หาก range มีข้อความที่จะต้องตรวจสอบ criterion จะต้องเป็นสตริง โดย criterion อาจมีสัญลักษณ์แทนซึ่งรวมถึง COUNTIF(A1:A10,"Paid")0 เพื่อจับคู่กับอักขระตัวเดียว หรือมี COUNTIF(A1:A10,"Paid")1 เพื่อจับคู่กับอักขระ 0 หรือ 1 ตัวขึ้นไปที่ต่อเนื่องกัน หากต้องการจับคู่เครื่องหมายคำถามหรือดอกจันจริงๆ ให้พิมพ์เครื่องหมายตัวหนอน (COUNTIF(A1:A10,"Paid")2) นำหน้า (เช่น COUNTIF(A1:A10,"Paid")3และ COUNTIF(A1:A10,"Paid")4) เกณฑ์ของสตริงจะต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูด จากนั้นระบบจะตรวจสอบแต่ละเซลล์ใน range กับ criterion เพื่อดูความตรงกัน (หรือจับคู่หากมีการใช้สัญลักษณ์แทน)
หาก range มีตัวเลขที่จะต้องตรวจสอบ criterion อาจเป็นสตริงหรือตัวเลขก็ได้ หากมีการระบุตัวเลข ระบบจะตรวจสอบแต่ละเซลล์ใน range เพื่อดูความตรงกันกับ criterion หรือไม่เช่นนั้น criterion อาจเป็นสตริงที่มีตัวเลข (ซึ่งจะระบบจะตรวจสอบความตรงกันด้วยเช่นกัน) หรือตัวเลขที่นำหน้าด้วยเครื่องหมายต่างๆ นั่นคือ COUNTIF(range, criterion)2, COUNTIF(range, criterion)3, COUNTIF(range, criterion)4, COUNTIF(range, criterion)5 หรือ COUNTIF(range, criterion)6 ซึ่งจะตรวจสอบว่าช่วงเซลล์เท่ากับ มากกว่า มากกว่าหรือเท่ากับ น้อยกว่า หรือน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าในเกณฑ์หรือไม่ ตามลำดับ
หมายเหตุ
- COUNTIF(range, criterion)7 จะใช้เพื่อนับแบบมีเงื่อนไขซึ่งมีเกณฑ์ได้เพียงรายการเดียวเท่านั้น หากต้องการใช้เกณฑ์หลายเกณฑ์ ให้ใช้ COUNTIF(range, criterion)8 หรือฟังก์ชัน COUNTIF(range, criterion)9 หรือ range0 สำหรับฐานข้อมูล
COUNTIF(range, criterion)7 จะไม่คํานึงถึงตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่
ตัวอย่าง
ดูเพิ่มเติม
COUNTIF(range, criterion)8: แสดงผลค่าจำนวนช่วงที่ขึ้นกับเกณฑ์หลายรายการ
range3: แสดงผลรวมแบบมีเงื่อนไขตลอดช่วง
range0: นับจำนวนค่าซึ่งรวมถึงข้อความที่เลือกจากช่วงหรืออาร์เรย์ที่มีลักษณะเหมือนตารางฐานข้อมูลโดยใช้คำสั่งค้นหาแบบ SQL
COUNTIF(range, criterion)9: นับจำนวนค่าตัวเลขที่เลือกจากช่วงหรืออาร์เรย์ที่มีลักษณะเหมือนตารางฐานข้อมูลโดยใช้คำสั่งค้นหาแบบ SQL
เนื่องจากฟังก์ชั่นของ Excel มีเยอะมาก และถึงแม้ว่าการค้นหาฟังก์ชั่นนั้นมีประโยชน์ก็จริง แต่อาจไม่สะดวกนัก คงจะดีกว่ามากถ้าเราสามารถจำฟังก์ชั่นที่ใช้งานบ่อยๆ ได้ทันที
แต่ไม่ต้องห่วงเพราะฟังก์ชั่นที่ใช้บ่อยจริงๆ ไม่ได้มีเยอะเลย และมันก็เป็นไปตาม กฎ 80/20 ที่บอกว่า
“ผลลัพธ์หรือ ผลกระทบส่วนใหญ่ (80%) มาจากสาเหตุที่เป็นส่วนน้อย (20%)”
เพราะใน Excel การใช้งานส่วนใหญ่มาจาก ฟังก์ชั่นแค่ไม่ถึง 20% เท่านั้น!!
