กินยาเลื่อนประจําเดือน กี่วัน

แบ่งปันเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพทั้งโรคภัยไข้เจ็บ วิธีออกกำลังกาย เคล็ดลับลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อยู่กินของอร่อยไปได้อีกนาน ๆ

หากไม่อยากเป็นวันนั้นของเดือน ยาเลื่อนประจำเดือนช่วยได้ แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อการมีประจำเดือนในครั้งถัดๆ ไป

ยาเลื่อนประจำเดือน คืออะไร?

ยาเลื่อนประจำเดือน คือ ยาที่รับประทานเข้าไปแล้วสามารถช่วยให้ประจำเดือนที่จะมาถึงในรอบวันตามปกติ ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันอื่นได้ สำหรับผู้หญิงที่มีความจำเป็นที่ไม่อยากจะมีประจำเดือนในช่วงเวลานั้นๆ โดยการทำงานของยาเลื่อนประจำเดือนคือ ยาจะเข้าไปออกฤทธิ์ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือน และจะออกฤทธิ์ไปจนกว่าจะหยุดกินยา


วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือนอย่างถูกต้อง

ยาเลื่อนประจำเดือน ใช้กินก่อนวันที่ประจำเดือนจะมาอย่างน้อย 3-5 วัน โดยต้องกินยาตามน้ำหนักตัว

น้ำหนักตัวน้อยกว่า 60 กิโลกรัม กินยาครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง

น้ำหนักตัวมากกว่า 60 กิโลกรัม กินยาครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง

และเมื่อหยุดกินยา ประจำเดือนจะมาภายใน 2-3 วัน


ข้อควรระวังในการกินยาเลื่อนประจำเดือน

ไม่ควรกินยาเลื่อนประจำเดือนติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมาถี่ ประจำเดือนมาแบบกะปริบกะปรอย หรือประจำเดือนอาจไม่มาในครั้งต่อๆ ไปได้ และยังอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม คลื่นไส้ หรือวิงเวียนศีรษะ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ควรรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนอีกด้วย เพราะอาจแสดงอาการของผลข้างเคียงรุนแรงกว่าคนทั่วไป เช่น

สัปดาห์หน้ามีนัดไปเที่ยวทะเล หรือต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญ แต่ถ้าประจำเดือนดันมาช่วงเวลานั้นพอดี! สาว ๆ อย่างเราคงจะเซ็งกันไปตาม ๆ กัน ความสนุกเรา คงจะหดหายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว หากคุณมีปัญหา ลักษณะนี้ การทานยาเลื่อนประจำเดือน ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของสาว ๆ หลาย ๆ คน ที่ไม่อยากแบ่งความสนุกสนาน หรือความคล่องตัว ในการเดินทาง ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากังวลกับการมาของประจำเดือนใช่ไหมล่ะ ?

 

แต่การทานยาเลื่อนประจำเดือนนั้น เราควรที่จะต้องรู้จัก วิธีการทาน อย่างถูกต้อง และเหมาะสม กับสภาพร่างกายของเรา เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย และเกิดผลกระทบใด ๆ กับ สุขภาพร่างกายของเรา

บทความที่เกี่ยวข้อง : ยาต้องห้าม ช่วงให้นมบุตร 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 50

 

 

ยาเลื่อนประจำเดือน คืออะไร ?

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นตัวยาที่จะช่วยเลื่อนวันที่จะมีประจำเดือนของผู้หญิงออกไป ยาเลื่อนประจำเดือนนี้ เป็นฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสเทอโรน ซึ่งจะยับยั้งการหลุดร่อนของเยื่อบุผนังมดลูก ให้ออกมาช้ากว่ากำหนด

นับจากวันที่ประจำเดือนมาเป็นวันแรกไปอีก 14 - 15 วัน จะเป็นวันตกไข่ ซึ่งร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนออกมา เพื่อทำให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาขึ้น รองรับกับการฝังตัวของตัวอ่อน ในกรณีที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์นับจากวันตกไข่ แต่หากไม่มี ร่างกายจะหยุดสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน และเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดออกมากลายเป็นประจำเดือนในที่สุด การรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน จึงต้องรับประทานในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนการมีประจำเดือน เพื่อเพิ่มการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนให้ทัน ก่อนการสลายตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก

บทความที่เกี่ยวข้อง : นับวันตกไข่จากมูกช่องคลอด สังเกต มูกจากช่องคลอด บอกวันไข่ตกได้

 

ยาเลื่อนประจําเดือน มียี่ห้ออะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่?

