โรคหลอดเลือดในสมองแตก เส้นเลือดในสมองตีบ ตัน รักษาได้ทันถ้ารู้ตัวไว
หรือไม่? โรคหลอดเลือดสมองแตก เส้นเลือดในสมองตีบ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก!
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่าพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้แล้วมากกว่า 80 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่า 5 ปีที่ผ่านมาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมองมีแนวโน้มเพิ้มขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นแท่นเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ และยังเป็นโรคที่สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย
มาทำความรู้จักโรคหลอดเลือดสมองแตกให้มากขึ้นว่าโรคนี้เกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที
โรคหลอดเลือดในสมองแตก เส้นเลือดในสมองตีบ คืออะไร?
โรคหลอดเลือดในสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ เกิดจากภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ อุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ทำให้สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย และเกิดอาการสมองหยุดชะงักในที่สุด
โรคหลอดเลือดในสมองแบ่งเป็นกี่ประเภท
โรคหลอดเลือดในสมองแตกสามารถแบ่งออกตามสาเหตุการเกิดได้ 2 ประเภท
ภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ
เราจะพบผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือด หรือภาวะหลอดเลือดในสมองตีบตันนี้ถึง 80% ของโรค โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาการลิ่มเลือดอุดตัน หรือเกิดการปริแตกของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลมาอสะสมบริเวณหลอดเลือดในสมอง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบจนเลือดไหลเวียนไปยังสมองไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นอีก เช่น การสะสมของไขมัน หรือหินปูนที่เกาะอยู่บริเวณผนังหลอดเลือดจนแข็ง หนา ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง
ภาวะหลอดเลือดในสมองแตก
ภาวะหลอดเลือดในสมองแตกมักเกิดจากภาวะโป่งพองของเส้นเลือดร่วมกับการที่เส้นเลือดมีความเปราะบาง ทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นแตก ส่งผลให้มีเลือดคั่งบริเวณเนื้อสมอง ทำให้สมองตาย ส่วนมากมักจะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันสูง ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่ได้รับสารพิษ หรือผู้ที่ใช้ยาเสพติด เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองแตก เส้นเลือดในสมองตีบ
อายุ
แม้โรคหลอดเลือดในสมองนั้นจะสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ผู้สูงอายุมักมีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้สูงกว่า เนื่องจากหลอดเลือดมีความเสื่อมไปตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น
เพศ
จากหลากหลายงานวิจัยพบว่าเพศชายมักจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมากกว่าเพศหญิง จากปัจจัยส่วนบุคคลเช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือการรับประทานอาหารท่ีไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นต้น
คนในครอบครัว
สำหรับผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้
ประวัติการเจ็บป่วย
หากผู้ป่วยมีประวัติเคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหลอดเลือดหัวใจแตก ถึงแม้จะรักษาหายแล้วก็มีโอกาสเป็นซ้ำได้เช่นกัน
โรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นจะมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าปกติซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะภาวะหลอดเลือดแดงตีบแข็งทั่วร่างกาย จึงทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า
ความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงมักส่งผลโดยตรงต่อภาวะเส้นเลือดในสมองแตก เพราะเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นก็จะทำให้หลอดเลือดที่โป่งและเปราะแตกง่ายยิ่งขึ้น
โรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหัวใจก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในสมองได้เช่นกัน เพราะเมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่ดีเท่าที่ควรก็จะทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุสำทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้น เมื่อลิ่มเลือดไปอุดตันที่สมองก็จะทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองได้
คอเลสเตอรอลในเลือดสูง
คอเลสเตอรอลจะทำให้เกิดก้อนไขมันเกาะอยู่บริเวณผนังหลอดเลือด เมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็จะทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และส่งผลให้ประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง
ไม่ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายให้สมวัยอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด ลดน้ำหนัก และไขมัน ที่เป็นความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในสมองได้
น้ำหนักเกินมาตรฐาน
การที่มีน้ำหนักเกินมารตรฐานนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคหลอดเลือดในสมองด้วย ดังนั้นเราสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยการควบคุมน้ำหนัก เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และลดอาหารประเภทหวาน มัน หรือของทอดลง
ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
แอลกอฮอล์ สารนิโคติน และคาร์บอนมอนอกไซด์ จะไปทำให้เซลล์ของเลือดเกาะตัวเป็นก้อนเหนียว การไหลเวียนเลือดช้าลง ปริมาณออกซิเจนต่ำลง และเป็นตัวทำลายผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ดังนั้นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมากกว่าคนปกติ
สังเกตสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองด้วย Fast Stroke
เราสามารถสังเกตอาการของตนเอง หรือคนใกล้ชิดว่ามีสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดในสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ จากวิธี FAST ดังนี้
F : Face ใบหน้า
ผู้ปวยเส้นเลือดในสมองตีบจะมีอาการปากเบี้ยว ยิ้มแล้วมุมปากตก หรือดื่มน้ำแล้วมีน้ำไหลออกจากมุมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
A : Arm : แขน
ผู้ปวยเส้นเลือดในสมองตีบจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถยกแขน หรือกำมือได้ หากอาการร้ายแรงอาจไม่สามารถยืนทรงตัวได้เนื่องจากกล้ามเนื้อซีกใดซีหนึ่งอ่อนแรง
S : Speak :
การพูด
ผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบจะเริ่มมีอาการพูดติดๆ ขัดๆ ออกเสียงได้ลำบาก พูดไม่ชัด หรือนึกคำที่จะพูดไม่ออก
T : Time : เวลา
ถ้าพบว่ามีอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหลังจากมีอาการครั้งล่าสุดภายใน 4.5 ชั่วโมง เนื่องจากบางกรณีแพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อลดความเสี่ยงจากอาการอัมพฤกษ์
ป้องกันอย่างไรไม่ให้ โรคหลอดเลือดในสมองแตก เส้นเลือดในสมองตีบ
วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดในสมองที่ดีที่สุดนั้นควรป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค แต่หากเป็นแล้วก็ควรจะต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้หลอดเลือดเกิดการตีบ อุดตัน หรือแตกซ้ำ
1. ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือโซเดียมสูง ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง อย่างน้อยครั้งละ 30-40 นาที ควบคุมน้ำหนัก พักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงงดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ด้วย
2. ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการหาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองซ้ำ เส้นเลือดในสมองตีบ หากพบปัจจัยเสี่ยงได้เร็ว ก็จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที
3. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ จะต้องไปพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ และต้องทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยามาทาน หรือหยุดยาเองโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
ข้อมูล :
กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย
ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โรงพยาบาลสุขุมวิท