เท่าที่ผมค้นคว้ามา Excel มีฟังก์ชั่นทั้งหมดประมาณ 450 ฟังก์ชั่น (ประมาณนะครับ…) ซึ่งฟังก์ชั่นที่ผมคิดว่าใช้บ่อยมากๆ เลย มีอยู่ประมาณ 45 ตัวด้วยกัน และมีค่อนข้างบ่อยอีก 25 ตัว รวมเป็น 70 ตัว ซึ่งคิดเป็น 15% ของฟังก์ชั่นทั้งหมด
แหม.. กฎ 80/20 นี้แม่นจริงๆ สินะครับ !
ต้องเลือกใช้ฟังก์ชั่นให้เหมาะกับสถานการณ์
ในบทนี้คุณจะได้พบกับฟังก์ชั่นมากมาย ผมแนะนำให้มองว่าแต่ละฟังก์ชั่นมันเหมือนเครื่องมือที่มีหน้าที่ต่างกัน ซึ่งหน้าที่ของเราคือต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ โดยควรจะรู้ว่ามีเครื่องมืออะไรให้เลือกใช้บ้าง มันมีหน้าที่ไว้ทำอะไร และมันใช้งานยังไง? เช่น ฟังก์ชั่นใน Excel บางตัวอาจทำงานคล้ายๆ กัน ซึ่งเราต้องเลือกให้ถูกว่าจะใช้ฟังก์ชั่นไหนดี เช่น ฟังก์ชั่น COUNT เอาไว้นับจำนวนช่องที่เป็นตัวเลข ส่วน COUNTA เอาไว้นับช่องที่ไม่ใช่ช่องว่าง เป็นต้น
บางเครื่องมือ (ฟังก์ชั่น) อาจทำงานได้เหมือนกันกับอีกฟังก์ชั่นเลย และอาจทำงานได้มากกว่าด้วย แต่ก็มักจะเขียนสั่งงานยากกว่าด้วยเช่นกัน เช่น =MAX จะเท่ากับ =LARGE ที่ระบุว่าเอาอันดับ1
ถ้าเราไม่ได้จะทำอะไรซับซ้อนมาก ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปขี่ช้างจับตั๊กแตน (ใช้ฟังก์ชั่นยากๆ ) ก็ได้ครับ
เน้นความเข้าใจหน้าที่และความสามารถของฟังก์ชั่น
หากคุณกำลังอ่านเนื้อหาบทนี้เป็นครั้งแรก ผมอยากให้เน้น ให้จำว่า ฟังก์ชั่นแต่ละอันมันทำอะไรได้ มากกว่าจะจำว่ามันมีวิธีเขียนยังไง เพราะหากเรารู้ว่ามันทำอะไรได้แล้ว เราจะเลือกใช้ได้ถูกตัวอยู่ และถึงจำไม่ได้ว่าเขียนยังไงก็ยังสามารถกด Help หรือ Google ดูวิธีใช้ได้ แต่ถ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรได้ เราจะเริ่มต้นไม่ถูกเลย
เพื่อความสะดวกของคุณ ผมได้ทำการคัดเลือก Function ที่ใช้กันบ่อยๆ มาให้แล้ว!!
