การช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้น นอกจากแพทย์จะให้ยากินเพื่อให้มีสมาธิในการเรียนแล้ว ครู และพ่อแม่มีส่วนช่วยอย่างมาก การฝึกทักษะหลายประการที่เด็กสมาธิสั้นยังขาดอยู่ ในระหว่างวัยเด็กนี้ พ่อแม่และครูจึงเป็นผู้ช่วยสำคัญ ที่จะฝึกฝนส่งเสริมให้เด็กสมาธิสั้นมีทักษะเบื้องต้นเพื่อเป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาตนเองในระยะยาวต่อไป
โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder)
โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้มีสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่เคยอยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ
สาเหตุโรคสมาธิสั้น มาจากสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะในสมองส่วนหน้า ที่ควบคุมเรื่องสมาธิ ความจดจ่อ การยับยั้งชั่งใจ และการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำงานน้อยกว่าเด็กปกติ ทำให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก การทำกิจวัตรประจำวัน และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
เด็กสมาธิสั้น สร้างความกลุ้มใจ และเป็นกังวลให้แก่พ่อ แม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นห่วงการใช้ชีวิตอนาคตของลูก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็กจะต้องแยกจากพ่อแม่ และไม่ได้ดูแลตลอดเวลา ซึ่งช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียนผู้ที่จะต้องดูแลเด็กก็คือ ครู ดังนั้น เราได้มีคำแนะนำในการดูแลเด็กสมาธิสั้น ดังนี้
- จัดที่นั่งให้เด็กนั่งหน้าชั้นเรียนหรือใกล้ครู เพื่อจะได้คอยกำกับให้เด็กมีความตั้งใจในการทำงานที่ดีขึ้น และให้นั่งท่ามกลางเด็กเรียบร้อยที่ไม่คุยระหว่างเรียน ไม่ควรให้เด็กนั่งหลังห้องหรือใกล้ประตูหน้าต่าง เนื่องจากมีโอกาสถูกกระตุ้นให้เสียสมาธิได้ง่าย
- วางกฎระเบียบ และตารางกิจกรรมต่างๆ ของห้องเรียนให้ชัดเจน
- เขียนการบ้านหรืองานที่เด็กต้องทำให้ชัดเจนบนกระดานดำ พยายามสั่งงานด้วยวาจาให้สั้นที่สุด โดยสั่งตามขั้นตอนให้ทำเสร็จทีละอย่างก่อนให้คำสั่งต่อไป นอกจากนี้หลังจากสั่งเด็ก ควรถามเด็กกลับด้วยว่าครูสั่งอะไร เพื่อตรวจสอบความเข้าใจและยืนยันในคำสั่ง
- ช่วยดูแลให้เด็กทำงานเสร็จ และคอยตรวจสมุดเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบถ้วน
- ให้การชื่นชมทันทีที่เด็กตั้งใจทำงาน หรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
- เมื่อเด็กเบื่อหน่ายเริ่มหมดสมาธิ ควรหาวิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ทำให้เด็กเสียหน้า เช่น เคาะโต๊ะนักเรียนเบาๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ให้ช่วยครูแจกสมุดหรือช่วยลบกระดานดำ เป็นต้น หากเด็กสมาธิสั้นมาก ควรแบ่งทอนเวลางานแต่ละอย่างให้สั้นลง เพื่อให้เกิดความพยายามทำงานให้เสร็จทีละอย่างซึ่งใช้เวลาไม่นาน โดยเน้นเรื่องความรับผิดชอบที่จะต้องทำงานให้เสร็จเป็นสำคัญ
- เมื่อเด็กมีพฤติกรรมก่อกวนที่เป็นอาการของโรคสมาธิสั้น อาจใช้วิธีพูดเตือนเบนความสนใจให้ทำกิจกรรมอื่น หรือแยกให้อยู่สงบตามลำพังประมาณ 5 นาที ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิ ดุว่า หรือลงโทษรุนแรง ซึ่งจะเป็นการเร้าให้เด็กเสียการควบคุมตัวเองมากขึ้น
- เมื่อเด็กทำความผิดให้ใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จหลังเลิกเรียน
- ช่วยเหลือเป็นพิเศษทางด้านการเรียน เช่น การสอนเสริมแบบตัวต่อตัวกลุ่มเล็กๆ ในรายที่มีความบกพร่องในทักษะด้านการเรียนหรืออาจอนุญาตให้ใช้เทปบันทึกเสียงเพื่อกลับไปฟังซ้ำ และอนุญาตให้พิมพ์งานส่งในกรณีที่ปัญหาลายมือหรือเขียนหนังสือช้ามากๆ
- ครูควรให้เวลาที่ใช้ในการสอบสำหรับเด็กสมาธิสั้นนานกว่าเด็กปกติ
- มองหาจุดดีของเด็ก สนับสนุนให้เด็กได้แสดงความสามารถ และช่วยให้เพื่อนยอมรับ
- ติดต่อกับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอเพื่อวางแผนร่วมกันในการช่วยเหลือเด็ก
การดูแลเด็กสมาธิสั้น
