เป็นกระบวนการซึ่งนำอากาศเข้าหรือออกจากปอด สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน ก็เพราะต้องการนำออกซิเจนไป เพื่อปลดปล่อยพลังงานผ่านการหายใจระดับเซลล์ในรูปเมแทบอลิซึม โมเลกุลพลังงานสูง เช่น กลูโคส การหายใจเป็นเพียงกระบวนการเดียว ซึ่งส่งออกซิเจนไปยังที่ที่ต้องการในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก อีกกระบวนการหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของเลือดโดยระบบไหลเวียน การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นในถุงลมปอด โดยการแพร่ของแก๊ส ระหว่างแก๊สในถุงลมและเลือดในหลอดเลือดฝอยปอด เมื่อแก๊สที่ละลายนี้อยู่ในเลือด หัวใจจะปั๊มเลือดให้ไหลไปทั่วร่างกาย
กลไกการหายใจ
อากาศเมื่อผ่านเข้าสู่รูจมูกแล้วก็จะเข้าสู่โพรงจมูก ที่โพรงจมูกจะมีขนเส้นเล็ก ๆ และต่อมน้ำมัน ที่ช่วยในการกรองและจับฝุ่นละอองไม่ให้ผ่านลงสู่ปอด นอกจากนี้ที่โพรงจมูกยังมีเยื่อบุจมูกหนา ที่ช่วยให้อากาศที่เข้ามามีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น และเนื่องจากเส้นเลือดจำนวนมากที่อยู่ใต้เยื่อบุผิวของโพรงจมูก ปรับอุณหภูมิของอากาศให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกายก่อนผ่านเข้าปอด
ผลของการมีออกซิเจนในร่างกายต่ำ
หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ หรือภาวะที่ทำหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การหายใจทางปากเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนต่ำเมื่อออกซิเจนในเลือดต่ำ ร่างกายจะพยายามปรับสมดุลในตัวเองเพื่อรักษาระดับออกซิเจนไม่ให้ตกโดยการหายใจเร็วขึ้น แรงขึ้น หัวใจก็จะพยายามสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น
หากยังไม่สามารถรักษาระดับออกซิเจนในเลือดไว้ได้ก็จะส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายเริ่มทำงานผิดปกติ นำไปสู่ภาวะการเกิดของเสียในเซลล์มากขึ้น จนในที่สุดเซลล์จะสูญเสียหน้าที่การทำงานไป นั่นหมายถึงระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลวนั่นเอง รวมทั้งยังมีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ได้แก่
1.ทางด้านอารมณ์
– ในผู้ใหญ่ ส่งผลให้เครียดบ่อย หงุดหงิดง่าย ความจำลดลง ไม่สดชื่น ซึมเศร้า
– ในเด็ก จะทำให้อยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น ความจำไม่ดี มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือซุกซนมากกว่าปกติ
2. ทางสมอง
1. โรคสมองเสื่อม การที่เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ คุณภาพการนอนหลับจึงไม่ได้ประสิทธิภาพที่ดี หลังตื่นนอนจึงมักรู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม สมองตื้อ ขี้หลงขี้ลืม และหากสะสมภาวการณ์นอนกรนนี้ไปนาน ๆ จะส่งผลให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น เสี่ยงต่อการเกิด “โรคอัลไซเมอร์” ในอนาคต
2. ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ระดับออกซิเจนน้อยกว่าปกติสมองจะมีการสั่งงานได้ไม่ดี เนื่องจากเซลล์สมองจะใช้ปริมาณออกซิเจนมากกว่า 20% ของออกซิเจนทั้งหมดในการทำงาน ดังนั้นเมื่อร่างกายมีออกซิเจนอยู่ในระดับน้อยกว่าปกติจะทำให้เซลล์สมองทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีความจำลดลง ขาดสมาธิในการเรียนและการทำงาน เรียนรู้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี และทำให้ให้ระบบภายในร่างกายทำงานผิดปกติภายใต้การสั่งงานของสมองที่ขาดประสิทธิภาพ
3. ทางสุขภาพทั่วไป
มีอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยล้า ภูมิต้านทานลดลง ติดเชื้อโรคได้ง่าย เนื่องจากออกซิเจนที่อยู่ในรูปของน้ำ เมื่อเข้าร่างกายจะดูดซึมเข้าสู่ตับ เซลล์ของตับจะได้รับออกซิเจนที่อยู่ในน้ำโดยที่เซลล์ตับจะดึงออกซิเจนมาใช้ในกระบวนการเปลี่ยนสารอาหารที่ดูดซึมเข้ามาให้เป็นพลังงานส่งให้กับร่างกาย แต่ถ้าร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เซลล์ตับไม่แข็งแรง ไม่สามารถสร้างพลังงานเพียงพอในการใช้งานของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงตามมา และตับไม่สามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการตกค้างของสารพิษที่เป็นอัตรายต่อร่างกาย