โดยผมจะแบ่งออกเป็นหมวดต่างๆ เช่นเดียวกับเมนูที่อยู่บน Ribbon ใน [Formulas] –> Function Library นะครับ
Math & Trig : คณิตศาสตร์
ฟังก์ชั่นหน้าที่คำสั่ง/ตัวอย่างการใช้งานSUMบวกเลขทุกตัวที่อยู่ใน Range ที่เลือกไว้=SUM(number1,[number2],…])=SUM(1,5,10) จะคิด 1+5+10 ได้ผลรวมเป็น 15 หรือ=SUM(A1:A10) จะเอาค่าใน A1 ถึง A10 มาบวกกันSUMIFSใช้บวกเลขทุกตัวที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทีกำหนดตัวนี้ทำหน้าที่คล้ายกับเครื่องมือ PivotTable ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้เรียนรู้กันครับ=SUMIFS(sum_range, criteria_range1, criteria1, [criteria_range2, criteria2], …)
=SUMIFS(A1:A20, B1:B20, “>0”, C10:C30, “<10”)แปลว่า ให้บวกเลขในช่อง A1:A20 โดยที่· ในช่อง B1:B20 ที่จับคู่กับ A นั้นจะต้อง >0 และ ในช่อง C1:C20 ที่จับคู่กับ A ต้อง < 10MODหาเศษเหลือจากการหารตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนจะไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่จริงๆ แล้วฟังก์ชั่นนี้มีประโยชน์ที่โดดเด่น เช่น การมีเงื่อนไขที่จะทำอะไรบางอย่างทุกๆ x ช่อง (หารด้วย x ลงตัว)=MOD(number, divisor)
=MOD(10,7) ได้ผลลัพธ์เป็นเลข 3
เพราะ เอา 10 หารด้วย 7 ได้ 1 เหลือเศษ 3=MOD(8,2) ได้ผลลัพธ์เป็นเลข 0
เพราะ เอา 8 หารด้วย 2 ได้ 4 เหลือเศษ 0SUMPRODUCTให้เอาเลข 2 ชุดมาคูณกันตามคู่ลำดับแล้วหาผลรวมภายหลัง=SUMPRODUCT(array1, [array2], [array3], …)
=SUMPRODUCT(A1:A10,B1:B10)แปลว่า ให้บวกเลขในช่อง A1*B1 + A2*B2+…A10*B10RANDสุ่มตัวเลขที่อยู่ระหว่าง 0 ถึง 1
(ทศนิยม 15 หลัก เรียกได้ว่าเลชที่สุ่มออกมาแต่ละทีไม่น่าจะซ้ำกันหรอกครับ)=RAND()
มันจะออกมาเป็นเลขระหว่าง 0 ถึง 1 โดยที่เลขจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่มีการคำนวณใหม่ (กด F9 ได้)* ตัวนี้ไม่มี Argument
ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- SUBTOTAL หาผลรวมในรูปแบบต่างๆ เช่น SUM, MAX แต่จะรวมเฉพาะตัวที่ไม่ถูก Filter ทิ้ง
- AGGREGATE จะ Advance กว่า SUBTOTAL ไปอีกขั้น โดยเลือก Option ได้เยอะกว่า
- RANDBETWEEN ทำการสุ่มเลขเป็นจำนวนเต็มในขอบเขตที่กำหนด
- GCD = หาตัวหารร่วมที่มากที่สุด ( ห.ร.ม.) / LCM = หาตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุด (ค.ร.น.)
- PRODUCT = หาผลคูณของเลขทุกตัวที่อยู่ใน Range ที่เลือกไว้
- FACT = หาเลข Factorial คือผลคูณแบบไล่ค่าลดลงเรื่อยๆจนถึงเลข 1 เช่น FACT(4)= 4*3*2*1 เป็นต้น มันใช้มากในเรื่องทฤษฎีการนับ และ ความน่าจะเป็น
Statistical : สถิติ
ฟังก์ชั่นหน้าที่คำสั่ง/ตัวอย่างการใช้งานCOUNTนับจำนวนช่องที่เป็นตัวเลขใน Range ที่เลือกไว้=COUNT(value1, [value2], …)=COUNT(A1:A10) จะนับว่าในช่อง A1 ถึง A10 มีช่องที่เป็นตัวเลขกี่ช่องCOUNTAนับจำนวนช่องที่ไม่ว่างเปล่าใน Range ที่เลือกไว้=COUNTA(value1, [value2], …)
=COUNTA(A1:A10) จะนับว่าในช่อง A1 ถึง A10 มีช่องที่ไม่ว่างเปล่ากี่ช่องAVERAGEหาค่าเฉลี่ยจากตัวเลขใน Range ที่เลือกไว้ โดยที่จะไม่คิดค่าว่างเปล่า=AVERAGE(number1, [number2], …)
=AVERAGE(A1:A10) จะหาค่าเฉลี่ยของตัวเลขในช่วง A1 ถึง A10 โดยที่จะไม่คิดค่าว่างเปล่าMAX / MINหาค่าที่มากที่สุด / น้อยที่สุดจากตัวเลขใน Range ที่เลือกไว้=MAX(number1, [number2], …)
=MAX(A1:A10) หาค่ามากที่สุดในช่วง A1 ถึง A10
=MIN(number1, [number2], …)
=MIN(A1:A10) หาค่าน้อยที่สุดในช่วง A1 ถึง A10LARGE / SMALLหาค่าที่มาก / น้อย เป็นลำดับที่ xx จากตัวเลขใน Range ที่เลือกไว้ แปลว่าใช้แทน MAX/MIN ก็ได้=LARGE(array, k)
=LARGE(A1:A10,3) แปลว่าหาค่าที่มากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 (ระบุที่ k) จากช่วง A1 ถึง A10
ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- MODE หาค่า ฐานนิยม หรือ ค่าที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด (นิยม)
- MEDIAN หาค่า มัธยฐาน หรือ ค่าที่อยู่ตำแหน่งกึ่งกลาง เมื่อเรียงค่าจากน้อยไปมาก
- PERCENTILE หาค่าที่อยู่ตำแหน่งที่ xxx % เมื่อเรียงค่าจากน้อยไปมาก
- RANK หาว่าเลขที่เราสนใจ มีค่ามากหรือน้อยเป็นอันดับที่เท่าไหร่ใน Range ที่กำหนด
Date & Time : วันที่และเวลา
ฟังก์ชั่นหน้าที่ตัวอย่างการใช้งานYEARหาว่าวันทีที่ต้องการเป็นปี ค.ศ. อะไร=YEAR(serial_number)MONTHหาว่าวันทีที่ต้องการเป็นเดือนลำดับที่เท่าไหร่ (1-12)=MONTH(serial_number)DATEVALUEแปลงค่าจากวันที่ในรูปแบบ Text ให้เป็นวันที่จริงๆ=DATEVALUE(date_text)DATEแปลงค่าจากตัวเลข 3 ชุด ปี เดือน วัน ให้กลายเป็นวันที่=DATE(year,month,day)EDATEหาว่าจากวันที่กำหนด ถัดไป/ย้อนกลับ อีก xx เดือนจะกลายเป็นวันที่เท่าไหร่=EDATE(start_date, months)NETWORKDAYSหาเวลาทำงาน ระหว่างวันสองวันที่กำหนด โดยไม่นับวันหยุด=NETWORKDAYS(start_date, end_date, [holidays])DATEDIFใช้หาว่าวันสองวันที่กำหนด ห่างกันกี่วัน กี่เดือน หรือ กี่ปี (เราเลือกได้)*ฟังก์ชั่นนี้ไม่มี Help บอกใน Excel=DATEDIF( start_date, end_date, interval)WEEKDAYหาว่าวันที่ที่ต้องการเป็นวันอะไรของสัปดาห์ ( จ อ พ พฤ ศ ส อา) โดยจะให้ค่ากลับมาเป็นตัวเลขฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- WORKDAY คล้ายกับ NETWORKDAYS แต่จะทำกลับกัน คือ รู้วันเริ่มต้น และระยะเวลาวันทำงาน จากนั้นค่อยหาว่าวันปลายทางจะเสร็จวันไหน
- WEEKNUM หาว่าวันที่นั้นๆ ตรงกับสัปดาห์ที่เท่าไหร่ของปีนั้น
Logical : ตรรกะฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
ฟังก์ชั่นหน้าที่คำสั่ง/ตัวอย่างการใช้งานANDถ้าเงื่อนไขที่เชื่อมทุกอันเป็นจริง จะได้ค่าออกมาเป็นจริง กรณีอื่นเป็นเท็จตรงกับภาษาพูดว่า “และ”=AND(logical1, [logical2], …)=AND(3>5,10-3<8)
=AND(FALSE,TRUE) จะได้เท็จ เนื่องจาก 3>5 ได้เท็จ (แม้อีกตัวจะจริงก็ตาม)
=OR(3>5,10-3<8)