การดูแลเด็กสมาธิสั้น สำคัญที่สุด คือ ต้องมีทัศนคติต่อเด็กในทางบวก ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กไม่ได้แกล้งซน แกล้งดื้อ จากนั้นใช้คำแนะนำดังกล่าวในข้างต้น ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมของเด็กไป เด็กก็จะสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ได้ เรียนหนังสือได้อย่างปกติ และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กบางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติได้ ขอเพียงพ่อแม่ผู้ปกครองหมั่นสังเกตและอย่าปล่อยผ่านเมื่อเกิดความสงสัย โดยเฉพาะโรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ที่จากผลสำรวจล่าสุดของกรมสุขภาพจิตในปี 2559 พบว่า เด็กอายุ 6 – 15 ปีทั่วประเทศเป็นโรคนี้ถึงประมาณ 420,000 คน พบในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 4 – 6 เท่า และในห้องเรียนที่มีจำนวนเด็กเฉลี่ย 40 – 50 คน พบเด็กที่เป็นโรคนี้แล้ว 2 – 3 คน ดังนั้นหากรู้เท่าทันและรักษาได้ทันท่วงทีย่อมช่วยให้อาการของเจ้าตัวเล็กดีขึ้นและเติบโตได้อย่างมีความสุข
รู้จักโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้มีสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่เคยอยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี แต่ในรายที่เป็นไม่มาก อาการจะแสดงออกชัดเจนกว่าในช่วงหลัง 7 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน มีงานและการบ้านต้องรับผิดชอบหลาย ๆ ชิ้นในเวลาเดียวกัน มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณครู รวมไปถึงการที่จะต้องรู้จักปรับตัวในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและการเข้าสังคม โดยสาเหตุแท้จริงนั้นไม่สามารถทราบได้ชัดเจน แต่หนึ่งในนั้นคือการที่สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสมาธิและการยับยั้งชั่งใจทำงานน้อยกว่าปกติ
อาการเด็กสมาธิสั้น
การจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ นอกจากต้องสังเกตจากลักษณะอาการที่ปรากฏแล้ว ยังจำเป็นจะต้องพิจารณาจากระยะเวลาที่เป็น และสถานที่ที่เด็กมีอาการ กล่าวคือ
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเจ้าตัวเล็กเติบโตท่ามกลางเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เรียกได้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองมีไว้ให้เจ้าตัวเล็กได้เล่น เนื่องจากทำงานหนักและไม่ค่อยมีเวลาในการเลี้ยงดู ซึ่งความจริงแล้วหากไม่เล่นได้จะดีที่สุด เพราะสมาร์ทโฟนมีส่วนกระตุ้นให้เด็กที่เป็นเป็นสมาธิสั้นมากมีอาการขึ้น เนื่องจากเมื่อเล่นไปนาน ๆ อาจส่งผลให้เด็กขาดสมาธิและการควบคุมตนเอง อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ก่อนแล้วอาการจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น อาทิ ใจร้อน วู่วาม อารมณ์ฉุนเฉียว ขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่รู้จักการรอคอย เป็นต้น นอกจากนี้การเล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานยังส่งผลให้เด็กเกิดความผิดปกติทางสายตา พูดช้า บุคลิกภาพไม่ดี ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรมองหากิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กและสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว ได้แก่ การเล่นกีฬา เช่น กอล์ฟ ฟุตบอล ว่ายน้ำ เป็นต้น หรือการเล่นดนตรี เช่น เปียโน เป็นต้น สำหรับช่วงอายุที่เด็กสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้นั้น ดีที่สุดคือที่ช่วงอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป แต่ต้องควบคุมระยะเวลาในการใช้งานคือ ครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพื่อจะได้ไม่ส่งผลเสียต่อพัฒนาการการเรียนรู้และการเข้าสังคม หากเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลาและอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อผลการรักษาที่ดี ที่สำคัญหากเด็กเข้ารับการรักษาจนหายขาดจากโรค นอกจากจะสมาธิดีขึ้น ผลการเรียนดีขึ้น เด็กยังเกิดความภาคภูมิใจในตนเองและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ในอนาคตเลี่ยงเล่นสมาร์ทโฟนแท็บเล็ต
ข้อใดแสดงถึงนักเรียนขาดสมาธิ
ธรรมในข้อใดที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่่ขวางกั้นความเจริญของจิตในการฝึกสติ *
ข้อใดคือแก่นพระศาสนา *
ข้อใดคือความหมายของสติปัฏฐาน