ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ คือภาวะที่เลือดมีจำนวนของเกล็ดเลือดน้อยกว่าปกติไม่นับว่าเป็นโรค แต่เป็นภาวะที่เกิดจากโรค ควรต้องตรวจหาสาเหตุของการเกิดภาวะดังกล่าวก่อนทำการรักษา
อาการ
มีเลือดออกง่ายและห้ามเลือดได้ยากกว่าปกติ มักพบตามเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดา รวมทั้งมีจุดจ้ำเลือดใต้ชั้นผิวหนังหรือรอยฟกช้ำตื้น ๆ แม้ไม่มีการกระแทก
สาเหตุ
- โรคที่มีความผิดปกติของไขกระดูก ได้แก่
- กลุ่มโรคไขกระดูกผ่อ ทั้งเป็นตั้งแต่กำเนิด เป็นภายหลัง หรือเป็นในผู้สูงอายุ เกิดจากการสัมผัสสารเคมี ยาฆ่าแมลง หรือติดเชื้อไวรัสบางชนิดกลุ่มโรคที่มีความผิดปกติในไขกระดูก เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดได้ลดลง เช่น ผลของยาบางชนิดและการติดเชื้อไวรัส
- เกล็ดเลือดถูกทำลายหรือใช้เกล็ดเลือดมากกว่าปกติ ได้แก่
- เกล็ดเลือดถูกภูมิคุ้มกันทำลายเมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัส หรือได้รับวัคซีน
- โรคความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
- เกล็ดเลือดถูกใช้เพื่อการหยุดเลือดจากการที่มีเลือดออกรุนแรงหรือเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง
- เนื้องอกหลอดเลือดบางชนิด โดยพบก้อนสีแดงช้ำร่วมด้วย
คำแนะนำจากแพทย์
หากพบอาการของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง
จำนวนเม็ดเลือดขาวปกติขึ้นกับอายุและภาวะมีครรภ์ ยังไม่มีตัวเลขตรงกันของแต่ละสถาบันว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวรวมที่ปกติเป็นเท่าไร บ้างก็ใช้ตัวเลข 5,000-10,000 cells/μL (5-10 x 109/L) เพราะจำง่าย ห้องแล็บของโรงพยาบาลศิริราชใช้ตัวเลข 4,400-10,300 cells/μL (4.4-10.3 x 109/L) แต่บางคนก็มีเม็ดเลือดขาวเพียง 3,300 cells/μL มานานหลายสิบปีโดยที่ไม่มีอาการอะไร แบบนี้ถือเป็นความหลากหลายที่ปกติ (normal variation) เหมือนความสูงของคน
และเนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด ภาวะเม็ดเลือดขาวน้อยจึงต้องแยกว่าเป็นชนิดใดน้อย เม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญทางคลินิกเมื่อมันลดลงคือนิวโตรฟิลและลิมโฟไซต์ เรียกว่า ภาวะ neutropenia และ lymphopenia ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อตรวจสุขภาพพบจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดน้อย จึงต้องเอาเปอร์เซนต์ของนิวโตรฟิลและลิมโฟไซต์มาคำนวณหาจำนวนสัมบูรณ์ของมัน นิยามของภาวะเม็ดเลือดขาวน้อยจะเป็นดังนี้
หมายถึง จำนวนนิวโตรฟิลสัมบูรณ์ (absolute neutrophil count, ANC) ต่ำกว่า 1,500 cells/μL ถ้าน้อยกว่า 100 cells/μL จะเรียกว่า Agranulocytosis สาเหตุอาจมาจาก
- การติดเชื้อไวรัส
- การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Brucellosis, Typhoid, Lyme
- ติดเชื้อมาลาเรีย
- ติดเชื้อวัณโรค, เชื้อรา
- จากยา ได้แก่
- ยาเคมีบำบัด เช่น กลุ่ม Alkylating agents, Anthracyclines, Antimetabolites, Camptothecins, Epipodophyllotoxins, Hydroxyurea, Mitomycin C, Taxanes
- ยาพุ่งเป้า เช่น Infliximab, Rituximab
- ยากดภูมิต้านทาน เช่น Tacrolimus
- ยาปฏิชีวนะ เช่น Vancomycin, Bactrim, Penicillin, Oxacillin, Cefotaxime, Ceftriaxone, Cefipime, Meropenem, Metronidazole, Tazocin, Ciprofloxacin, Clindamycin, Tobramycin, Linezolid, Teicoplanin, Dapsone, Quinine
- ยาต้านไวรัส เช่น Valganciclovir
- ยารักษาไทรอยด์เป็นพิษ เช่น Methimazole, Carbimazole, Propylthiouracil (PTU)
- ยากันชักและยากดประสาท เช่น Lamotrigine, Levetiracetam, Clozapine, Quetiapine
- ยาต้านซึมเศร้า เช่น Venlafaxine (Effexor®)
- ยารักษาโรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น Sulfasalazine, Hydroxychloroquine
- ยาแก้ปวด เช่น Dipyrone, ยากลุ่มเอนเสดบางตัว เช่น Ibuprofen
- ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร เช่น กลุ่ม H2-blockers
- ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Ticlopidine
- ยาลดความดันโลหิต เช่น กลุ่ม ACEI
- ยารักษาหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น Quinidine, Procainamide