 

 

ยาเลื่อนประจำเดือน มีตัวยาชื่อว่า นอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) ที่จำหน่ายในท้องตลาด มีชื่อการค้า Primolut-N, Steron, Norca ประกอบด้วยยานอร์เอทีสเตอโรน ขนาดยา 5 มก. ต่อ 1 เม็ด เช่น

  • ยี่ห้อ Primolut-N แผงละ 15 เม็ด บรรจุกล่องละ 2 แผง ราคาต่อกล่องอยู่ที่ 200 บาทขึ้นไป ซึ่งสามารถแยกซื้อเป็นแผงได้เช่นกัน
  • ยี่ห้อ Steron แผงละ 10 เม็ด ราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ แผงละ 50 บาทขึ้นไป
  • ยี่ห้อ Norca แผงละ 10 เม็ด ราคาจำหน่ายอยู่ที่ แผงละ 50 บาทขึ้นไป เป็นต้น

 

การรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน ทานอย่างไรให้ได้ผล

การรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน จะต้องรู้รอบเดือนของตัวเองอย่างแน่ชัด และรับประทานก่อนรอบเดือนประมาณ 1 สัปดาห์ หรืออย่างน้อย 3 - 5 วัน หากรับประทานช้ากว่านั้น อาจจะไม่ได้ผล เนื่องจากร่างกายรู้แล้วว่าไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น จึงหยุดการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน และทำให้มีประจำเดือน

 

วิธีกิน ยาเลื่อนประจำเดือน

 

 

ควรกินยาเลื่อนประจำเดือนล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วัน ก่อนการมาของประจำเดือน โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น หรือครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน และเย็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ที่รับประทาน

  • ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด โดยผู้ที่น้ำหนักน้อยกว่า 65 กก. ให้รับประทานทุก 12 ชม. (วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น)
  • น้ำหนักตัวตั้งแต่ 65 กก. ขึ้นไป ให้รับประทานทุก 8 ชม. (วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น) โดยสามารถรับประทานหลังอาหาร 30 นาทีหรือพร้อมมื้ออาหารก็ได้

ข้อควรระวัง ไม่ควรทานยานานเกิน 2 สัปดาห์ และจะมีประจำเดือนภายใน 2 - 3 วันหลังจากหยุดยา ดังนั้น การรับประทานยาก่อนประจำเดือนมาแค่ 1 วัน หรือตอนที่กำลังมีประจำเดือน ซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกได้หลุดลอกออกมาแล้ว ยาจึงอาจมีผลเพียงช่วยลดปริมาณและจำนวนวันของการมีประจำเดือนให้น้อยลง แต่หลังจากหยุดยา จะทำให้มีประจำเดือนซ้ำอีกในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน

บทความที่เกี่ยวข้อง : ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ปลอดภัยหรือไม่ และกินอย่างไรให้ปลอดภัย

 

 

ผลข้างเคียงของยาเลื่อนประจำเดือน

การใช้ยาเลื่อนประจำเดือนบ่อย ๆ หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจจะทำให้รอบเดือนมีความผิดปกติได้ เช่น มาน้อยกว่าปกติ มาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนกะปริบกะปรอย หรือประจำเดือนขาด เป็นต้น อาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้  มีอาการคัดตึงหน้าอก เป็นต้น

สำหรับผู้ที่รับประทานยาเลื่อนประจำเดือนก่อนการมาของรอบเดือนเพียงแค่ 1 วัน ไม่ทำให้ประจำเดือนมาช้า แต่อาจจะลดจำนวนวันที่มีประจำเดือน หรือ ปริมาณของประจำเดือนลดลงได้

 

ถ้ากินยาเลื่อนประจำเดือนแล้ว ประจำเดือนจะมาตอนไหน

หากรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน หรือยาเลื่อนเมนส์แล้ว รอบเดือนใหม่จะมาหลังจากหยุดยา 2 - 3 วัน

บทความจากพันธมิตร

สุขภาพ

พ่อแม่เป็นภูมิแพ้ สาเหตุสำคัญของ ภูมิแพ้ในเด็ก ที่อาจถูกมองข้ามไป

สุขภาพ

ปกป้องคนที่คุณรักให้ปลอดภัย ห่างไกลจาก RSV โควิด และ ฝุ่น PM 2.5 ด้วยเครื่องฟอกอากาศ Bwell

สุขภาพ

หยุดความเชื่อผิดๆ : ผิวเด็กไม่ได้ฟื้นฟูได้ไว เป็นแผลห้ามปล่อยไว้ให้หายเอง

สุขภาพ

จัดฟันแบบใส สร้างโลกสดใสให้เด็ก ๆ มีรอยยิ้มสวยมั่นใจได้มากกว่าที่คิด

 

ยาเลื่อนประจําเดือนเลื่อนได้กี่วัน ?

