Lady gaga a star is born ม เสน ห มาก

-ทีมอ่านเรื่องย่อ+ดูตัวอย่างแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีความว้อนอยากดูอะไรขนาดนั้น พอได้มาดูจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งที่ดีและต่างไปจากที่คาดไว้ แต่ภาพรวมก็ยังคิดว่าไม่น่าถึงขึ้นออสก้าร์ภาพยนต์ยอดเยี่ยมขนาดนั้นอ่ะ ขอโทษนะคะเฮียแบรดลี่ย์5555555

-ตอนแรกคิดว่าไม่ใช่แค่เราที่คาดหวังว่าหนังจะออกมาในแนวทางหนังเพลงอย่างพวก once, begin again หรือ La La Land อะไรแบบนี้ แต่ไม่เลยคุณ นี่คือหนังดราม่าจริงแท้แน่นอนที่มีดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของหนังเท่านั้น ออกมาเป็นแนวสารคดีให้เห็นถึงการโคจรมาพบเจอกันของแอลลี่ นักร้องสาวในบาร์เกย์และ แจ็ค นักร้องซุปเปอร์สตาร์คนดัง ทั้งคู่ได้รักกัน แจ็คจึงพาแอลลี่ออกทัวร์คอนเสิร์ตจนเธอดังเปรี้ยงปร้าง ในขณะที่ตัวเขาซึ่งติดเหล้าจนทำให้ความสามารถทางการได้ยินค่อยๆถดถอยลงจนถึงจุดที่ตกต่ำมากๆในชีวิต

-ชอบที่ช่วงแรกๆหนังพาเราไปทำความรู้จักกับความรักในเสียงเพลงของคนทั้งคู่ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างโคตรแรแมนติกอ่ะพูดเลย บทเพลงมันเป็นตัวขับเคลื่อนพลังงานและเป็นการเชื่อมสัมพันธ์บางอย่างที่ทำให้เชื่อว่าคนสองคนนี้เขารักกันจริงๆ แล้วหนังก็ค่อยๆพาเราไปพบเจอกับความสั่นคลอน ปัญหาต่างๆ แต่ภายใต้ตรงนั้นอ่ะ เราก็ยังมองเห็นถึงความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน รู้สึกว่ามันเป็นอารมณ์ที่วิเศษมากๆ คือถึงแม้เส้นเรื่องมันจะเครียดหรือสถานการณ์มันจะย่ำแย่แค่ไหนแต่เรายังมองเห็นความรักอยู่ในตัวทั้งสองคนจริงๆอ่ะ อัศจรรย์ป่ะ55555

-ขอชื่นชม Bradley Cooper ของน้องก่อน55555 เรียกได้ว่านี่เป็นหนังที่ยืนยันความเป็นนักแสดง (นักร้องด้วยได้มั้ย เรื่องนี้คือโคตรร๊อคสตาร์อ่ะหวีดดดด) และผู้กำกับที่สุดยอดของเฮียออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมจริงๆ ชอบวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวออกมา อย่างที่บอกว่าออกแนวสารคดีหน่อยๆ ภาพก็จะมีการโคลสอัพบางส่วนแต่มันทำให้เราเห็นอารมณ์และสิ่งที่นักแสดงถ่ายทอดออกมา ชอบการแสดงของแจ็คและแอลลี่ในเรื่องนี้มากๆ Bradley Cooper สามารถถ่ายทอดความรักออกมาผ่านทางสายตา เป็นผู้ชายเท่ๆถ่อยๆติดเหล้าเมายาชีวิตเริ่มเหลวแหลกที่ดูรักภรรเมียที่สุดแล้วมั้งเนี่ย55555 ส่วนเลดี้ กาก้ากับภาพยนต์ใหญ่เรื่องแรกก็นับว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว

-ระหว่างทางหนังเนือยจริง มีบางซีนที่เกือบหลับเหมือนกันแต่พอมาผูกมาถึงฉากจบปุ๊บคือโอเค ตื่นเลย ชอบที่หนังเล่าให้เห็นถึงความcontrastของสถานการณ์ของคนทั้งคู่ สิ่งที่มีพลังมากที่สุดในหนังนอกจากซีนร้องเพลง Shallow ของทั้งคู่แล้วก็คงเป็นซีนร้องเพลงตอนจบนี่แหละ ซีนกาก้าร้องว่าเด็ดแล้วแต่ซีนคูเปอร์ร้องนี่คือ น้องตายค่ะคุณ เป็นการตัดจบที่ทั้งจุกทั้งเจ็บระบมช้ำชอกยันทรวงในขัดกับอารมณ์วี๊ดว๊ายตอนเปิดเรื่องจริงๆ555555 แล้วพอตัดจบคือเห็นคำว่า Direct by Bradley Cooper ใช่ป่ะ คืออยากจะลุกขึ้นมาปรบมือให้ตรงนั้น

-ตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมาหนังทำให้เรารู้จักและผูกพันกับความรักของคนทั้งคู่ที่เชื่อมกันด้วยการร้อยเรียงท่วงทำนองเพลง จนเริ่มเห็นความสั่นคลอนในชีวิตคู่ที่ดึงมาให้ถึงตอนจบที่จุกและเจ็บ เพลง i’ll never love again เป็นซีนจบที่ยอดเยี่ยมและเจ็บปวดมากๆในคราเดียวกัน

-ถึงแม้จะชมกันมาหลายย่อหน้าขนาดนี้แต่จุดที่ไม่ชอบคือบางอย่างเรายังไม่ได้รู้สึกอินหรือรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลขนาดนั้น มันทำให้ช่วงกลางๆเรื่องนอกจากจะเนือยแล้วยังรู้สึกพล็อตมันโหวงๆ งงๆ ยอมรับว่าตอนจบชอบจริงๆ แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดฉากจบแบบนั้นเรายังไม่อินเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเพลงคือเพราะจริง แต่จะโดนด่ามั้ยถ้าจะบอกว่ามันไม่ได้ว้าวแล้วก็ติดหูขนาดนั้น ถึงแม้จะไม่ควรแต่ก็อดเอามาเทียบกับหนังเพลงที่เรายกตัวอย่างไปตอนต้นไม่ได้จริงๆ ว่าหนังพวกนั้นยังมีเพลงที่ติดหูกว่าเยอะมากๆ แต่รวมไป แล้วก็ชอบอยู่ดีอ่ะแหละะ แค่คิดว่าต้องใช้ความตั้งใจดูนิสนึง ทีมไม่ชอบหนังเนือยๆช้าๆคงมีหลับกันไปบ้าง

A Star Is Born เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกดราม่าชิ้นโบว์แดงซึ่งเข้าชิงรางวัลใหญ่ ๆ มาทุกเวอร์ชั่น ครั้งนี้ได้ถูกนำมาทำซ้ำเป็นครั้งที่ 4 โดยมี Bradley Cooper เป็นผู้กำกับและเล่นบทนำด้วยคู่กับ Lady Gagaโดยการตีความเรื่องราวใหม่ทั้งหมด

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การแสดงและบทประพันธ์ แต่รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำออกมาให้อารมณ์แห่งความรักของนักแสดงทั้งสอง ความพิเศษของเพลงประกอบหนังไม่ใช่แค่ตัวละครเอกของเรื่องทั้งสองเป็นคนแต่งและร้องเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการอัดเพลงกันสด ๆ ร้องกันสด ๆ ในเรื่องไม่มีการลิปซิงก์เลย ซึ่งนี่เป็นไอเดียของ Lady Gaga ที่อยากให้หนังมีความสมจริง เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์ตัวละครที่สุด

สำหรับ Bradley Cooper นั้น ต้องยอมรับเลยว่าเขาทุ่มเทกับผลงานชิ้นนี้ของเขาจริง ๆ เพราะเขาต้องฝึกซ้อมร้องเพลงและเล่นดนตรีกับ Lukas Nelsonจากวงคันทรีร็อคPromise of the Realแรมเดือนเพื่อจะให้เพลงออกมาสมบูรณ์แบบและเข้าถึงบทแจ็คสันที่สุด นั่นทำให้เขาใช้เวลาร่วมกับ Nelson จนตัวแทบจะติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยทีเดียว และผลผลิตที่ได้คือ เราจะได้ยินเสียงทุ่มแหบนุ่มลึก ฟังแล้วดูอบอุ่นจากแบรดลีย์ ซึ่งทำให้ soundtrack ชุดนี้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก

Black Eyes

ในภาพยนตร์ เพลงนี้เป็นเพลงเปิดตัวของหนังเลยก็ว่าได้ เป็นฉากที่ “แจ็คสัน” พระเอกของเราได้โชว์ของเป็นครั้งแรก ในแว๊บแรกของเราต้องบอกเลยว่าทึ่งในความสามารถของ Bradley Cooper มาก ถ้าไม่บอกคงคิดว่าเขาเป็นนักดนตรีมาตั้งแต่เกิดแน่ ๆ เพลงนี้เป็นกลิ่นอายของร็อคแอนด์โรล เสียงแหบทุ้มต่ำของแบรดลีย์ ทำให้เพลงแนวคันทรีร็อคเพลงนี้ดูมีมนต์เสน่ห์มากๆ เสียงเกากีตาร์ตอนฟังรู้สึกก็ว่าเท่แล้ว ไปดูในโรงภาพยนตร์ ยิ่งเท่เข้าไปอีก ซึ่งตัวBradley และ Lukas Nelsonเป็นคนแต่งเพลงนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ฟังแล้วก้รู้สึกว่า Bradley ก็มีพรสวรรค์ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย

Somewhere Over theRainbow (Dialouge)

เพลงนี้เป็นฉากเปิดตัวของAlly ซึ่ง Lady Gagaก็ทำให้เราขนลุกตั้งแต่ท่อนแรกแล้ว แน่นอนพวกเราต่างหมดข้อกังขาเกี่ยวกับความสามารถด้านการแต่งเพลงและการร้องของ Lady Gaga เพราะเธอได้พิสูจน์ฝีมือของเธอในหลาย ๆ เวที เช่น Sound of Music บนเวทีออสการ์ หรือแม้แต่โชว์ SuperBowlครั้งที่ 51ที่เธอโชว์เพลงฮิตทั้งหมด 13นาทีเต็ม เพลงนี้ไม่มีดนตรีประกอบ มีแค่เสียงเธอฮัมเท่านั้น แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะส่งให้เกิด First Impression แล้ว

La Vie en rose

ต้องบอกว่าจริง ๆ เพลงนี้มีความเป็นมา เพราะว่าการตัดสินใจเลือก Lady Gaga มารับบท Ally ในภาพยนตร์ A Star Is Bornของ Bradley Cooper เกิดจากการที่เขาได้ฟัง Lady Gaga ร้องเพลงนี้สด ๆ ในบ้านของ Sean Parkerซึ่งทำให้เขาตกหลุมรักในเสียงของ Lady Gaga และเลือกเอาเพลงนี้มาใส่ในฉากที่แจ็คสันพบรัก Ally ในบาร์ของ Drag Queen เพลงนี้เป็นเพลง Jazz ของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากเพลงหนึ่งของ เอดิต ปียัฟ (Édith Piaf) ซึ่งต้องบอกเลยว่าในภาพยนตร์จะเห็นความสามารถการใช้พลังเสียงของกาก้า และเห็นการเล่นกับคนดูของเธอที่ทำให้แจ็คสันต้องมนต์เลยทีเดียว ความเป็นเพลงทำนองช้าแต่ให้ความรู้สึกโรแมนติก ปนเซ็กซี่นิด ๆ จึงค่อนข้างสร้างความรู้สึกว้าวให้กับคนที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอร้องเพลงแนวแจ๊สได้ด้วย

Maybe It’s Time

เพลงนี้ก็อยู่ในฉากร้านบาร์Drag Queen เช่นกัน จากเพลงแรกที่ได้เห็นลีลาสายร็อคเกอร์ของแจ็คสัน เราก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของ Bradley Cooperที่ร้องเพลงสไตล์คันทรีเบา ๆ สุดแสนจะอบอุ่นและโรแมนติก ซึ่งฉากนี้ในหนังเขามีเพลงกีตาร์ตัวเดียว แค่นั้นก็สามารถสะกดคนให้หยุดฟังได้แล้ว ซึ่งเพลงนี้ก็ทำให้เขาได้มีเพลงเดี่ยวติด Billboard hot 100 ในลำดับที่ 93

Parking Lot (Dialouge)