- ยาขับปัสสาวะ เช่น Torsemide
- โรคของไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ, กลุ่มอาการเอ็มดีเอส, มะเร็งอวัยวะอื่นลุกลามเข้าไขกระดูก (เหล่านี้มักมีโลหิตจาง และ/หรือ เกล็ดเลือดต่ำด้วย)
- ได้รับการฉายรังสีรักษา
- ขาดวิตามินบี 12 และโฟเลต (ต้องมีโลหิตจางด้วย) มักพบในผู้ติดสุราเรื้อรัง
- ขาดธาตุทองแดง (copper)
- ถูกม้ามที่โตกิน
- โรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
- โรคทางเมตาบอลิก เช่น Pearson syndrome, Gaucher syndrome, Acidemias
- โรค Sarcoidosis
- ไม่ทราบสาเหตุ
ยิ่งจำนวนนิวโตรฟิลลดลงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งติดเชื้อต่าง ๆ ง่ายขึ้นเท่านั้น
Lymphopenia หรือ Lymphocytopenia
หมายถึง จำนวนลิมโฟไซต์ ต่ำกว่า 1,000 cells/μL ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้าย ๆ ที่ CD4 ถูกทำลายไปมาก ในคนปกติทั่วไปพบได้น้อย แต่ถ้าพบให้มองหาสาเหตุเหล่านี้
- จากยา เช่น สเตียรอยด์ ยาเคมีบำบัด
- มะเร็งลุกลามเข้าไขกระดูก
- ได้รับการฉายรังสีรักษาในขนาดสูง หรือได้รับกัมมันตรังสีจากอุบัติเหตุ
ส่วน Eosinophil, Basophil, Monocyte มีเปอร์เซนต์น้อยอยู่แล้ว ทำให้ประเมินจำนวนที่ลดลงยาก และไม่มีความสำคัญทางคลินิก
รู้หรือไม่ว่าหากมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งเสี่ยงต่อความรุนแรงจากการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย และอาการเม็ดเลือดขาวต่ำมักไม่แสดงอาการพญ.หรรษมน โพธิ์ผ่าน ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า เม็ดเลือดในร่างกายนั้น ประกอบด้วย เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และเม็ดเลือดขาว โดยเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อกำจัดเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกาย ซึ่งหากมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งเสี่ยงต่อความรุนแรงจากการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย
สำหรับสาเหตุของภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ได้แก่ 1.การติดเชื้อโรคต่าง เช่น ไวรัส มักทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ แต่การติดเชื้อแบคทีเรีย โดยส่วนใหญ่มักทำให้เม็ดเลือดขาวสูงขึ้น 2.การได้รับยา สารเคมีบางชนิด หรือได้รับรังสี 3.ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทั้งเป็นแต่กำเนิด หรือเป็นภายหลัง 4.โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง 5.โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมะเร็งอื่นๆ ที่แพร่กระจายในไขกระดูก 6.โรคไขกระดูกฝ่อ ทั้งชนิดที่เป็นแต่กำเนิดและเป็นภายหลัง 7.โรคที่มีความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดขาวแต่กำเนิด 8.ภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 12 โฟลิก ส่วนอาการเม็ดเลือดขาวต่ำนั้น มักไม่แสดงอาการ จะทราบได้จากการที่ต้องไปตรวจเจาะเม็ดเลือด หรือจะแสดงอาการก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีโรคที่เป็นเหตุ หรือมีอาการจากการติดเชื้อที่ตามมาจากการที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ เช่น 1.มีไข้ 2.คลำพบก้อนต่อมน้ำเหลืองโต ตับ ม้าม ไต ในโรคมะเร็งเม็ดเลือด 3.ผื่นแพ้แสง ปวดข้อ ในโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
ทั้งนี้ ในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ได้แก่ 1.การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ 2.ฉีดยากระตุ้นเพิ่ม จำนวนเม็ดเลือดขาวในบางโรค ขึ้นกับสาเหตุ 3.รักษาความสะอาดร่างกาย 4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ 5.รับประทานอาหารที่สุกสะอาด ผ่านความร้อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำจากแพทย์ คือ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจหาโรคที่อาจก่อให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ หากพบว่าตนเองมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำควรตรวจหาสาเหตุ ปฏิบัติตามคำแนะนำต่อการรักษาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อลดความเสี่ยงต่อความรุนแรงจากติดเชื้อโรคต่างๆ