วันที่เอกสาร
2 กรกฎาคม 2541
เลขที่หนังสือ
กค 0811/10081
ข้อกฎหมาย
มาตรา 40(2), มาตรา 41, มาตรา 50(1), มาตรา 76 ทวิ, พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505
ข้อหารือ
1. กรณีที่บริษัทไทยจ่ายค่านายหน้าในการขายสินค้าให้แก่บุคคลธรรมดา หรือบริษัทซึ่งมีถิ่น
ที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออังกฤษ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย กรณีดังกล่าว
บริษัทไทยจะมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ อย่างไร
2. หากบุคคลธรรมดา หรือบริษัทซึ่งเป็นนายหน้าตาม 1. ประกอบกิจการในประเทศไทย
กรณีดังกล่าวบริษัทไทยมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ อย่างไร
แนววินิจฉัย
เนื่องจากค่านายหน้าจากการขายสินค้า เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ ดังนั้น กรณีตาม
ข้อเท็จจริงข้างต้น จึงพิจารณาได้ดังนี้
(1) กรณีบุคคลธรรมดาหรือบริษัทซึ่งเป็นนายหน้าดังกล่าว มิได้ประกอบกิจการโดยผ่าน
สถานประกอบการถาวรในประเทศไทย บุคคลธรรมดาหรือบริษัทซึ่งเป็นนายหน้านั้น จะได้รับยกเว้น
ภาษีเงินได้ในประเทศไทย ทั้งนี้ ตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งอนุสัญญาฯ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศ
มาเลเซียหรือประเทศสิงคโปร์เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน หรือตามข้อ 8 วรรคหนึ่ง แห่งอนุสัญญา
ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักรอังกฤษเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน แล้วแต่กรณี และตาม
มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 ฉะนั้น เมื่อบริษัทไทยจ่ายค่านายหน้าให้กับ
บุคคลธรรมดาหรือบริษัทซึ่งเป็นนายหน้าดังกล่าว บริษัทไทยจึงไม่มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แต่
อย่างใด
(2) กรณีบุคคลธรรมดาหรือบริษัทซึ่งเป็นนายหน้าดังกล่าว ประกอบกิจการโดยผ่าน
สถานประกอบการถาวรในประเทศไทย แยกพิจารณาได้ดังนี้
(ก) บุคคลธรรมดาดังกล่าว มีหน้าที่ต้องนำค่านายหน้าที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และโดยที่
ค่านายหน้าดังกล่าวเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทไทยจ่ายค่านายหน้า
ให้แก่บุคคลธรรมดาดังกล่าวบริษัทไทยมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่ง
ประมวลรัษฎากร
(ข) บริษัทดังกล่าว มีหน้าที่ต้องนำค่านายหน้ามารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อบริษัทไทยจ่าย
ค่านายหน้าให้กับบริษัทดังกล่าว บริษัทไทยไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด
กรมสรรพากรแก้ไขล่าสุด
22 พฤษภาคม 2020
เลขที่หนังสือ
กค 0811(กม)/878
ข้อกฎหมาย
มาตรา 40 (2), มาตรา 70
ข้อหารือ
บริษัท เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยจ่าย
ค่านายหน้าค่าขายสินค้าให้นิติบุคคลในประเทศอิสราเอล สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ จึง
หารือว่า เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่านายหน้าให้นิติบุคคลในประเทศดังกล่าว บริษัทฯ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
หรือไม่
แนววินิจฉัย
1. กรณีการจ่ายค่านายหน้าให้นิติบุคคลในประเทศอิสราเอล และประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์
หากนิติบุคคลในประเทศทั้ง 2 ดังกล่าว ไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย
ตามนัยข้อ 5 แห่งอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ ระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศไทย กับรัฐบาล
แห่งประเทศอิสราเอลและระหว่างประเทศไทยกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวคือ ค่านายหน้าจาก
การขายสินค้า เป็นเงินได้เนื่องจากการรับทำงานให้ และเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (2)
แห่งประมวลรัษฎากร และเข้าลักษณะเป็นเงินได้ประเภทกำไรจากธุรกิจ ตามอนุสัญญา เพื่อการเว้น
การเก็บภาษีซ้อนฯ เมื่อนิติบุคคลในประเทศทั้ง 2 ข้างต้น เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศอิสราเอล และ
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตามลำดับ และไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย นิติบุคคลผู้มีเงินได้จึง
ไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย ตามข้อ 7 แห่งอนุสัญญาฯ และตามมาตรา 3 แห่ง
พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505
บริษัทฯ ผู้จ่ายเงินได้จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
2. กรณีการจ่ายค่านายหน้าให้นิติบุคคลในประเทศสหรัฐอเมริกา
หากเป็นการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นิติบุคคลในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนวันที่ 1
มิถุนายน 2541 กล่าวคือ การจ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่
นิติบุคคลต่างประเทศที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย บริษัทฯ ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษีจาก
เงินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
แต่หากเป็นการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นิติบุคคลในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1
มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นวันที่อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีผลใช้บังคับและนิติบุคคลดังกล่าวไม่มี
สถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ตามนัยข้อ 5 แห่งอนุสัญญาฯ นิติบุคคลผู้มีเงินได้ไม่อยู่ในข่ายต้อง
เสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยตามข้อ 7 แห่งอนุสัญญาฯ และตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออก
ตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 ซึ่งบริษัทฯ
ผู้จ่ายเงินได้จะไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย
สัญญาว่าจ้างกับบริษัทผู้รับจ้างฯ เป็นนิติบุคคลจัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายฮ่องกง ไม่มีสถานประกอบการในประเทศไทย ตามสัญญาว่าจ้างดัง
กล่าว ผู้รับจ้างฯ มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อ จัดหา และอำนวยความสะดวกในการจัดหาผู้ขายวัตถุดิบในประเทศต่างๆ และช่วยต่อ
รองราคา แต่ไม่มีอำนาจ ในการตัดสินใจในการซื้อทั้งสิ้น ผู้ว่าจ้างฯ จ่ายค่าตอบแทนให้ผู้รับจ้างฯ ในรูปนายหน้าเป็นจำนวนเงินเหรียญ
ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน หรือน้ำหนักของวัตถุดิบที่ได้มีการตกลงราคาซื้อขาย โดยผู้ว่าจ้างฯ จะทำการจ่ายค่าตอบแทนเมื่อการซื้อขาย
ดังกล่าว ได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามขั้นตอนการซื้อขายแล้ว ทั้งนี้ ผู้รับจ้างฯ ไม่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อธุรกรรมดังกล่าว ผู้ว่า
จ้างฯ จึงขอหารือว่า การจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 70 และมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากรแนววินิจฉัย
1. กรณีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย หากผู้รับจ้างฯ เป็นนิติบุคคลที่ได้
รับค่านายหน้า มีถิ่นที่อยู่ในเขตบริหารพิเศษ ฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้ประกอบกิจการผ่านสถานประกอบการถาวรใน
ประเทศไทย ผู้รับจ้างฯ จะได้รับ ยกเว้นภาษีเงินได้ในประเทศไทยตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งเขตบริหาร
พิเศษฮ่องกงแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น
รัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 ผู้ว่าจ้างฯ จ่ายค่านายหน้าให้กับผู้รับจ้างฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา
70 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีผู้ว่าจ้างฯ จ่ายค่านายหน้าให้ผู้
รับจ้างฯ เข้าลักษณะเป็นการจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการนอกราชอาณาจักร เนื่องจากการให้บริการในต่างประเทศ ผู้ว่าจ้างฯ ไม่มี