เป็นภาวะที่ผู้ป่วยหายใจเร็วมากและลึกมากกว่าปกติ ทำให้เสียความสมดุลระหว่างการหายใจเข้าออกและการหายใจออก ซึ่งมักหายใจออกมากกว่าหายใจเข้า และทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จึงเกิดการหดตัวของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่สมอง และมีการลดลงของระดับแคลเซียมในเลือดทำให้มีอาการต่าง ๆ ตามมา โดยก่อนที่จะมีอาการมักมีความเกี่ยวข้องกับภาวะวิตกกังวลหรือมีความกดดันทางจิตใจ และเป็นภาวะที่มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างไรก็ตาม อาการจะเกิดเพียงครั้งคราว และมักไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้มีสาเหตุจากทางด้านร่างกายอื่น ๆ
อาการของภาวะระบายลมหายใจเกิน
อาการของ Hyperventilation มักจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 20-30 นาที และอาการต่าง ๆ เกิดจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง โดยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- หายใจหอบเร็ว
- รู้สึกหายใจลำบาก รู้สึกว่าหายใจเท่าไหร่ก็ไม่พอ หรือต้องนั่งลงเพื่อหายใจ
- หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ ใจสั่น
- มีปัญหาในการทรงตัว รู้สึกหวิว หน้ามืดหรือเวียนศีรษะ
- มีอาการเหน็บหรือชาที่มือ เท้า หรือรอบ ๆ ปาก
- เกร็ง มือจีบ
- แน่นหน้าอก แน่นท้อง มีอาการกดเจ็บหรือปวด
- รู้สึกกังวล กระวนกระวาย หรือตึงเครียด
อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งพบได้น้อยและผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตว่าเกี่ยวข้องกับ Hyperventilation โดยมีอาการ ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- มีลมมาก เรอ ท้องอืด
- มีอาการกระตุก
- เหงื่อออก
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น มองเห็นไม่ชัด หรือเห็นเฉพาะด้านหน้า
- ไม่มีสมาธิหรือมีปัญหาเกี่ยวกับความจำ
- หมดสติชั่วคราว
สาเหตุของภาวะระบายลมหายใจเกิน
สาเหตุของ Hyperventilation ส่วนใหญ่จะเป็นผลมาจากความวิตกกังวล ความตกใจกลัว ความประหม่า หรือความเครียด และมักจะเกิดขึ้นกับโรคแพนิค โดยหากเกิดจากสาเหตุทางจิตใจหรืออารมณ์เป็นหลักอาจเรียกว่าโรคหอบจากอารมณ์ (Hyperventilation Syndrome)
นอกจากนี้ ยังเกิดจากโรคทางกายอื่น ๆ ที่พบบ่อย ได้แก่
- มีเลือดออก
- มีไข้สูง
- มีอาการเจ็บปวดรุนแรง
- มีอาการในระหว่างที่ตั้งครรภ์
- มีการติดเชื้อที่ปอด
- โรคหืด
- โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคปอด เช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary disease: COPD)
- โรคหัวใจ
- ภาวะเป็นกรดในเลือดจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
- เกิดการบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะ
- ใช้สารกระตุ้น
- ใช้ยาเกินขนาด เช่น ยาแอสไพริน เป็นต้น
- เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่มีความสูงมากกว่า 6,000 ฟุต
การวินิจฉัยภาวะระบายลมหายใจเกิน
การวินิจฉัย Hyperventilation นั้นแพทย์สามารถทราบได้ง่ายยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยมีประวัติหรืออาการเบื้องต้นดังต่อไปนี้
- ก่อนเกิดอาการอาจพบว่า ผู้ป่วยมักมีปัญหากดดันจิตใจอย่างเห็นได้ชัด เช่น ทะเลาะกับคนใกล้ชิดหรือที่ทำงาน หรือมีปัญหาการเรียน ต้องสอบ
- มีอาการหายใจหอบหรือหายใจไม่ออกในขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่เฉย ๆ
- มีอาการหายใจหอบหรือหายใจไม่ออก ร่วมกับรู้สึกหวิว และความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน (Paraesthesiae)
- มีอาการแย่เมื่อต้องออกแรงมาก
- เมื่อมีอาการทำให้รู้สึกมีความกลัวที่จะเสียชีวิต
- มีประวัติเป็นโรคแพนิคหรืออาการกลัวที่โล่ง
- เป็นโรคหืด
- สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้การหายใจติดขัด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดที่กลับมาเป็นซ้ำ หรือภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ
- เจ็บหน้าอก
- โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม (Cervical Spondylosis) หรือเส้นประสาทถูกกดทับ
- เวียนศีรษะจากไมเกรน
อาการดังกล่าว อาจคล้ายคลึงกับอาการหอบจากสาเหตุทางกายหลายประการ เช่น โรคหืด (Asthma) โรคลมชัก ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะเป็นกรดในเลือดจากเบาหวาน (Diabetic ketoacidosis) และอื่น ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลที่ถูกต้องตามสาเหตุต่อไป
การทดสอบเพื่อคัดแยกโรคหรือภาวะอื่น ๆ ได้แก่
- การตรวจวิเคราะห์ก๊าซในเลือด เพื่อตรวจสอบค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ช่วยคัดแยกโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- การทดสอบการทำงานของปอดหรือการส่งผ่านของก๊าซในปอด ช่วยแยกแยะภาวะทางปอด เช่น โรคหืด หรือโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด
- ตรวจสารเคมีในร่างกาย
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) อาจจำเป็นในกรณีที่เกิดภาวะ Hyperventilation ชนิดฉับพลัน เพื่อแยกจากโรคลมชัก
การรักษาภาวะระบายลมหายใจเกิน
การรักษา Hyperventilation มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายและทำให้การหายใจช้าลง ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
วิธีการดูแลตนเองเบื้องต้น
- การหายใจทางปากโดยทำปากจู๋
- หายใจช้า ๆ ในถุงกระดาษหรืออุ้งมือ เพื่อควบคุมการหายใจ โดยหายใจเพียง 6-12 ครั้ง อย่างช้า ๆ และเป็นธรรมชาติ แต่หากเป็นโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือมีประวัติภาวะหลอดเลือดขาและปอดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด รวมไปถึงหากมีอาการหายใจเร็ว ซึ่งอยู่ในที่สูงประมาณ 6,000 ฟุต ขึ้นไป ห้ามหายใจในถุงกระดาษ
- พยายามหายใจเข้าไปในท้องแทนที่จะใช้หน้าอก
- เมื่อหายใจเข้าแล้วให้กลั้นหายใจเอาไว้ประมาณครั้งละ 10-15 วินาที
นอกจากนั้น อาจสลับมาใช้วิธีหายใจผ่านรูจมูกและปิดปากขณะที่หายใจ โดยปิดรูจมูกและหายใจสลับกันทีละข้าง ทำซ้ำจนกว่าการหายใจจะกลับมาสู่ภาวะปกติ
สำหรับบางคนอาจพบว่าการออกกำลังกายอย่างเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะ ๆ โดยหายใจเข้าและออกผ่านจมูก สามารช่วยอาการ Hyperventilation ได้
การลดความเครียด
ผู้ป่วย Hyperventilation ที่มีสาเหตุมาจากความเครียดหรือความวิตกกังวล อาจต้องพบนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้ผู้เข้าใจและทราบวิธีรักษาภาวะนี้ ซึ่งการเรียนรู้ที่จะลดความเครียดและวิธีการหายใจที่ถูกต้องจะสามารถช่วยควบคุมภาวะดังกล่าวได้
การฝังเข็ม
การฝังเข็มเป็นการรักษาทางเลือกของแพทย์แผนจีน ซึ่งจะใช้เข็มฝังไปตามบริเวณร่างกายที่ต้องการรักษา และจากการศึกษาเบื้องต้นได้พบว่า การฝังเข็มมีส่วนช่วยลดความวิตกกังวลและลดความรุนแรงของ Hyperventilation ลงได้
นอกจากนั้น แพทย์จะให้ใช้ยารักษา โดยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งยาที่นำมาใช้รักษา Hyperventilation เช่น ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) ยาด็อกเซปิน (Doxepin) และยาพาร็อกซีทีน (Paroxetine) เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะระบายลมหายใจเกิน
ภาวะแทรกซ้อนของ Hyperventilation ได้แก่
- ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต
- พบว่ามีนัยสำคัญ ที่ Hyperventilation จะมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติหรือโรคทางจิตใจ
- ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตรวจหรือการรักษาที่วินิจฉัยผิดพลาดโดยแพทย์
- มีรายงานที่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจาก Hyperventilation แต่พบได้น้อยมาก
การป้องกันภาวะระบายลมหายใจเกิน
การป้องกันและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิด Hyperventilation ได้แก่
- พยายามหายใจทางจมูก เพราะภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ยากในขณะที่ปากกำลังปิดอยู่ และเมื่อหายใจทางจมูกก็จะทำให้อากาศเข้าและออกได้น้อยกว่า
- คลายเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกายให้หลวม เช่น เข็มขัดที่รัดแน่น เสื้อชั้นใน หรือกางเกงรัดรูป เพราะจะทำให้หายใจลำบากหรือหายใจตื้น
- ศึกษาวิธีการหายใจด้วยท้อง และฝึกเวลาที่ไม่มีอาการ เมื่อเกิดอาการก็สามารถนำมาใช้ช่วยบรรเทาอาการได้ ซึ่งผู้ที่เป็น Hyperventilation มักจะมีอาการหายใจตื้นหรือหายใจเข้าเพียงช่วงอกส่วนบนเท่านั้น
- พยายามหาวิธีผ่อนคลายและจัดการกับความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะหรือได้ผลกับตนเอง
- พูดคุยปรึกษากับเพื่อน คนในครอบครัว หรือผู้ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล รวมไปถึงจดบันทึกประจำวันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไขปัญหานั้น ๆ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ลดการดื่มการแฟ ชาและโซดา และไม่ควรรับประทานช็อคโกแลตมากเกินไป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เน้นการออกกำลังกายที่ช่วยในการหายใจ ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลที่อาจนำไปสู่ Hyperventilation
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในเวลากลางวันได้