ปี่พาทย์ หมายถึง วงดนตรีไทยประเภทหนึ่ง ที่มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นหลัก ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า เช่น ปี่ ขลุ่ย และเครื่องกำกับจังหวะ เช่น ตะโพน กลองทัด เป็นต้น
ปี่พาทย์ครอบคลุมวัฒนธรรมด้านเครื่องดนตรี ความเชื่อ ค่านิยม ขนบนิยม ประเพณี และระเบียบปฏิบัติ วงปี่พาทย์ สามารถนำไปบรรเลง – ขับร้องในกิจกรรมต่างๆ ทั้งในส่วนของงานพระราชพิธี งานพิธีกรรมของราษฎร ประกอบการแสดงโขน หนังใหญ่ ละคร หุ่นกระบอก ลิเก และเป็นดนตรีเพื่อการฟัง นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงในงานอวมงคล เช่น งานสวดพระอภิธรรมศพและงานฌาปนกิจศพฯลฯ วงปี่พาทย์แบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท ดังนี้
๑. วงปี่พาทย์ไม้แข็งวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เป็นวงปี่พาทย์ประเภทหนี่ง ที่เป็นต้นแบบของวงปี่พาทย์ประเภทอื่นๆ โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า “วงปี่พาทย์” เดิมเรียกชื่อว่า “วงพิณพาทย์” ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเปลี่ยนเป็นคำว่า “ปี่พาทย์” สำหรับวงปี่พาทย์ ที่ระบุคำว่า “ไม้แข็ง” เนื่องจากไม้ที่ใช้ตีระนาดเอกจะใช้ไม้แข็งบรรเลง วงปี่พาทย์ไม้แข็ง ใช้บรรเลงในงานพระราชพิธี งานพิธีกรรมของราษฎร เช่นงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวชนาค งานเทศกาลบุญ รวมทั้งใช้ประกอบการแสดงต่างๆ ปัจจุบันยังนิยมนำมาบรรเลง – ขับร้องบทเพลงต่างๆ เพื่อการฟังด้วย
วงปี่พาทย์เสภา เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการนำเอาลูกเปิง หรือกลองสองหน้า เข้ามาตีในวงปี่พาทย์เครื่องห้า โดยทำหน้าที่ตีประกอบจังหวะหน้าทับ วงปี่พาทย์เสภาใช้บรรเลงประกอบการเล่นเสภา ประกอบละครเสภา และบรรเลง – ขับร้องบทเพลงต่างๆ เพื่อการฟัง
๓. วงปี่พาทย์ไม้นวมวงปี่พาทย์ไม้นวม เป็นวงปี่พาทย์ประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้น ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) เป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงวงและบรรเลงรับ-ร้องก่อน ในการประสมวงดนตรี ท่านใช้ขลุ่ยเพียงออและขลุ่ยหลิบแทนปี่ในและปี่นอก และได้เพิ่มซออู้ ส่วนระนาดเอกก็เปลี่ยนมาใช้ไม้นวมตีแทนไม้แข็ง เพื่อลดระดับเสียง เนื่องจากใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละครที่แสดงในโรงละครหรือในอาคาร
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เป็นวงดนตรีที่มีขึ้นครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงปรับปรุงขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ เพื่อใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครแนวใหม่ ซึ่งเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) เป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงรูปแบบด้วยการผสมผสานระหว่างละครในกับละครอุปรากร เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ได้สร้างโรงละครขึ้นใหม่ ตั้งชื่อว่า “โรงละครดึกดำบรรพ์” จึงส่งผลให้ชื่อ “ดึกดำบรรพ์” เป็นชื่อของละครรูปแบบใหม่และวงดนตรีด้วย เครื่องดนตรีที่ประสมในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ประกอบด้วย ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพน ฆ้องหุ่ย ๗ ใบ และฉิ่ง