หากคุณได้มีการกินยาเลื่อนอยู่เป็นประจำ ต่อเนื่อง ยังคงกินยาเลื่อนประจำเดือนต่อเนื่อง ประจำเดือนจะยังไม่มาจนกว่าจะหยุดยา ประจำเดือนจะมาหลังหยุดยาไปแล้ว 2-3 วัน บางคนอาจนานถึง 7 วัน แต่ข้อบ่งใช้ของยาเลื่อนประจำเดือนคือ ห้ามทานติดต่อกันเกิน 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

ข้อควรระวังในการใช้ยาเลื่อนประจำเดือน

  • ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ หรือใช้บ่อยเกินไป ควรรับประทานเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
  • ผู้ที่มีประวัติเป็น หรือเคยเป็นโรคต่อไปนี้ โรคมะเร็งเต้านม โรคตับ โรคอ้วน และโรคหลอดเลือดอุดตัน
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจทำเกิดความผิดปกติกับร่างกาย และอวัยวะเพศของลูกในครรภ์
  • ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะตัวยาจะปะปนกับน้ำนมแม่ และส่งต่อไปสู่ลูกได้
  • ผู้ที่มีเลือดออกโดยไม่ทราบว่าเป็นเลือดประจำเดือนหรือไม่ ไม่ควรซื้อยาเลื่อนประจำเดือนมารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป

 

กลุ่มผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทานยาเลื่อนประจำเดือน

ยานอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) หรือยาเลื่อนประจำเดือน มีข้อห้ามในการใช้ยาสำหรับบุคคลใน 5 กลุ่ม ต่อไปนี้

  • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากตัวยา อาจจะทำให้ทารกในครรภ์มีการพัฒนาอวัยวะเพศที่ผิดแปลกออกไป โดยเฉพาะครรภ์ของเพศหญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุครรภ์มากกว่าเดือนครึ่ง หรือ 6 สัปดาห์ เป็นต้นไป
  • คุณแม่ที่ให้นมบุตร น้ำนมแม่จะมีตัวยาปะปนออกมาด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่อลูกได้
  • ผู้ที่มีประวัติ หรือความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่จัด โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
  • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ หรือเคยเป็น เนื่องจากตัวยานอร์เอทีสเตอโรน จะถูกกำจัด หรือขับออกที่ตับ หากตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะเกิดการตกค้างของตัวยา ทำให้ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาว เช่น โรคตับอักเสบ เป็นต้น
  • ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งที่อวัยวะเพศ เนื่องจากตัวยา จะเป็นตัวกระตุ้นให้เนื้อร้ายเหล่านี้ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทานยาในขณะตั้งครรภ์

จากที่เกริ่นมาข้างต้น ในกรณีที่ตัวคุณแม่ได้ทานยาเลื่อนประจำเดือน โดยที่ไม่ทราบว่าตนเองนั้นตั้งครรภ์ลูกอยู่ ตัวยาที่ทานเข้าไปอาจจะมีผลต่อการพัฒนาการของอวัยวะเพศภายนอกของทารกในครรภ์ได้ แต่จากทดสอบนั้น ยังไม่พบว่าตัวยาเลื่อนประจำเดือนนี้ จะส่งผลทำให้ทารกในครรภ์พิการในด้านอื่น ๆ

ดังนั้น หากคุณมาทราบในภายหลังว่ามีการตั้งครรภ์หลังจากทานยาเลื่อนประจำเดือนไปแล้ว อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ ให้ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด และวางแผนเพื่อการดูแลทารกในครรภ์อย่างเหมาะสม ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลใจใด ๆ การตรวจการตั้งครรภ์ก่อนจะเริ่มใช้ยาเลื่อนประจำเดือน จึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก และไม่ควรมองข้ามเด็ดขาดค่ะ

 

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
คนท้องฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม ฉีดแล้วอันตรายหรือเปล่า ฉีดได้ตอนไหน
100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 29 ควรเริ่มกินยาคุมเมื่อไร ?
“ยาธาตุน้ำขาว” ยานี้คนท้องกินได้ไหม เกิดอาการจุกเสียด กรดไหลย้อน

แหล่งที่มา : A , B

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง