สวัสดีค่าาา ไหนใครดูซีรีส์แล้วเห็นที่คิม โกอึน จากเรื่อง The King: Eternal Monach และอีซมในเรื่อง Taxi Driver หยิบแท่งอะไรมาทาหน้าแล้วสงสัยกันบ้างไหมว่ามันคืออะไรกันน้า ทำไมเค้าเอาลิปสติกมาทาหน้ากัน?
จริงๆแล้ว มันคือนี่เลยยยย
✨KAHI Wringkle Bounce Multi Balm ✨
เค้าเป็นบาล์มอเนกประสงค์ ที่เน้นให้ความชุ่มชื่นให้กับผิวค่ะ
สามารถทาได้ทั้งผิวหน้าและปากเลย เวลาที่ออกมาข้างนอก แทนที่เราจะใช้เป็นหลอดแบบโลชั่นมาทาก็ไม่สะดวกใช้ไหมคะ กว่าจะบีบหยดใส่มือและทา แต่อันนี้เค้ามาในรูปแบบแท่ง เปิดฝาปุ๊บ ทาปั๊บ ง่ายๆเลย
💄สำหรับเนื้อ เค้าจะเป็นเนื้อบาล์ม แต่ไม่หนักหน้า ให้ความรู้สึกสบายผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาวแบบสุขภาพดี คือมันดีมากกกก
🇹🇭สำหรับสาวไทยอาจจะมองว่าแดดไทยก็ทำให้ผิวฉ่ำ(จนเยิ้ม)อยู่แล้วจะต้องการสิ่งนี้ไปทำไม จูนขอบอกเลยค่ะว่า เวลาทาเค้าจะดูสุขภาพดีแบบผิวฉ่ำน้ำ ต่างกับหน้าเมือกเด้อ 😂😂😂
🌞และสำคัญมากๆเลยเพราะเมืองไทยแดดร้อน เวลาที่ตากแดด ผิวจะแห้งกร้านโดยที่เราไม่รู้ตัว เราใช้บาล์มตัวนี้พกไปตอนที่ไปทะเล กลับมาผิวยังชุ่มชื้นไม่ไหม้แดดด้วย หรือใช้เป็น after sun ได้เลย ปลื้มสุดเลยค่า😭(ทั้งนี้ใช้ร่วมกับกันแดดน้า ตัวนี้ใช้แทนกันแดดไม่ได้จ้า)
👍🏻PROS:
•พกพาง่าย
•ใช้งานได้หลากหลายทั้งผิวหน้า ลำคอและริมฝีปาก
•เนื้อไม่หนักหนา ซึมไว สบายผิว
•ชุ่มชื้นยาวนาน
👎🏻CONS:
•อาจรู้สึกสกปรกเวลาทาทับเครื่องสำอางค์หรือโดนเหงื่อ แนะนำให้ทำความสะอาดตัวบาล์มทุกวัน
•น้องมีความหนึบหลังทาใหม่ๆ ผมชอบไปติด😂
❤️🔥รวมๆให้ 4.5/5 ค่า
พิกัด: จริงๆเพื่อนเกาหลีหิ้วมาให้ แต่ชอปปี้มีขายจ้า กดตรงนี้เพื่อเปิดในชอปปี้
ราคา: 899 บาท
#รีวิวบิวตี้ #แพงแต่ยอมจ่าย
Lemon8สายเกา #รีวิวบิวตี้กับlemon8 #ใช้แล้วชอบ #ใช้จริงรีวิวจริง #ก่อนเสียเงินมาLemon8
multibalm
Kahi
KAHIMULTIBALM #คิมโกอึน #เรื่องผิวผิว #สกินแคร์ #เกาหลี
คอหนังแฟนตาซีตั้งตารอคอยภาพยนตร์จากค่ายดิสนีย์ ที่ดัดแปลงจากหนังสืออ่านประกอบของ Madeleine L’Engle ที่ตีพิมพ์ในปี 1962 อย่าง A Wrinkle in Time ที่จะพาทุกท่านไปสัมผัสผลงานสุดล้ำจินตนาการ
A Wrinkle in Time หรือ ย่นเวลาทะลุมิติ ภาพยนตร์แฟนตาซีกึ่งไซไฟ ว่าด้วยเรื่องราวของ เม็ก เมอร์รี ลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์ ดร. อเล็กซ์ เมอร์รี เธอเดินทางข้ามมิติกาลเวลาพร้อมกับน้องชายชาร์ลส วอลเลส และแคลวิน เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อตามหาพ่อของเธอที่ติดอยู่ในห้วงเวลาในจักรวาล และปกป้องโลกไม่ให้ถูกห้วงเวลาอันมืดมิดที่พยายามทำลายล้างโลก ด้วยความช่วยเหลือจาก 3 เทพีผู้ทรงอิทธิฤทธิ์
นี่ถือเป็นภาพยนตร์พลังหญิงที่ถูกจับตามอง ตั้งแต่ผู้กำกับหญิง เอวา ดูเวอร์เนย์ ที่เคยฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Selma พร้อมกับนักแสดงมากฝีมือ อย่าง รีส วิทเทอร์สปูน, มินดี คาลลิง, โอปรา วินฟรีย์ มารับบท 3 เทพีผู้ทรงพลัง คริส ไพน์ รับบทคุณพ่อนักวิทยาศาสตร์ที่ติดอยู่ในห้วงจักรวาล และนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ สตอร์ม รี้ด รับบท เม็ก สาวน้อยมหัศจรรย์ในลุคสาวแว่นแสนจืดชืด