วงปี่พาทย์นางหงส์1 เป็นวงปี่พาทย์ที่ประสมวงขึ้นเพื่อใช้ประโคมในงานอวมงคลโดยเฉพาะ เป็นการประสมระหว่างวงปี่พาทย์กับวงบัวลอยซึ่งมีเครื่องดนตรี คือ ปี่ชวา ๑ เลา กลองมลายู ๒ ใบ และฆ้องเหม่ง ๑ ใบ การเรียกว่า วงบัวลอยเพราะเมื่อบรรเลงเพลงในชุดเพลงประโคมหลังจากเพลงรัว ๓ ลาแล้วจึงบรรเลงต่อด้วยเพลงบัวลอย จากนั้นจึงบรรเลงเพลงอื่นๆ การประสมวงของวงปี่พาทย์นางหงส์จึงมี ปี่ชวา กลองมลายูของวงบัวลอย
ไม่ใช้ฆ้องเหม่ง ส่วนในวงปี่พาทย์ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องดนตรีบางชนิดออกไป คือ ปี่ใน ตะโพน กระนั้นวงปี่พาทย์นางหงส์ในหลายพื้นที่ยังคงใช้กลองทัดอยู่
การที่เรียกว่า “นางหงส์” นั้น เพราะมีแบบแผนการบรรเลงที่ต้องใช้เพลงเรื่องนางหงส์ จึงเป็นแนวให้เรียกชื่อวงดนตรีนี้ว่า วงปี่พาทย์นางหงส์
วงปี่พาทย์มอญ2 เป็นวงดนตรีไทยประเภทหนึ่งที่นำเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งประสมกับเครื่องดนตรีมอญคือ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็งมี ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก
ส่วนเครื่องดนตรีมอญมี ปี่มอญ ฆ้องมอญวงใหญ่ ฆ้องมอญวงเล็ก ตะโพนมอญ เปิงมางคอก โหม่ง ๓ ใบ และมีเครื่องประกอบจังหวะ คือ ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ ในด้านแบบแผน การบรรเลงของวงปี่พาทย์มอญเป็นไปตามแนววิธีของดนตรีไทย
วงดนตรีนี้ใช้บรรเลงในหลายโอกาส เช่น ในงานพิธีมงคลต่างๆ ของชาวไทยเชื้อสายมอญ ใช้บรรเลง – ขับร้อง บทเพลงต่างๆ เพื่อการฟัง ใช้ประกอบการแสดงลิเก ใช้บรรเลงในงานอวมงคล เช่น งานสวดพระอภิธรรมศพในวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธ และงานฌาปนกิจศพ
ปัจจุบัน บทบาทการบรรเลงของวงปี่พาทย์แต่ละประเภทมีปริมาณลดลง เพราะประชาชนเปลี่ยนค่านิยมในการหาจ้างไปบรรเลง ทำให้ปี่พาทย์บางลักษณะ เช่น วงปี่พาทย์ไม้แข็ง วงปี่พาทย์เสภา วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่พาทย์นางหงส์ เริ่มหาฟังได้ยาก บางสถานการณ์หน่วยงานของทางราชการและเอกชนสนับสนุนให้เกิดขึ้น หลายแห่งจัดสาธิตเพื่อการศึกษา มิใช่เกิดขึ้นตามกระบวนการทางวัฒนธรรมและวิถีชน จึงนับเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญต่อการจัดการมรดกวัฒนธรรมปี่พาทย์อย่างเร่งด่วนต่อไป
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
เป็นวงดนตรีที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ จากความคิดริเริ่มของเจ้าพระยาเทเวศร์วงวิวัฒน์เมื่อครั้งไปยุโรป ทรงเห็นการแสดง “ โอเปร่า “ ที่ฝรั่งเล่นเกิดชอบใจ กลับมาทูลชวนให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ให้ทรงช่วยร่วมมือกันคิดขยายการเล่นละคอนโอเปร่าอย่างไทย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศ ฯ ทรงเห็นด้วย
เจ้าพระยาเทเวศน์ฯจึงได้สร้างโรงละคอนขึ้นใหม่ในวังของท่านที่ถนนอัษฎางค์ ริมคลองหลอด และให้เรียกชื่อว่า “ โรงละคอนดึกดำบรรพ์ “ โดยประสงค์จะให้คำว่า “ ดึกดำบรรพ์ “ นั้น เป็นชื่อเรียกของละคอนที่คิดขึ้นใหม่ มิให้เรียกกันว่า “ ละคอนเจ้าพระยาเทเวศร์ “ อย่างแต่ก่อน ( เพราะแต่ก่อนใครก็เรียกกันว่า ละคอนเจ้าพระยาเทเวศร์ และโรงละคอนเจ้าพระยาเทเวศน์ ) แต่ชื่อนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับการเล่นละคอนอย่างใหม่ คนทั่วไปจึงเอาชื่อคณะและชื่อโรงละคอนไปเรียกละคอนอย่างใหม่ (โอเปร่า) ว่า“
ละคอนดึกดำบรรพ์ “
ละคอนดึกดำบรรพ์เริ่มแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ในการรับแขกเมือง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การรับแขกเมืองที่สูงศักดิ์ที่เข้ามาเฝ้าและเยี่ยมเมืองไทย ก็จะโปรดให้ไปดูละคอนดึกดำบรรพ์แทนการดูคอนเสิร์ทอย่างแต่ก่อน ในเวลาปรกติเจ้าพระยาเทเวศร์ฯ จัดแสดงละคอนดึกดำบรรพ์ให้คนดู ( เก็บค่าผ่านประตู ) ที่โรงละคอนริมถนนอัษฎางค์เหมือนกับโรงละคอนอื่นๆ