=OR(FALSE,TRUE) จะได้จริง เนื่องจาก 10-3<8 ได้จริง (แม้อีกตัวจะเท็จก็ตาม)
=NOT(3>5)
=NOT(FALSE) จะได้จริง เนื่องจาก 3>5 ได้เท็จ แล้วกลับเท็จเป็นจริง
ทดสอบ 3>5 ได้เท็จ จึงแสดงผลการคำนวณคือ 7
ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- IFERROR เป็นลูกผสมระหว่าง IF และ ISERROR โดยจะสามารถกำหนดได้ว่า หาก Error จะให้ทำอะไร
Text : ข้อความ
ฟังก์ชั่นหน้าที่ตัวอย่างการใช้งานLENนับจำนวนตัวอักษรของคำที่เลือก โดยนับทั้ง space สระ วรรณยุกต์ด้วย=LEN(text)=LEN(“very มั่นใจ”) จะได้ 11LEFT / RIGHTตัดตัวหนังสือที่กำหนดจากทาง ซ้าย/ขวา ด้วยระยะจำนวนตัวอักษรที่กำหนด=LEFT(text, [num_chars])=LEFT(“สนุกจัง”,2) =”สน”=RIGHT(text, [num_chars])=RIGHT(“สนุกจัง”,3) =”จัง”TRIMตัดช่องว่างที่อยู่หน้าและหลังคำออกทั้งหมด รวมถึงช่องว่างตรงกลางที่เกิน 1 เคาะด้วย=TRIM(text)=TRIM(” inw excel “) จะได้ออกมาเป็น
“inw excel” (เหลือช่องว่างกลาง 1 space)FINDหาว่าคำที่ต้องการค้นหา อยู่เป็นตัวอักษรลำดับที่เท่าไหร่ของคำที่กำหนด สนใจ ตัวพิพม์เล็กพิมพ์ใหญ่=FIND(find_text, within_text, [start_num])=FIND(“Excel”,”inwexcel is Excellent”)
=13SEARCHหาว่าคำที่ต้องการค้นหา อยู่เป็นตัวอักษรลำดับที่เท่าไหร่ของคำที่กำหนด ไม่สนใจ ตัวพิพม์เล็กพิมพ์ใหญ่ และใช้เครื่องหมาย Wildcard ได้=SEARCH(find_text,within_text,[start_num])=SEARCH(“Excel”,”inwexcel is Excellent”)
=4SUBSTITUTEแทนที่คำที่ต้องการด้วยอีกคำหนึ่ง ใช้เมื่อรู้คำที่จะถูกแทนที่=SUBSTITUTE(text, old_text, new_text, [instance_num])
=SUBSTITUTE(“ผม like มาก”,”like”,”ชอบ”)
= “ผม ชอบ มาก”REPLACEแทนที่ตำแหน่งที่ต้องการด้วยอีกคำหนึ่ง ใช้เมื่อรู้ตำแหน่งและจำนวนตัวอักษรที่จะถูกแทนที่=REPLACE(old_text, start_num, num_chars, new_text)
=REPLACE(“081-234-5678”,5,3, “ไม่บอก”)
= “081-ไม่บอก-5678”TEXT เปลี่ยน Number Format ของตัวเลขด้วยการใช้สูตร=TEXT(value, format_text)
ในช่อง format_text ให้ใส่รูปแบบคล้ายการทำ Custom Format ซึ่งจะอธิบายต่อไปในบทหลัง
=TEXT(1234.5678,”0.00″)= “1234.57”
ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- REPEAT ใส่ตัวอักษรซ้ำๆ ลงไปด้วยจำนวนที่กำหนด
- CLEAN ทำการลบตัวอักษรประหลาดๆ ที่พิมพ์ไม่ออก
Lookup & Reference: การดึงข้อมูลและการอ้างอิง
ในนี้จะเป็นตารางสรุปคร่าวๆ เท่านั้น รายละเอียดจะอยู่บทถัดๆไปครับ เพราะส่วนใหญ่ฟังก์ชั่นในหมวดนี้ถือว่าใช้งานยากกว่าหมวดอื่นๆ เกือบทุกตัว จึงต้องขอยกไปพูดทีหลัง
