนไม่มา กับประจำเดือนมามากเกินไป
- หากประจำเดือนมามากเกินไป อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ จึงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจดูช่องคลอด ปากมดลูก ว่ามีก้อน แผล หรือติ่งเนื้อหรือไม่ ทำการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจว่าติดเชื้อหรือมีการอักเสบหรือไม่ แพทย์จะคลำตรวจมดลูกและรังไข่ว่ามีขนาดปกติหรือไม่ กดแล้วเจ็บไหม หรือพบก้อนผิดปกติหรือเปล่า
เพราะมดลูกมีความเกี่ยวโยงกับประจำเดือน หากเกิดความผิดปกติขึ้นที่มดลูก ไม่ว่าจะเป็นเนื้องอกในมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งรังไข่ ประจำเดือนก็จะผิดปกติไปด้วย ดังนั้น หากมีประจำเดือนมามากผิดปกติ ประจำเดือนไม่มา หรือมาๆ หายๆ รวมถึงอาการปวดประจำเดือนที่มากขึ้น หรือมีตกขาวมามาก ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
รอบเดือนของสาว ๆ ส่วนใหญ่จะมาแค่เดือนละครั้ง แต่จู่ ๆ ก็มีเลือดคล้ายประจำเดือนไหลออกมาอีกครั้ง ลักษณะเหมือนเป็นประจำเดือน 2 ครั้งต่อเดือนผิดปกติหรือไม่ การที่ประจำเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือน ถือเป็นความผิดปกติของร่างกาย ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ดังนี้
1.ฮอร์โมนไม่คงที่
สำหรับวัยรุ่นที่เพิ่งจะเป็นประจำเดือนในช่วงแรก ๆ ร่างกายอาจยังผลิตฮอร์โมนและรังไข่ยังมีการตกไข่ที่ไม่เต็มที่ ดังนั้นก็อาจทำให้ประจำเดือนมา 2ครั้งต่อเดือน หรือมีภาวะประจำเดือนผิดปกติได้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ปี ฮอร์โมนและการตกไข่จะเริ่มคงที่ อาการประจำเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือน หรืออาการประจำเดือนมาไม่ปกติก็น่าจะหายไป หากยังคงเป็นประจำเดือน 2 รอบต่อเดือน หรือยังคงมีอาการประจำเดือนผิดปกติในช่วงปีที่ 4-5 ตั้งแต่เป็นประจำเดือนครั้งแรก ก็ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป
2.ระยะรอบเดือนสั้น
ปกติแล้วผู้หญิงจะมีระยะรอบเดือนประมาณ 21-35 วัน หรือ 28 วันโดยเฉลี่ย แต่ในบางคนอาจมีระยะรอบเดือนสั้นกว่านั้น คือ 14-15 วัน ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ที่รอบเดือนจะมา 2 ครั้ง ใน 1 เดือน ซึ่งถ้ารอบเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือนโดยไม่มีอาการผิดปกติอะไร เช่น ปวดท้องหนักมาก ประจำเดือนมามาก(เปลี่ยนผ้าอนามัยเกิน 5 แผ่นต่อวัน) ก็ถือว่าไม่ผิดปกติ
3.ไข่ไม่ตก
ภาวะไข่ไม่ตกจะส่งผลให้ร่างกายไม่สร้างฮอร์โมนเพศมาเปลี่ยนผนังเยื่อบุมดลูก ทำให้เยื่อบุมดลูกลอกออกมาเป็นประจำเดือนได้ไม่หมดในครั้งเดียวเลือดประจำเดือนซึ่งมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวก็จะไหลออกมา 2 ครั้งใน 1 เดือนได้ โดยจะห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งช่วงที่เยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวจะมีเลือดออกมาเล็กน้อย ประมาณ 1-2 วัน แต่ไม่ถือว่าผิดปกติ สาเหตุที่ไข่ไม่ตกอาจจะมาจากภาวะเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอหรือภาวะอ้วนเกินไป ผอมเกินไป ออกกำลังกายหนักมากเกินไป ก็เป็นปัจจัยทำให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติจนส่งผลให้ไข่ไม่ตกนั่นเอง
4.วัยทอง
ไม่ใช่แค่ช่วงวัยรุ่นเท่านั้นที่ฮอร์โมนยังไม่คงที่ แต่ผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนก็มีภาวะฮอร์โมนแกว่ง ๆ เหมือนกัน โดยจะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศถูกผลิตน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมีประจำเดือนได้ โดยอาจทำให้ประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนมามาก หรือประจำเดือนมา 2 ครั้งต่อเดือนก็ได้
5.ยาเม็ดคุมกำเนิด
สำหรับคนที่กินยาคุมกำเนิดแผงแรก อาจมีอาการเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือบางคนอาจมีภาวะฮอร์โมนไม่คงที่ จนทำให้เป็นประจำเดือน 2 ครั้งต่อเดือนได้ หรือคนที่กินยาคุมฉุกเฉินก็อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอยด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่าอาการเลือดออกผิดปกติของเราอันตรายไหม
6.ความผิดปกติภายในของผู้หญิง
การที่มีเลือดออกผิดปกติ อย่างเป็นประจำเดือน 2 ครั้งต่อเดือน อาจเกิดจากเยื่อบุมดลูกผิดปกติ ปากมดลูกอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ภาวะท้องนอกมดลูกแท้งบุตร เนื้องอก หรือมะเร็งก็เป็นได้ โดยสาว ๆ ควรจะสังเกตอาการเลือดออกผิดปกติของตัวเองให้ดี หากเลือดที่ออกมาจากช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นมากมีอาการเจ็บที่ปากมดลูกร่วมด้วย เป็นประจำเดือนนานเกิน 7 วัน หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เคสดังที่กล่าวมาควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากสาว ๆ คนไหนมีประจำเดือนผิดปกติ ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา จะได้ความสบายใจ สุขภาพร่างกายแข็งแรง
ข้อมูลจากรายการรั้วรอบครอบครัว โดยรศ.ร.อ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ร.น. facebook/PPATBANGKOK