Wrinkle in time
ในช่วงแรกภาพยนตร์ดำเนินไปอย่างเรียบๆ กับชีวิตของเม็กและน้องชายที่ต้องถูกเพื่อนๆรังแกและล้อเลียน ก่อนจะเข้าสู่การผจญภัยอันน่าตื่นตาตื่นใจกับตัวละครแฟนตาซีกึ่งไซไฟ ซึ่งดูคับคล้ายคับคลากับภาพยนตร์หลายๆเรื่องของดิสนีย์อยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้สร้างความตื่นเต้นได้มากนัก
ขอชื่นชมความสามารถของหนูน้อยสตอร์ม รี้ด เรียกได้ว่า แบกหนังทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าทำได้มีสเน่ห์ น่ารัก น่าสงสาร และเป็นคนจริงพึ่งพิงได้ตลอดทั้งเรื่อง ส่วนเดเร็ก แม็คเคบ ผู้รับบทน้องชายผู้ฉลาดเป็นกรด และเลวี่ มิลเลอร์ ผู้รับบทแคลวิน ก็แสดงบทบาทได้ดี ขณะที่นักแสดงฝั่งผู้ใหญ่ โอปราถูกคาดหวังอย่างมากว่าจะรับซีนเด่นในเรื่องนี้ กลับกลายเป็นรีส วิทเทอร์สปูน ที่เล่นได้มีมิติอย่างน่าเอ็นดู
สิ่งที่ได้จากการชมภาพยนตร์นี้ คือการแฝงแง่คิดคำคมไปตลอดทั้งเรื่อง การสะท้อนมุมมองของผู้คนที่จมอยู่ในความทุกข์ ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี การอยากเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ที่เด่นชัดที่สุดก็คงเป็นความรักความผูกพันของครอบครัว โดยเฉพาะสองพี่น้องตัวเอกของเรื่องที่ดูอบอุ่นและชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน ปีนี้มีหนังสือที่ดัดแปลงเป็นหนังเพียบมาก แต่ละเรื่องดังๆ ทั้งนั้น สำหรับเดือนนี้นอกจากหนังรักเพศเดียวกันอย่าง Love, Simon ก็คงหนีไม่พ้นหนังไซไฟแฟนตาซี “A Wrinkle in Time” หรือ “ย่นเวลาทะลุมิติ” ที่ค่ายดิสนีย์ขอส่งตัวแม่อย่าง “โอปราห์ วินฟรีย์” เข้าประกวดเป็นนักแสดงนำ
จากนิยายคลาสสิกของเจ้าแม่นิยายไซไฟ – แฟนตาซีระดับโลก “มาเดลีน แลงเกิล (Madeleine L'Engle)” สู่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ A Wrinkle in Time เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงอัจฉริยะกับภารกิจข้ามจักรวาลของเธอเพื่อช่วยพ่อของเธอ ไหนๆ หนังก็เข้าโรงเดือนนี้แล้ว วันนี้พี่น้ำผึ้งเลยชวนน้องๆ มาดู “7 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนดู A Wrinkle in Time ย่นเวลาทะลุมิติ” ค่ะ
ก่อนที่ A Wrinkle in Time จะได้ตีพิมพ์ แลงเกิลเกือบเทมันแล้ว
เหมือนกับนักเขียนคนอื่นทั่วไป มาเดลีน แลงเกิลเองก็เคยมีช่วงเวลาที่อยากหยุดเขียนนิยาย เททิ้งให้มันจบๆ ไป ในตอนนั้นครอบครัวของเธอบังเอิญประสบปัญหาด้านการเงิน แลงเกิลไม่สามารถหาเงินมาช่วยสามีผู้เป็นนักแสดงของเธออย่าง ฮิวจ์ แฟรงคลินเพื่อเลี้ยงลูกๆ ได้ ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีก บอกเลยว่าเธอเครียดและกดดันมาก
จนในที่สุดหลังจากที่เธอได้รับจดหมายปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ในวันคล้ายวันเกิดครบรอบอายุ 40 ปีของเธอในปี 1958 มาเดลีน แลงเกิลตัดสินใจหยุดเขียนนิยายและเดินหน้าหางานทำที่เป็นหลักแหล่งอย่างจริงจัง ให้ทายว่าเธอทำได้มั้ย?
คำตอบก็คือไม่ แลงเกิลพบว่าตัวเองไม่สามารถหยุดเขียนนิยายได้ เลือดนักเขียนมันแล่นอยู่ในตัวเธอตลอดเวลา ตอนนั้นแหละเธอแลงเกิลจึงกลับมาเขียน A Wrinkle in Time อีกครั้งและเขียนจบในปี 1960 ก่อนสุดท้ายจะได้ตีพิมพ์ในปี 1962 แถมยังคว้ารางวัล Newberry Medal ในปีถัดมาอีกด้วย
ในปี 2012 หนังสือเล่มนี้มีอายุครบรอบ 50 ปี น้องๆ รู้มั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้น? เราพบว่า A Wrinkle in Time มียอดขายมากกว่า 10 ล้านเล่มทั่วโลก ดีงามไปอีก ลองคิดดูว่าถ้าเธอหยุดเขียนไป มันคงไม่มีวันนี้แน่นอน!
เป็นหนังสือที่นกมาเยอะ เพราะหาแนวลงตัวไม่ได้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ A Wrinkle in Time ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธถึง 26 ครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเป็นนิยายสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ บางสำนักพิมพ์ก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “นี่เป็นนิยายไซไฟ – แฟนตาซีที่ซับซ้อนเกินกว่าเด็กๆ จะเข้าใจได้” บางที่ก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลทางศาสนา กลัวว่าจะเกิดปัญหากับชาวคริสต์บ้างอะไรบ้าง ก็ว่ากันไป แต่โชคยังดีเพราะมีอีกหนึ่งสำนักพิมพ์ที่เข้าใจและมองเห็นส่วนดีที่แฝงอยู่ภายในหนังสือเล่มนี้
ทีรอน เรนส์ เอเย่นต์ของแลงเกิลบอกกับสำนักข่าว The New Yorker ถึงเหตุผลที่จอห์น ฟาร์ราต้องการตีพิมพ์ A Wrinkle in Time ว่า มันเป็นเพราะฟาร์ราเป็นคนเคร่งศาสนาและชอบไปโบสถ์ ประเด็นของศาสนาที่ปรากฏในหนังสือนั้นน่าสนใจและมีแง่คิด ฟาร์ราชื่นชมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นอะไรที่ “ฉลาด” มาก
A Wrinkle in Time เป็นหนังสือที่จะพาเราไปรู้จักโลกของฟิสิกส์และทำให้เราตกหลุมรักปรัชญาที่แฝงอยู่ในเรื่อง แลงเกิลคิดว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณและควอนตัมฟิสิกส์ไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่ซ้อนทับกัน หนังสือของเธอเล่มนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและอวกาศที่ห่างไกล แถมยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
หนังสือเล่มนี้ ส่งคนไปอวกาศจริงๆ
ในฤดูร้อนของปี 1966 เจนิซ โวสส์ (Janice E. Voss) นักเรียนเกรดหกจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในอเมริกาได้หยิบหนังสือ A Wrinkle in Time มาอ่าน การเดินทางข้ามเวลาและท่องเที่ยวไปในอวกาศที่เกิดขึ้นในเรื่องทำให้เจนิซ โวสส์กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักบินอวกาศของ NASA ในเวลาต่อมา
หลังจากที่มาเดลีน แลงเกิลรู้เรื่องของเจนิซ โวสส์ เธอได้ส่งนิยายเรื่องนี้ไปให้โวสส์ก่อนที่เธอจะขึ้นไปทำภารกิจใหม่ในอวกาศ ต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 โวสส์ได้ขึ้นไปในอวกาศเป็นครั้งที่ 4 เวลานั้นเธอได้นำหนังสือเล่มโปรดติดตัวขึ้นไปด้วย ขณะที่โวสส์กำลังอยู่ในวงโคจรของโลกบนกระสวยอวกาศโคลัมเบีย เธอได้อ่าน A Wrinkle in Time อย่างมีความสุข การได้อ่านหนังสือเล่มโปรดที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราในที่ๆ มันเป็นของเราคงจะเป็นอะไรที่ดีไม่น้อยเลยนะคะ ว่ามั้ย?
ซีรี่ส์ชุดนี้สอดคล้องกับวันสิ้นโลกในไบเบิล
A Wrinkle in Time เป็นหนึ่งในหนังสือชุด “Time Quintet” ที่มาเดลีน แลงเกิลเขียนขึ้นมา มันคือซีรี่ส์ที่พูดถึงเรื่องราวของครอบครัวเมอร์รี่กับภารกิจกอบกู้โลก ในหนังสือเล่ม “Many Waters” ลูกๆ ของครอบครัวเมอร์รี่พบว่าตนเองเกี่ยวข้องกับโนอาห์และครอบครัวของเขาในช่วงวันน้ำท่วมโลก
ในหนังสือมีฉากที่ฑูตสวรรค์พยายามช่วยเด็กๆ ขณะที่เนฟิลิมลึกลับที่ปรากฏใน Genesis 6:4 ของพระคัมภีร์นั้นรับบทเป็นตัวร้าย อีกทั้งชื่อเรื่องยังมาจากเพลงซาโลมอน 8:7 ที่ว่า "Many waters cannot quench love, neither can the floods drown it. If a man were to give all his wealth for love, it would be utterly scorned." ด้วยค่ะ
แลงเกิลเขียนคำนำให้หนังสือของ C.S. Lewis
แลงเกิลอ่านหนังสือของลูอิส และหนังสือของพวกเขามักถูกนำมาเปรียบเทียบ เนื่องจากภายใต้เรื่องราวสุดแฟนตาซี มันมีเรื่องของศาสนาเป็นองค์ประกอบด้วย แม้ทั้งคู่จะมีความขัดแย้งกันในเรื่องศาสนา แต่แลงเกิลก็ไปเข้าร่วมการประชุมของลูอิสที่อ๊อกซ์ฟอร์ดหลังจากที่เธอกลายเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นในหนังสือเล่มใหม่ของลูอิสอย่างเรื่อง “A Grief Observed” ที่ได้ตีพิมพ์ในปี 1989 แลงเกิลนี่แหละก็เป็นคนเขียนคำนำให้ งานเขียนชิ้นนี้เป็นเรื่องราวการต่อสู้กับหายนะของลูอิสที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสูญเสียภรรยาเพราะโรคมะเร็ง ซึ่งมันสะท้อนกับชีวิตของแลงเกิล เธอเองก็เศร้าโศกหลังจากสามีของเธอเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
เมื่อถามถึงการเปรียบเทียบระหว่างผลงานของเธอกับลูอิส แลงเกิลบอกสำนักข่าว Scholastic ว่า “ฉันคิดว่าข้อแตกต่างหลักๆ คือ ซี.เอส.ลูอิสมีคำตอบมากมายและฉันก็มีคำถามมากมาย”
เป็นหนังสือที่ถูกแบนมาก่อน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นอกจากจะถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธถึง 26 ครั้งแล้ว A Wrinkle in Time ยังเป็นหนังสือที่เคยถูกแบนด้วยค่ะ! อย่าว่าแต่เคยถูกแบนเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังมีหลายคนแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมน่ะเหรอ? มาๆ จะเม้าธ์ให้ฟัง
นวนิยายเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่น่าอัศจรรย์มากมาย ตั้งแต่ความเป็นฟิสิกส์ควอนตัมไปจนถึงความลึกลับของสามสาว "Mrs. W" มันเลยทำให้หนังสือเล่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคริสเตียนหัวโบราณซึ่งมักตามหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเวทมนตร์มาสอนในโรงเรียน
อีกทั้งคริสเตียนหัวโบราณยังวิพากษ์วิจารณ์ภาพลักษณ์ของแลงเกิลที่มีต่อศาสนา โดยเฉพาะการอ้างว่าพระเยซูไม่ได้เป็นบุคคลสูงสุด กล่าวคือในตอนกลางของหนังสือ มีการเปรียบเทียบพระเยซูกับพระพุทธเจ้า ไอน์สไตน์ คานธีและดาวิซี กลุ่มเคร่งศาสนาจึงโจมตีว่านิยายเรื่องนี้คือบ่อนทำลายความเชื่อทางศาสนา นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมหลายคนถึงแบนหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนชื่นชอบ A Wrinkle in Time มากมาย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนิยายสุดคลาสสิกเล่มนี้ถึงเป็นนิยายไซไฟ-แฟนตาซียอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 20 ค่ะ
ภาพยนตร์ A Wrinkle in Time เกิดขึ้นเพราะเด็กผู้หญิงเกรด 5 คนหนึ่ง
ที่ LA ในปี 1963 แคทเธอรีน แฮนด์ นักเรียนเกรดห้าถูกลงโทษด้วยการส่งตัวไปยังห้องสมุดเนื่องจากเธอพูดมากเกินไป ที่นั่นเอง เธอได้พบกับหนังสือ A Wrinkle in Time และตกหลุมรักไปกับความน่าตื่นเต้นของนิยายเล่มนี้ เธอเขียนจดหมายถึงผู้ชายคนหนึ่งที่คิดว่าเขาสามารถช่วยสานฝันให้หนังสือเล่มนี้เป็นจริงได้ เขาคนนั้นคือ “วอลต์ ดิสนี่ย์” แต่น่าเศร้า แฮนด์ไม่กล้าส่งจดหมายนั้นไปหาเขา แถมสามปีต่อมาดิสนี่ย์ก็เสียชีวิตลง
เมื่อแฮนด์ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในวงการฮอลลีวูด เธอได้นำหนังสือเล่มมาปรับเปลี่ยนก่อนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ รวมทั้งยังได้พบกับแลงเกิลที่คอยช่วยเธอในด้านลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ พวกเขายังคงปรับบทหนังจนกระทั่งแฮนด์กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ผลิตโทรทัศน์ในปี 2003
น่าเศร้าสำหรับแฮนด์และแลงเกิลที่ในตอนนั้น A Wrinkle in Time ยังเป็นแค่ละครทีวี จนกระทั่งแฮนด์ไล่ตามความฝันของตัวเองไม่หยุดหย่อน ในที่สุดเธอก็สามารถทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ขึ้นมา เพราะในตอนนี้ 54 ปีหลังจากที่แคทเธอรีน แฮนด์อ่านหนังสือ A Wrinkle in Time เธอได้ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ A Wrinkle in Time ของดิสนีย์
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ A Wrinkle in Time ที่พี่นำมาฝากในวันนี้ สำหรับพี่น้ำผึ้ง พี่คิดว่า A Wrinkle in Time เป็นหนังสือที่ค่อนข้างเฟมินิสต์ในระดับหนึ่ง กล่าวคือในยุคนั้น (ช่วง 60) ตัวเอกของนิยายไซไฟ – แฟนตาซีมักเป็นผู้ชาย ยากนักที่จะเจอผู้หญิง แต่ว่าแลงเกิลคิดต่าง เธอให้เด็กหญิงเม็กเป็นตัวเอกของเรื่อง ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนเป็นการปูทางเลยนะคะ เพราะเดี๋ยวนี้นิยาย