สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์
From Wikipedia, the free encyclopedia
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (อังกฤษ: Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน”
ค.ศ.
บทความนี้อ้างอิงคริสต์ศักราช/คริสต์ทศวรรษ/คริสต์ศตวรรษ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเนื้อหา
มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ประเทศฝรั่งเศสลักษณะเด่น ๆ ของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อนเช่นสถาปัตยกรรมกอธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์จะพบในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิหารเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทในสมัยนั้น คริสต์ศาสนสถานแบบโรมาเนสก์ยังคงมีหลงเหลืออยู่ และบางแห่งก็ยังใช้เป็นสถานที่สักการะตราบจนทุกวันนี้
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (อังกฤษ: Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน”
ค.ศ.
บทความนี้อ้างอิงคริสต์ศักราช/คริสต์ทศวรรษ/คริสต์ศตวรรษ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเนื้อหา
มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ประเทศฝรั่งเศสลักษณะเด่น ๆ ของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อนเช่นสถาปัตยกรรมกอธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์จะพบในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิหารเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทในสมัยนั้น คริสต์ศาสนสถานแบบโรมาเนสก์ยังคงมีหลงเหลืออยู่ และบางแห่งก็ยังใช้เป็นสถานที่สักการะตราบจนทุกวันนี้
การจำแนกช่วงเวลายุคของศิลปะมีความแตกต่างกันไป บางยุคเราอาจจะคุ้นเคยกันดีอย่าง ยุคเรเนซองส์ ยุคโกธิค หรือ ยุคไบแซนไทน์ แต่ศิลปะบางยุคหากไม่ใช่คนที่ศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างดีอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างเช่นศิลปะโรมาเนสก์ ยุคนี้เราอาจจะไม่คุ้นหูเลย บางคนเข้าใจผิดคิดว่ามันคือยุคเดียวกับยุคเรเนซองส์ซึ่งไม่ใช่เลย เอาล่ะยุคนี้อาจจะไม่ใช่ยุคที่มีงานศิลปะหวือหวาอะไรนัก แต่ก็มีบางอย่างให้น่าติดตามด้วยเช่นกัน
เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะโรมาเนสก์
ศิลปะแขนงนี้บางตำราจะใช้คำว่า ศิลปะนอร์มัน ศิลปะในยุคนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาคริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึงศตวรรษที่ 12 พอหมดช่วงนี้ไปก็เสื่อมความนิยมลง (แต่ยังมีงานบางอย่างอยู่จนถึงทุกวันนี้) ศิลปะตัวนี้แม้จะเสื่อมความนิยมลงไปในคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่ว่ามันได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะแขนงใหม่อย่าง ศิลปะกอธิคในยุคต่อมา ต้นกำเนิดของศิลปะแนวนี้อยู่ในประเทศฝรั่งเศส สเปน
อิทธิพลของศิลปะโรมาเนสก์
ศิลปะแขนงนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อทางด้านศาสนา ทำให้ผลงานของศิลปะในยุคนี้จะเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาเป็นหลัก โดยศิลปะแขนงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากยุคกรีกโรมันบ้างเล็กน้อย สังเกตได้จากการสร้างหัวเสาค้ำยันจะมีการแกะสลักด้วย ตัวเสาค้ำยันก็เช่นกันจะมีการวางโครงสร้างรูปร่างเหมือนกับยุคโรมัน
กลับมาเล่าเรื่องศิลปะกับคริสต์ศาสนากันต่อ ผลงานของศิลปะในยุคนี้จะมีตั้งแต่การสร้างสถาปัตยกรรมเพื่อเป็นอาคาร โบสถ์ หรือสถานที่ทำกิจกรรมของคริสต์ศาสนา ส่วนด้านในจะเป็นงานศิลปะที่บอกเล่าความเชื่อคริสต์ศาสนาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแกะสลักนูนต่ำชื่อว่า การตัดสินครั้งสุดท้าย หรือภาพเขียนต่างๆที่บอกเล่าเรื่องโลกหลังความตาย การพบพระเจ้า การทำความดี และอื่นๆ โดยภาพงานเขียนเหล่านั้นจะถูกตีความมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล
โรมาเนสก์ แตกต่าง จากไบแซนไทน์ตรงไหน
อีกหนึ่งอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ศิลปะแบบโรมาเนสก์ มีความแตกต่างกันกับ ศิลปะยุคก่อนหน้าอย่าง ศิลปะไบแซนไทน์ ค่อนข้างชัดเจนเลย งานของโรมาเนสก์ถ้าเป็นงานจิตรกรรมจะมีความอ่อนช้อย พลิ้วไหวมากกว่า ดูมีรายละเอียดมากกว่า แต่ถ้าหากเป็นงานทางด้านสถาปัตยกรรม งานศิลปะโรมาเนสก์จะดูแข็งแกร่ง เน้นความทนทาน อาคารจะสร้างให้เหมือนกับป้อมปราการ หรือบางแห่งจะทำเป็นหลังคาโค้ง แต่ถ้าเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์จะเน้นไปที่ความสูง โปร่ง มีโดม เป็นหลัก แตกต่างกันในจุดนี้
จุดเด่นสถาปัตยกรรมยุคโรมาเนสก์
ทีนี้เรามาดูจุดเด่นของงานศิลปะยุคโรมาเนสก์กันบ้าง อย่างแรกเลย การสร้างอาคารจะเน้นไปที่ความแข็งแกร่ง แข็งแรง เหมือนป้อมปราการ จนทำให้ดูทึบ และอึดอัด สองใช้โครงสร้างให้เป็นวงโค้งไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูหรือหน้าต่าง สามออกแบบให้เป็นหอสูง 2-3 หอซ้อนกันเพื่อความลึกลับ โดยสถาปัตยกรรมของศิลปะแนวคิดนี้ยังอยู่และมีชื่อเสียงมากก็ได้แก่ หอเอนเมืองปิซ่า ในอิตาลี, วิหารแซงต์เอเตียนน์ ในประเทศฝรั่งเศส, ประตูวันซานตาครูส ประเทศสเปน ซุ้มประตูที่โค้งซ้อนทับกันไปเรื่อย มีประตูไม้เล็กๆ ตรงกลาง เป็นตัวอย่างของศิลปะนี้ได้เลย, วัดเซ็นต์ออสเตรมอยน์ เมืองอิซัว ประเทศฝรั่งเศส ที่มองภายนอกต้องบอกว่ามันไม่เหมือนวัด หรือศาสนาสถานเลย บอกว่ามันคือป้อมปราการเพื่อระวังภัยจากที่สูงและมองเห็นศัตรูจากบนฟ้าก็เชื่อนะ
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่สวยงาม และด้วยความคงทนต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่แม้จะผ่านไปหลายร้อยปีมันก็ยังตั้งตระหง่านอยู่ได้แบบไม่กลัวอะไรเลย ถือว่าเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่อาจจะไม่หวือหวา แต่เรื่องความคงทนรับประกันได้เลย