ฉากนี้เป็นฉากแรกในเรื่องที่เราจะได้ฟังเพลงTheme หลักของภาพยนตร์ A Star Is Born แอลลี่นางเอกของเรื่องได้เปิดใจกับพระเอกว่าเธอได้แต่เพลงนี้ในหัวตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของแจ็คสัน และเธอก็ร้องเพลง Shallow ออกมาให้แจ็คสันฟัง เอาจริง ๆ ขนาดยังไม่ได้ใส่ดนตรีเข้าไป ก็ทำให้เรารู้สึกขนลุกได้แล้ว ต้องยอมรับในน้ำเสียงของเธอจริง ๆ

Out of Time

เพลงนี้ไม่มีเนื้อร้อง แต่เป็นการโชว์การเล่นดนตรีวงของแจ็คสันสด ๆ บนเวที ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแจ็คสัน และสมาชิกวง Promise of the Realวงคันทรีร็อคชื่อดังที่ได้รับเชิญมาเล่นดนตรีสด ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้ยินเสียงเคาไม้ สลับกับการโซโล่เบส กีตาร์ และกลองอย่างหนักแน่น

Alibi

เมื่อเพลงเปิดตัวได้ผ่านไป ก็จะได้ฟังแจ็คสันออกมาร้องเพลงอีกครั้ง คือต้องบอกว่าน้ำเสียงในเพลงนี้ของเขาทำให้เราสงสัยว่าเมาอยู่หรือตั้งใจจะร้องแบบนั้นตั้งแต่แรก เพลงนี้ยังเป็นเพลงแนว Country Rock N’ Roll เช่นเดิม ซึ่งเพลงนี้ก็ได้ Lady Gaga และ Lukas Nelsonแต่งให้ด้วยเช่นกัน

Shallow

เพลง Theme ของเรื่องและถูกใช้โปรโมทมาโดยตลอดก็คือเพลงShallowที่ Lady Gaga เป็นคนแต่งขึ้นนั่นเอง โดยที่ได้ Mark Ronson โปรดิวเซอร์จากอัลบัม Joanne พร้อมทั้ง Anthony RossomandoและAndrew Wyatt เป็นผู้ช่วย ต้องบอกเลยว่าเพลงนี้ตอนแรกได้ฟังในเวอร์ชั่นยังไม่มีดนตรีว่าเพราะแล้ว พอมีทั้ง แจ็คสันร้องคู่กับแอลลี่ ยิ่งทำให้เพลงนี้ดูยิ่งโรแมนติกเข้าไปอีก เป็นเพลงที่ทำให้เรารู้สึกถึงเคมีที่เข้ากันของทั้งคู่ เพลงนี้ปรากฏในฉากที่แอลลี่ได้ขึ้นเวทีร้องเพลงเป็นครั้งแรกบนคอนเสิร์ตของแจ็คสัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงBradley ร้องท่อนแรกก็กรี๊ดแล้ว พอได้ยินเสียง Lady Gaga ร้องในท่อนต่อมา ยิ่งรู้สึกรักเข้าไปอีก เธอพลังล้นเหลือมากในเพลงนี้ เพราะเธอใส่ไปไม่ยั้งเลยในช่วงท้ายของเพลง นอกจากจะได้ฟังเสียงเพราะ ๆ ของทั้งคู่แล้ว ยังจะได้ซึมซับความหมายที่กินใจในเพลงที่โยงกับชีวิตของตัวละครสองตัวนี้ได้เป็นอย่างดี

และแน่นอนว่าพลังของเพลงนี้ทำให้Shallow ไต่อันดับมาเป็นอันดับที่ 5 บน Billboard Hot 100 และได้อันดับ 1 บน iTunes US และ UK ท่ามกลางกระแสเพลงแรปที่กำลังมาแรง เรียกได้ว่าหยุดไม่อยู่เลยจริง ๆ

Music to My Eyes

เพลงนี้เริ่มด้วยเสียงกีตาร์โซโล่ ตามด้วยเสียงแหบต่ำของ Bradley Cooper เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงหนัก ๆ อย่างเพลงที่ผ่านมา แต่เป็นเพลงคันทรีที่สามารถร้องคลอตามได้ง่าย ๆ มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนนั่งอยู่บนม้าโยกหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่น พอเสียง Lady Gaga ร้องขึ้นในท่อนVerse ที่ 2 เพลงนี้ยิ่งเป็นเพลงที่โรแมนติกเข้าไปอีก เป็นเพลงรักที่อบอุ่นอย่างมาก เหมาะกับการเปิดในงานแต่งนะจะว่าไปแล้ว ซึ่งเพลงนี้ Lady Gaga แต่งร่วมกับ Lukas Nelsonนั่นเอง