จนถึง พ.ศ.๒๔๕๒ นับได้ ๑๐ ปี เมื่อเจ้าพระยาเทเวศร์ฯเกิดอาการป่วยเจ็บทุพพลภาพ ออกจากราชการ จึงเลิกแสดงละคอนดึกดำบรรพ์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับเครื่องดนตรีได้ทรงปรับปรุงเครื่องใหม่ โดยเอาเครื่องดนตรีที่มีเสียงเล็กแหลมในวงปี่พาทย์ออก เช่น ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอกเหล็ก และทรงนำเครื่องดนตรีที่มีเสียงนุ่มนวลเพิ่มเติมเข้ามา เช่น นำฆ้องหุ่ย ๗ ใบ ๗ เสียง มาแขวนขา ตั้งโดยรอบ
และใช้ตีเป็นทำนองห่างๆ นำขลุ่ยอู้ซึ่งมีเสียงทุ้มใหญ่มาเป่าเพิ่ม และเปลี่ยนกลองทัดทั้งคู่ซึ่งดังมากออก นำเอากลองตะโพน ( มีลักษณะคล้ายตะโพนแต่ใช้ไม้ตั้งตีเหมือนกลองทัด ) มาตีแทนกลองทัด ให้ระนาดเอกตีด้วยไม้นวม เพื่อให้เสียงดังนุ่มนวล ไพเราะ ต่อมาภายหลังเพิ่มซออู้เข้ามาสีรวมวงด้วย โดยสีคลอไปกับเสียงร้อง เรียกชื่อวงปี่พาทย์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ว่า “ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ “ ตามชื่อโรงละคอน
ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงละคอนดึกดำบรรพ์โดยเฉพาะ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้
1. ระนาดเอก ( ตีด้วยไม้นวม )
2. ระนาดทุ้ม
3. ระนาดทุ้มเหล็ก
4.
ฆ้องวงใหญ่
5. ขลุ่ยเพียงออ
6. ขลุ่ยอู้
7. ฆ้องหุ่ย ๗ ใบ
8. ซออู้
9. ตะโพน
10. กลองตะโพน
11. ฉิ่ง
12. กรับพวง
แต่เดิมเมื่อได้ทรงปรับปรุงวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ในปี พ.ศ๒๔๔๒ เป็นที่เรียบร้อย เจ้าพระยาเทเวศร์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมมหรสพ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการบรรเลงดนตรีรับแขกเมือง เจ้าพระยาเทเวศร์ได้เคยฟังการบรรเลงและขับร้องเพลงไทยอย่างคอนเสิร์ต
ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ทรงคิดจัดให้ทหารบรรเลงเล่น ก็กราบทูลให้ทรงช่วยอำนวยการจัดเล่นดนตรีในกรมมหรสพ ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ในครั้งนั้นสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ได้ทรงจัดบทร้อง และเพลงดนตรีขึ้นบรรเลงในลักษณะแบบคอนเสิร์ตหลายบท เช่น บทตับนางลอย บทตับพรหมาสตร์ บทตับนาคบาศ เป็นต้น ซึ่งจัดแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๑ ในการต้อนรับ เคาวน์ ออฟ ตูริน แห่งอิตาลี่ ณ พระที่นั่งจักรีมหาประสาท
และอีกหลายครั้งเมื่อมีการบรรเลงรับแขกเมือง ซึ่งแต่ละครั้งได้ทรงปรับปรุงบทร้องและเพลงดนตรีขึ้นใหม่เสมอ เช่น บทละคอนอิเหนา ตอนบวงสรวง ตอนตัดดอกไม้ฉายกริซ ฯ
สำหรับวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ นอกจากจะใช้บรรเลงและขับร้องในประเภทเพลงเกร็ด และเพลงตับในงานต่างๆแล้ว ยังใช้บรรเลงร่วมในการแสดงละคอนภาพนิ่ง ( tableaux vivants ) คือการบรรเลงและขับร้องโดยมีผู้แสดงประกอบตามบท
แต่อยู่ในลักษณะท่านิ่ง เช่น ในเรื่องสามก๊ก
ปัจจุบันการบรรเลงและการแสดงละคอนดึกดำบรรพ์ยังคงมีการแสดงอยู่ปีละ ๒ ครั้ง คือ ที่บ้านปลายเนิน ในวันที่ ๒๘ เมษายน ของทุกๆปี อันเป็นวันเกิดของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ โดยศิลปินของบ้านปลายเนิน และที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ จัดแสดง ณ หอประชุมฯ อันเป็นผลงานของนักศึกษาปีสุดท้าย