ฟังก์ชั่นหน้าที่ตัวอย่างการใช้งานVLOOKUPค้นหาคำที่ต้องการในแนวดิ่งของคอลัมน์แรกในตารางอ้างอิง เมื่อเจอแล้วจากนั้นมองไปทางขวาเอาข้อมูลในคอลัมน์ที่กำหนดกลับมา=VLOOKUP(lookup_value, table_array, col_index_num, [range_lookup])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปMATCHค้นหาคำที่ต้องการว่าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ของช่วงที่กำหนด=MATCH(lookup_value, lookup_array, [match_type])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปINDEXส่ง Cell Reference หรือค่าใน Cell Reference ตามพิกัดแถว & คอลัมน์ที่กำหนด จากตารางอ้างอิงที่กำหนด=INDEX(array, row_num, [column_num])=INDEX(reference, row_num, [column_num], [area_num])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปINDIRECTเปลี่ยน Text เป็น Cell Reference=INDIRECT(ref_text, [a1])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปOFFSETเลื่อนตำแหน่งจากช่องที่เราอ้างอิงไปในทิศทางต่างๆ แล้วส่งCell Reference หรือค่าใน Cell Reference กลับมา=OFFSET(reference, rows, cols, [height], [width])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปCHOOSEเลือกว่าจะใช้การคำนวณชุดไหน เช่น ชุดที่ 1, 2, 3, 4=CHOOSE(index_num, value1, [value2], …)=CHOOSE(3,A1+2,A1*3,A1/A2)เลือกเอาสูตรชุดที่ 3 มาใช้ นั่นคือ=A1/A2ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- ROW หาว่าแถวของ Cell ที่กำหนดอยู่แถวที่เท่าไหร่
- COLUMN หาว่าแถวของ Cell ที่กำหนดอยู่คอลัมน์ที่เท่าไหร่
- ROWS หาว่า Range ที่กำหนดมีกี่แถว
- COLUMNS หาว่า Range ที่กำหนดมีกี่คอลัมน์
Financial : การเงิน
ฟังก์ชั่นหน้าที่ตัวอย่างการใช้งานPVหาค่า Present Value(หา มูลค่าปัจจุบัน จาก Cash flow ในอนาคต)=PV(rate, nper, pmt, [fv], [type])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปFVหาค่า Future Value
(หา มูลค่าอนาคต จาก Cash flow ในปัจจุบัน)=FV(rate,nper,pmt,[pv],[type])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปNPVหาค่า Net Present Value ซึ่งก็คือ
การคิดมูลค่าลงทุนสุทธิ จาก Cashflow ในอนาคตทั้งหมด มารวมไว้ ณ เวลาปัจจุบัน=NPV(rate,value1,[value2],…)ค่า Cash flow ที่ใส่ไปต้องเริ่มที่ Period 1 ไม่ใช่ Period 0รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปIRRหาค่า Internal Rate of Return ซึ่งก็คือค่า ดอกเบี้ย หรือ Discount Rate ที่ทำให้ NPV =0 พอดี=IRR(values, [guess])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไปPMTหาว่า ต้องผ่อนเงินกู้ งวดละเท่าๆ กัน งวดละกี่บาท จึงจะหมดพอดีในระยะเวลาที่กำหนด=PMT(rate, nper, pv, [fv], [type])รออ่านรายละเอียดในบทถัดๆไป
ฟังก์ชั่นตัวอื่นๆ ที่ใช้บ่อยในหมวดหมู่นี้
- NPER
- RATE
Information : ข้อมูล
ฟังก์ชั่นหน้าที่ตัวอย่างการใช้งานIS….มีหลายตัว เช่น- ISERROR
- ISBLANK
- ISNUMBER
- ISTEXT
- ISERROR = เช็คว่า Error หรือไม่?
- ISBLANK = เป็นช่องว่างเปล่า หรือไม่?
- ISNUMBER = เป็นตัวเลข หรือไม่?
- 1 = Number
- 2 = Text
- 4 = Logical Value (TRUE/FALSE)
- 16 = Error Value
- 64 = Array
ตรงนี้จะมีประโยชน์ตรงที่เอาไว้เช็คประเภทของข้อมูลว่าเป็นประเภทที่เราต้องการรึเปล่า เวลานำไปใช้ในการเขียนสูตรต่างๆ