แต่จริงๆ แล้ว การที่จะรู้ว่าเพลงใดเป็นเพลงบรรเลงในจังหวะใด สามารถสังเกตได้จากเสียง “ฉิ่ง” และ “กลอง” ซึ่งเรียกว่า จังหวะ “หน้าทับ” ที่ปรากฏในแต่ละห้องเพลงเป็นสำคัญ
เพลงไทยจะมีการแบ่งห้องเพลงออกเป็นเลขคู่ (ตามคติทางพุทธศาสนา) ใน 1 ชุดหรือ1แถว จะมี 8 ห้อง,หรือ 4 ห้อง โดยแต่ละห้องจะมี 4 จังหวะ แต่ละจังหวะคือ 1 ตัวโน็ต ดังนั้น เสียงฉิ่งที่จะปรากฏในเพลงแต่ละอัตราจังหวะ ก็จะแสดงได้ดังนี้
จังหวะ 3 ชั้น | – – – – | – – – ฉิ่ง| – – – – | – – – ฉับ|
จังหวะ 2 ชั้น | – – – ฉิ่ง| – – – ฉับ| – – – ฉิ่ง| – – – ฉับ|
จังหวะชั้นเดียว | – ฉิ่ง – ฉับ| – ฉิ่ง – ฉับ| – ฉิ่ง – ฉับ| – ฉิ่ง – ฉับ|
ทำนอง เพลงไทยทุกเพลงจะใช้ทำนองหนึ่งเป็นทำนองหลักในการบรรเลง ( ทางฝรั่งเรียกว่า Theme หรือ Basic melody) ซึ่งจะบรรเลงโดยเครื่องดนตรีบางชิ้นสำหรับให้เป็นหัวใจหลักของวงเท่านั้น ไม่ได้บรรเลงโดย เครื่องดนตรีทุกชิ้น เช่นถ้าเป็นวงปี่พาทย์ ผู้ที่บรรเลงทำนองหลักนี้ก็คือ “ฆ้องวงใหญ่” ส่วนเครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะบรรเลงทำนองหลักดังกล่าว โดยการแปรให้เป็นแนวเสียงและวิธีบรรเลงที่เหมาะกับบุคคลิกของตนเองประสานกันไป ซึ่งเรียกแนวการแปรนี้ว่า “ทาง” เช่น “ทางใน” – จะหมายถึงทำนองเพลงที่บรรเลงโดยแปรให้เป็นไปตามลักษณะเสียงของปี่ใน เป็นต้น
สิ่งที่กำกับให้การแปรทำนองของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเหล่านี้เป็นไปในรอยเดียวกันก็คือ เครื่องประกอบจังหวะ อันได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง นั่นเอง
มาตราเสียง หมายถึงระดับความสูงต่ำของเสียง ดนตรีไทยมีอยู่ 7 ขั้นหรือ 7 เสียง เทียบได้กับเสียงดนตรีสากล (โด เร มี ฟา ซอล ลา ที) แต่มีข้อแตกต่างคือ แต่ละขั้นเสียงในดนตรีไทยมีความห่างของเสียงเท่ากันตลอดทั้ง 7 ขั้น ซึ่งต่างจากดนตรีสากลที่มีความห่างบางขั้นแค่ครึ่งเสียง (เช่น จากเสียง -มี ไป ซอล-) ทำให้เสียงจากเครื่องดนตรีไทยเดิม ไม่สามารถเล่นควบคู่กับเครื่องดนตรีสากลได้ ภายหลังจึงได้มีการพัฒนาปรับแต่งเครื่องดนตรีบางชิ้น ให้มีระยะห่างของเสียงเท่ากับเครื่องดนตรีสากลเพื่อให้สามารถเล่นพร้อมกันได้ เช่น ขลุ่ยเสียง C, ขลุ่ยเสียง Bb เป็นต้น
การประสานเสียง ในดนตรีไทยจะมีการประสานเสียง 2 อย่าง คือ การประสานเสียงภายใน – ซึ่งเกิดจากการสร้างเสียงไม่น้อยกว่า 2 เสียงพร้อมกันภายในของเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น ระนาด , ฆ้องวง, ซอสามสาย, ขิม.. ซึ่งมักใช้เสียงประสานที่เรียกว่า “ขั้นคู่เสียง” (interval) เป็นคู่แปด (เช่น โด ต่ำกับ โด สูง) หรือคู่ห้า (เช่น โด กับ ซอล) แต่จะไม่ใช้คู่เจ็ด หรือคู่เก้า และการประสานเสียงภายนอก – อันเกิดจากเสียงเครื่องดนตรีต่างชนิด ซึ่งมีทางเสียงต่างกัน แต่บรรเลง (แปร)ในทำนองเดียวกัน ประสานกันไป นอกจากนี้ยังมีเสียงจากเครื่องให้จังหวะต่างๆ (ฉิ่ง , กลอง..) อีกด้วย
หนึ่งในเพลงไทยเดิมที่เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปนอกจากเพลงที่ได้ยินกันบ่อยๆ เช่น เพลงลาวดวงเดือน 2 ชั้น เพลงเขมรไทรโยค 3 ชั้น ก็มักจะได้ยินคนเอ่ยถามหรือขอให้นักดนตรีไทยบรรเลงให้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะ”ขิมสาย”มักถูกขอให้บรรเลงเพลงนี้เป็นพิเศษ (แม้ว่าบางครั้งผู้ขออาจไม่รู้จักทำนองเพลงเลยก็ตาม) เพลงที่เรากำลังพูดถึงนี้คือเพลงนางครวญ 2 ชั้น ซึ่งเพลงนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจากวรรณกรรมชื่อดังเรื่อง”คู่กรรม” ที่ถูกนำมาสร้างเป็นละครและภาพยนต์ซึ่งได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเพลงนี้เกี่ยวข้องอยู่ในฉากสำคัญฉากหนึ่งของเรื่อง คือตอนที่นางเอก (อังศุมาลิน)นั่งบรรเลงขิมเพลงนี้อยู่บนเรือน จนโกโบริได้ยินและตามขึ้นไปดูนั่นเอง..
ประวัติเพลงนางครวญ ของเก่าเดิมมีอัตราจังหวะ 3 ชั้น สันนิษฐานว่ามีที่มาจากทำนองเพลงมอญรำดาบ 2 ชั้น หรือไม่ก็เพลงนางร่ำ 2 ชั้น(ในตับนเรศวร์ชนช้างตามตำรามโหรี) ซึ่งผู้แต่งน่าจะเป็นคนเดียวกับผู้แต่งเพลง สุดสงวน เพื่อให้มีสำนวนทำนองคู่กันและแต่งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน สำเนียงเพลงแสดงความหมายตามชื่อเพลง คือการคร่ำครวญรำพึงรำพันความเศร้าโศกของผู้หญิงส่วนทำนองเพลงนางครวญ 2 ชั้น ในปี 2476 นายมนตรี ตราโมทได้ประพันธ์ขึ้นโดยตัดแต่งจากทำนองเพลงนางครวญ 3 ชั้น(เดิม)โดยประพันธ์อัตราจังหวะชั้นเดียวจนครบเป็นเพลงเถา โดยเลียนทำนอง 2 ชั้นและชั้นเดียวจากเพลงสุดสงวน