โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้อยสองนายล้วนชายหนุ่ม
น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ
จะพากันแรมทางไปต่างเมือง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๒. จุดมุ่งหมายในการแต่ง
จุดมุ่งหมายในการแต่งนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ คือ สุนทรภู่คิดถึงบิดาและตั้งใจจะไปบวชบ้างก็ว่าตั้งใจจะไปบอกบิดาว่าตอนนี้กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา และมีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วย จากการเดินทางเมืองแกลงในครั้งนี้เป็นตอนที่สุนทรภู่มีความรักเป็นครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรักโดยที่ไม่ได้บอกลากับหญิงคนรักก็คือแม่จัน นั่นเอง
๒.๑ สุนทรภู่คิดถึงบิดา ตั้งใจจะไปหาบิดา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย
จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว
ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว
ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
(นิราศเมืองแกลง : ๙๗)
๒.๒ จุดประสงค์ในการแต่งนิราศ
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก
เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย
ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอยฯ
(นิราศเมืองแกลง : ๑๐๑)
๒.๓ สาเหตุที่สุนทรภู่จำต้องเดินทางจากนางอีกสาเหตุหนึ่ง
นอกเหนือจากการต้องการไปเยี่ยมบิดา
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต
ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี
ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓. เนื้อเรื่องย่อ
นิราศเมืองแกลงมีเนื้อหาเป็นช่วงชีวิตหนึ่งของสุนทรภู่ เป็นตอนที่มีความรักครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรัก การคร่ำครวญ
ความรักในนิราศจึงแสดงถึงความทุกข์ ความห่วงใย ความอาลัย
ของการพลัดพรากจากคนรักโดยมีเนื้อเรื่องย่อดังนี้
นิราศเมืองแกลงมีเรื่องราวเกี่ยวกับสุนทรภู่เดินทางไปเยี่ยมบิดาซึ่งบวชอยู่ที่ตำบลบ้านกร่ำอำเภอแกลงจังหวัดระยองนิราศเรื่องนี้สุนทรภู่ได้เริ่มต้นโดยการกล่าวพรรณนาความน้อยใจที่มีคนรัก
แต่ไม่ได้อยู่ใกล้กัน(คือแม่จันภรรยาคนแรกของสุนทรภู่)การจากนางไปในครั้งนี้ยังไม่ทันได้ล่ำลาใดๆทั้งนั้น การเดินทางไปเมืองแกลง
ในครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางไปด้วยเป็นศิษย์ ๒ คน คือ น้อยกับพุ่ม
และนายแสงซึ่งเป็นคนนำทางลงเรืออกจากกรุงเทพฯ(ออกจากพระราชวังหลัง) ล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสำโรง คลองหัวตะเข้ ออกแม่น้ำบางปะกงขึ้นบกที่บางปลาสร้อย หนองมน บางพระ ศรีราชา ทุ่งสาขลา บางละมุง ทุ่งพัทยา ห้วยอีร้า ห้วยโป่ง ห้วยพร้าว สุนักข์กะบาก บ้านทับม้า ระยอง บ้านแลง คลองกรุ่น บ้านแกลง ชายทะเลแหลมทองหลวง ชะวาลาวน และถึงที่หมายปลายทาง
นั่นก็คือบ้านกร่ำ นิราศเมืองแกลงมีเนื้อหาเป็นช่วงชีวิตหนึ่งของ
สุนทรภู่เป็นตอนที่มีความรักครั้งแรกและต้องพลัดพรากจากคนรัก การคร่ำครวญความรักในนิราศจึงแสดงถึงความทุกข์ความห่วงใย ความอาลัยของการพลัดพรากจากคนรัก
๓.๑ ข้อสันนิษฐานในช่วงต้นเรื่อง
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท
จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร
ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม
น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอรัญ
จะพากันแรมทางไปกลางเมือง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๓.๒ การเดินทางในครั้งนี้สุนทรภู่ไม่ได้บอกกล่าวกับแม่จัน
ขออารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล
ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแพง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง
เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต
ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี
ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓.๓ สะท้อนถึงความกังวลเรื่องความรักกับแม่จัน
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา
ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
(นิราศเมืองแกลง : ๑๐๑)
๓.๔ มีการฝากน้องและมารดากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง
เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย
เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๓.๕ เดินทางผ่านคลองสำโรง
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ
ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ
พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๓.๖ เดินทางผ่านคลองหัวตะเข้
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร
ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก
ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
(นิราศเมืองแกลง : ๘๔)
๓.๗ เดินทางผ่านหนองมน
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย
เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
ถึงหนองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่
เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
(นิราศเมืองแกลง : ๘๘)
๓.๘ เดินทางผ่านบางละมุง
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป
ค่อยคลายใจจรเลียบชลามา
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม
ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
(นิราศเมืองแกลง : ๙๐)
๓.๙ เดินทางผ่านทุ่งพัทยา
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา
นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
บุกละแวกแฝกแขมที่แอร่มรก
กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
(นิราศเมืองแกลง : ๙๐)
๓.๑๐ เดินทางผ่านห้วยอีร้า
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด
ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป
ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
(นิราศเมืองแกลง : ๙๓)
๓.๑๑ เดินทางผ่านห้วยโป่ง
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล
คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น
บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
(นิราศเมืองแกลง : ๙๓-๙๔)
๓.๑๒ เดินทางผ่านห้วยพร้าว
ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า
เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม
อุระปิ้มศรปักสลักทรวง
(นิราศเมืองแกลง : ๙๔)
๓.๑๓ เดินทางผ่านระยอง
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต
ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
จากระยองย่องตามกันสามคน
เลียบถนนคันนาป่ารำไร
(นิราศเมืองแกลง : ๙๕)
๓.๑๔ เดินทางผ่านบ้านแลง
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป
ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
ถึงบ้านแลทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง
เฟือนหนทางทวนทบตลบหา
(นิราศเมืองแกลง : ๙๕)
๓.๑๕ เดินทางผ่านบ้านแกลง
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง
เห็นฝูงนางสานเสื่อเห็นเหลือใจ
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก
จนมือหงิกงอแงไม่แบได้
(นิราศเมืองแกลง : ๙๖)
๓.๑๖ เดินทางถึงบ้านกร่ำ
ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ
ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา
กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
(นิราศเมืองแกลง : ๙๗)
๔. คุณค่า
๔.๑ คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๔.๑.๑ การดำเนินเรื่องมีความเร้าใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามไปตลอดเรื่อง การดำเนินเรื่องจะบรรยายไปตามระยะเวลา
ของการเดินทาง กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ของผู้คนที่พบเห็นวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ธรรมชาติที่พบเห็น สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และยังได้สอดแทรกคติธรรม ทำให้ผู้อ่านติดใจในถ้อยคำ
ที่บรรยายธรรมชาติที่งดงาม ในนิราศเรื่องนี้ใช้ความรัก
ความอาลัยเป็นแก่นเรื่องเพื่อสร้างเรื่องให้งดงามสะเทือนอารมณ์
ตัวอย่าง
๑.) สภาพชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพ
อันพวกเขาชาวประมงไม่โหยงหยิบ
ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล
ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป
แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม
ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
(นิราศเมืองแกลง : ๘๗)
๒.) อารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงด้วยการกล่าวให้เกิดความสะเทือนใจ หรือเกิดความรู้สึก
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด
กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย
เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก
ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย
เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ
(นิราศเมืองแกลง : ๘๕)
๓.) แสดงอารมณ์สะเทือนใจของกวี ให้เห็นถึงทุกข์
อันเกิดจากการพลัดพรากจากคนรัก
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า
ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
(นิราศเมืองแกลง : ๘๑)
๔.๑.๒ ลักษณะคำประพันธ์ นิราศเมืองแกลงแต่งเป็นกลอน เลือกใช้ถ้อยคำที่มีสัมผัสเพื่อให้กลอนมีความไพเราะความสำคัญ
ของนิราศอยู่ที่อารมณ์สะเทือนใจ แนวนึกคิดของกวีที่แสดงออก
ในนิราศดีเด่นประทับใจผู้อ่าน ทำให้กลอนเกิดเสียงเสนาะ
ตัวอย่าง
๑.) ความสะเทือนใจของกวีที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดอารมณ์และถ่ายทอดออกมา
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้
คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
หอมสุคนธ์เคียงกายขจายจร
โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
(นิราศเมืองแกลง : ๘๒)
๔.๑.๓ การใช้ถ้อยคำ ที่สั้นและง่ายทำให้ความกระชับ
และให้ภาพเด่นชัดใช้เสียงของถ้อยคำให้เกิดอารมณ์ได้อย่างวิเศษ การเล่นคำ พลิกแพลงคำ ใช้คำพ้องรูป พ้องเสียง เพื่อให้การใช้เสียงอ่อนหวานเสนาะหู การซ้ำเสียง การใช้โวหาร เป็นการสื่อสารที่กระทบอารมณ์ผู้อ่านได้อย่างลึกซึ้ง