Diggin’ My Grave

เราจะได้กลับมาปรับอารมณ์ให้ตื่นอีกครั้งกับเพลงนี้ เริ่มต้นด้วยการโซโล่กีตาร์ของ Bradley นี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็น Allyร้องเพลง Country-Rock ในเรื่องด้วย เป็นเพลงร็อคที่ทั้งคู่ที่สู้กันขาดใจเลยทีเดียว ถ้าดูจากในภาพยนตร์จะเห็นว่านางเอกเป็นนักร้องคอรัสของพระเอกที่สามารถร้องเพลงได้หลากหลายมาก เหมือนกับ Lady Gaga ที่สามารถร้องเพลงได้ทุกแนวเลย

Always Remember Us This Way

เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่แจ็คสันพระเอกของเรื่อง ให้แอลลี่ได้ร้องเพลงคนเดียวเป็นครั้งแรกบนเวที ซึ่งในเรื่องเพลงนี้อัลลี่เป็นคนแต่งขึ้นและไม่คิดว่าจะได้ใช้ที่ไหน แต่พระเอกก็เป็นป๋าดัน ลากเธอออกมาร้องเดี่ยวจนได้ เลดี้ กาก้าได้โชว์เดี่ยวเปียโนบนเวทีเป็นครั้งแรกในเรื่องด้วย เพลงนี้เป็นเพลงที่ซึ้งกินใจอย่างมาก เพราะเป็นเพลงที่แสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ถึงคนรักอย่างสุดซึ้ง ก็ต้องยอมรับว่าเพลงช้าของ Lady Gaga มันเพราะมากจริง ๆ และเธอใส่feelingเต็มที่จนทำให้เรายิ่งรู้สึกถึงอารมณ์เพลงมากขึ้นไปอีก ยิ่งใน End Cradit ฟังเพลงนี้อีกรอบ ยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้เข้าไปอีก (เพราะอะไรนั้นไปรับชมกันเอง…ไม่ขอสปอย)

Look What I Found

เอ็มวีเพลงนี้ในช่องของLady Gaga เป็นเพลงที่ดูน่ารักมาก ๆ. เพราะพระเอกนั่งประกบนางเอกร้องเพลงนี้เลย อารมณ์อินเลิฟมันลองฟุ้งอยู่ในเพลงนี้เลยนะ ซึ่งในเรื่องเราก็จะเห็นนิสัยอย่างหนึ่งของ Lady Gaga ที่ถูกถ่ายทอดลงในเรื่องคือการเป็นSong writer ที่มักจะพกสมุดและดินสอไปด้วยทุกทีเพื่อเขียนเพลง และในเรื่องเธอก็เชว์ว่าเธอเขียนเพลงนี้ขึ้นพร้อมกับมีทำนองในหัวเรียบร้อยแล้วด้วย เพลงนี้ในเรื่องแอลลี่นางเอกของเราไม่สามารถร้องเพลงนี้ได้เลยถ้าไม่เล่นเปียโนเอง เธอจึงได้โซโลเปียโนกลางสตูดิโอพร้อมร้องเพลงไปด้วย เหมือนจะสื่อว่าเธอเกิดมาเป็น performerไม่ใช่นักร้องอัดเทป เนื้อหาเพลงนี้น่ารักเหมือนทำนอง เพราะเป็นเพลงรักที่เธอแต่งเกี่ยวกับพระเอกนั่นแหละ แบบว่าเพราะได้เจอเธอ ฉันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองได้เจอชิ้นส่วนบางอย่างที่ขาดหายไป เธอคือสิ่งที่ตามหามานานประมาณนั้น

Heal Me

เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงป็อปในชื่อของAlly (ตาม Theme ของหนังพูดถึงวงการเพลงป็อปในยุค 2008-2009โดยใช้ Ally ถ่ายทอดเรื่องราวของวงการ) ซึ่งมันก้จะต่างจากเพลงป็อปของ Lady Gaga ที่เราเคยฟังกัน เพราะเพลงนี้เป็นเพลงป็อปแบบตลาด หรือที่เรียกว่าติดหูง่าย แต่ดีเทลไม่มาก ไม่มีเทคนิคที่แพรวพราว ซึ่งนี่ก็เป็นความตั้งใจของ Lady Gaga ที่จะไม่ให้ดูเป็นตัวเธอจนเกินไป เพราะนางเอกเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ ๆ ยังไม่เชี่ยวชาญด้านดนตรี และยังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเหมือนชีวิตจริงของเธอ ฟังเพลงนี้อาจจะทำให้เราคิดถึงเพลง The Cure ของ Lady Gaga ก็เป็นได้นะ แน่นอนว่าเพลงนี้เธอได้นำโปรดิวเซอรคู่บุญอย่าง DJ White Shadow มาช่วยทำนั่นเอง

I Don’t Know What Love Is

เป็นเพลงคู่ของ Bradley กับ Gaga อีกครั้ง ขึ้นต้นด้วยโซโล่เปียโนของ Lady Gagaตามด้วยเครื่องดนตรีสไตล์บัลลาด มีเสียงเครื่องสายประกอบ ซึ่งถ้าตามฉากในเรื่องคือเพลงรักในงานแต่งของJackson กับ Ally เป็นเพลงรักเข้าโบสถ์ของทั้งคู่ ทำนองเพลงนี้ค่อนข้างเป็นกึ่งบัลลาด กึ่งคันทรี เราจะได้ยินเสียงนุ่มนวลอบอุ่นของแบรดลีย์ กับเสียงทรงพลังของกาก้า กลายเป็นเพลงรักหวาน ๆ แต่เปี่ยมด้วยพลังที่มีเนื้อหา ลึกซึ้งกินใจอีกหนึ่งเพลง ที่เพลงซึ้งได้ขนาดนี้ก็เพราะมีกาก้าและเนลสันช่วยกันแต่งอีกแล้ว

Is That Alright?

เพลงนี้เรียกได้ว่าทำให้เสียน้ำตาแล้วเสียน้ำตาอีก เพราะเราจะได้ฟังเพลงนี้ตอนที่ภาพยนตร์จบพอดี ซึ่งแค่เริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนเศร้าก็แทบจะร้องไห้แล้ว เพลงนี้เธอร้องคู่กับการเดียวเปียโนเท่านั้น ถ้าชอบเพลง Naked ของ James Arthur ก็จะต้องชอบเพลงนี้อย่างแน่นอน เธอใส่อารมณ์อย่างเต็มพลังในเพลงนี้อีกเช่นกัน ฟังแล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นเพลงที่อ้างว้างมาก เป็นความรู้สึกโหยหาคนที่รักจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งในเพลงเศร้าที่ Lady Gaga ถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้ง ฉีกจากความเป็นเธอที่คนทั่วไปรู้จักสุด ๆ

Why Did You Do That?

เพลงนี้เปลี่ยนฟิลลิงหดหู่เมื่อกี้ออกไปเลย เพราะเราจะได้ฟัง Ally ร้องเพลงป็อปใส ๆ อีกแล้ว ซึ่งก็มีกลิ่นของความเป็น The Cure อีกเช่นกัน เพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังง่ายอีกเช่นกัน ติดหูง่ายมากด้วย ฟังเพลงนี้เสร็จแล้ว Why Did You Do That, do that, do that, do that, do that to me จะก้องไปก้องมาในหูตลอดเวลาจนต้องเผลอมาฮัมเวลาอยู่คนเดียว

Hair Body Face

เป็นอีกหนึ่งในเพลงเป็อปใส ๆ สไตล์ The Cure ของ Lady Gaga อีกแล้ว รู้สึกอยากเห็น Lady Gaga เต้นเพลงนี้ยังไงไม่รู้ และแน่นอนว่าความเป็นป็อปตลาดของเพลงนี้ มันก็ต้องติดหูอีกเช่นกัน ท่อนฮุกก็จะก้องในหูไม่ต่างจากเพลงWhy Did You Do That?เลย เพลงนี้ร้องตามง่ายมาก ฟังแค่ครั้งสองครั้งก็สามารถร้องตามได้เลย ทำให้เราคิดถึงในช่วงแรก ๆ ที่ Lady Gaga เข้าวงการใหม่ ๆ ด้วย

Before I Cry

เพลงนี้เป็นเพลงที่ไม่มีในภาพยนตร์ แต่เนื้อหาเพลงก็เศร้ามากเช่นกัน ซึ่ง Theme ของเพลงนี้พูดถึงความรู้สึกแตกหักของคนรัก เหมือนเป็นเพลงที่เรียกร้องให้คนรักกลับมา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่รู้สึกว่าชอบมาก ๆ ด้วยเนื้อหาของเพลง และอารมณ์ของเพลงด้วย

Too Far Gone

เป็นอีกหนึ่งเพลงคันทรีสุดซึ้งของ Bradley ซึ่งให้ความรู้สึกชีวิตไขว้เขว เหงาและว้าแหว่ เขาเป็นคนแต่งเพลงนี้กับ Nelson เองอีกแล้ว

“I’ll Never Love Again” (extended version)

เพลงนี้มีสองเวอร์ชันที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ในเวอร์ชันภาพยนตร์เราจะได้ฟังเสียงของ Bradley Cooper ที่ยิ่งทำให้อารมณ์ของเพลงหน่วงสุดขีด เพราะอะไรนั้นจะต้องไปสัมผัสในตอนจบของเรื่องเอาเอง

แต่เนื้อหาของเพลงนี้จะทำให้เราจะรู้สึกเหมือนสูญเสียความรักไปอย่างที่ไม่มีวันได้กลับมา และไม่มีวันรักใครได้อีก Lady Gaga ได้พูดถึงเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่เธอร้องจากความรู้สึกสูญเสียจริง ๆ จากการเสีย Sonja เพื่อนสนิทด้วยโรงมะเร็งในวันที่อัด Scene นี้ เธอจึงร้องเพลงนี้ออกมาจากใจและความรู้สึกเจ็บปวดที่แท้จริง ในช่วงต้นของเพลงเราจะได้ยินเสียงหายใจและเสียงสะอื้นเบา ๆ ของ เลดี้ กาก้า จากการอัดเพลงนี้สด ๆ ตามด้วยเสียงเปียโนเศร้า ๆ และเสียงเธอมีความสั่นเครือเล็กน้อย ในภาพยนตร์เพลงนี้กลายเป็นเพลงเรียกน้ำตาให้กับคนดูทุกคน เพราะ Emotional ของเพลงนี้มาเต็มมากทั้งเนื้อหาและการร้อง และถ้าได้สังเกตสีหน้าของ Lady Gaga ในเพลงนี้จะเห็นว่าเธอตาแดงก่ำ น้ำตาเหมือนจะพรั่งพรูออกมาอยู่แล้ว ซึ่งเพลงนี้ได้รับการขนาดนามว่าเป็น I Will Always Love You ของ Lady Gaga ซึ่งเป็น Masterpiece ของเธออย่างแท้จริง

I’ll Never Love Again (film version)

ในเวอร์ชันที่มีBradley Cooper คือเราจะต้องสะอื้นอย่างหนักจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเขาสองคน แม้ว่าอารมณ์เพลงจากBradley ในเรื่องจะเป็นในรูปแบบเพลงรักหวานซึ้งมากกว่าเป็นเพลงเรียกน้ำตา จนมีหลายคอนเมนท์บอกว่าอยากฟังเพลงนี้ในเวอร์ชัน Bradley Cooper บ้างเลยทีเดียว

เป็นยังไงบ้างคะกับรีวิวเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าอยากจะฟังเพลงในเวอร์ชั่นที่เสียงคมชัด ก็ต้องรับชมแบบสด ๆ กันในโรงภาพยนตร์ แล้วจะรู้สึกขนลุกแบบที่บลูเบอร์รี่ก้ารู้สึก แต่ถ้ารู้สึกว่าฟังในโรงยังไม่จุใจ สามารถซื้ออัลบัมนี้ได้ใน iTunes หรือรับฟังผ่านบริการสตีมมิ่งเพลงทุกค่ายนะคะ รับรองว่าจะชอบเหมือนที่บลูเบอร์รี่ก้าชอบอย่างแน่นอน!!!

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง