เทคนิคการอ่านเท่าที่ประสบพบเจอมาตั้งเเต่เป็นเด็กน้อยจนปัจจุบันเข้าสู่วงการครูด้วยการดำลงตำแหน่งนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ดิฉันค้นพบแล้วว่า ครูส่วนใหญ่ที่ดิฉันพบเจอน้านนนน ล้วนแต่สอนให้เราอ่านเอง จับใจความเองตามเทคนิคที่สอนทั่ว ๆ ไป skim scan ตอบคำถามตามโจทย์ หรือไม่ก็ ครูอ่านให้ฟังแปลให้ฟังพร้อม จึงทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ใดๆ เกิดขึ้นเลย จากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการสอนการอ่านพบว่า "เทคนิคการอ่านออกเสียงนั้นช่วยให้ผู้เรียน enjoy learning reading ได้" มิหนำซ้ำยังช่วยเพิ่มคำศัพท์ให้แกผู้เรียน แต่มันทำยังไงกันหละ โอเคเลอหญิง เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ดิฉันจะพาทุกคนไปเรียนรู้การใช้เทคนิคนี้กั๊นนนนน!
การอ่านออกเสียง หรือ Reading aloud ไม่เท่ากับ การอ่านออกเสียงที่เน้น Phonic การ Pronounce ของเด็ก แต่จะเป็นการให้ผู้สอน อ่านออกเสียงบทความ เนื้อหาที่จะใช้ให้ผู้เรียนฟังและคิดตาม ด้วยการใช้ "คำถามประกอบการอ่าน" ตัวอย่างเช่น ใช้ What does that word mean? เมื่อเจอคำศัพท์ใหม่ และใช้อธิบาย การยกตัวอย่างคำให้ง่ายลงด้วยที่มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียง สัมพันธ์กัน Why is that happening? ใช้ถามเมื่อเกิดประเด็นที่เป็นใจความในเนื้อเรื่อง หรือใช้การเช็คความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านด้วย What this sentence mean? เป็นต้น เทคนิคนี้ผู้สอนจะต้องเตรียมตัวในการอธิบายเพิ่มเติมเพื่อขยายความเข้าใจให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย และเคลียร์ที่สุด แต่จะแลกมาด้วยทัศนคติที่ดีขึ้นของผู้เรียนต่อการอ่านภาษาอังกฤษแน่นอน เพราะเขาจะไม่รู้สึกว่าการอ่านมันยากเกินไปเนื่งจากเขามีครูคอยช่วยอ่านไปด้วยกัน
ลองไปปรับใช้ดูนะคะ และสามารถอ่านบทความและวิจัยเพิ่มเติมได้จาก
enjoy your class นะค้าาาาาาา
เด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ไปเรื่อยๆอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย หรือมีทัศนคติที่ไม่ดี และอาจเกลียดภาษาอังกฤษไปเลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่ทำอย่างไร คุณครูต้องสอนอย่างไรทำไมเด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก หากเป็นความคิดเดิมๆ คนส่วนใหญ่มักบอกว่าเป็นเพราะเด็กเรียนอ่อนเอง เด็กไม่สนใจ แต่นักวิชาการและนักวิจัยไม่คิดเช่นนั้น ทว่าได้ศึกษาวิจัยเพื่อหาปัญหาและการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
Gay Su Pinnell และ Irene Fountas ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันด้านการศึกษา ได้ทำการศึกษาวิจัยและสอนผู้ที่มีปัญหาในการอ่านมามากกว่า 25 ปี ท่านทั้งสองมีความเห็นว่า หากเด็กไม่มีปัญหาทางกายภาพด้านสมอง การที่เด็กอ่านไม่ออกนั้นส่วนใหญ่เกิดจากลักษณะการสอนอ่านที่ยังไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม
ผลจากการวิจัยของ Pinnell และ Fountas ในการแก้ปัญหาเด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก คือการสอนให้รู้จักเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวก่อนเป็นอันดับแรกและสอนความสัมพันธ์ของเสียงและตัวอักษร และนี่เป็นการสอน โฟนิคส์ นั่นเอง
เสียงของตัวอักษร เช่น ตัวอักษร p มีเสียงเป็น เพ่อะ ส่วนความสัมพันธ์ของเสียงและตัวอักษร หมายถึง ตัวอักษรซึ่งอาจเป็นตัวอักษรตัวเดียว 2 ตัว หรือ 3 ตัวมีเสียงอย่างไร เช่น p มีเสียงเป็น เพ่อะ, h มีเสียงเป็น เฮ่อะ แต่ ph ออกเสียงเป็น เฟ่อะ (ออกเสียงเหมือนตัวอักษร ‘f’)
เช่นเดียวกับการวิจัยของ Dr. Shaywitx แพทย์นักวิจัยมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาวิจัยและเป็นผู้ร่วมแต่งหนังสือ ‘Overcome Dyselxia – การเอาชนะความบกพร่องในการอ่าน’ Dr. Shaywitx ได้กล่าวว่า มันไม่จริงที่การอ่านจะเป็นเรื่องง่ายและเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติสำหรับทุกคน
เด็กที่อ่านหนังสือไม่ได้ เป็นเด็กที่ไม่สามารถจัดการเสียงของตัวอักษรและรูปลักษณ์ของตัวอักษรได้
เมื่อเด็กได้รับการสอนและฝึกเป็นประจำ สมองของเค้าจะเริ่มพัฒนาขึ้นตามความถึ่ของการฝึก คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจำนวนไม่น้อยเคยเป็นเด็กที่บกพร่องในการอ่านมาก่อน
การสอนทักษะการถอดรหัสคำ (การเชื่อมต่อของเสียงและตัวอักษร) และการสะกดคำ รวมถึงทักษะความเข้าใจในการอ่าน พวกเขาจะกลายเป็นนักอ่านที่ดีได้
Dr. Shaywitx
การสอนทักษะเหล่านี้เป็นการ ‘เปิด’ และกระตุ้นระบบการอ่านในสมอง วิธีสอนจึงเป็นิส่งที่สำคัญมาก และคุณสามารถเปลี่ยนสมองของเด็กที่บกพร่องในการอ่านได้
5 Steps สอนเด็กที่อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก
1) สอนให้รู้จักเสียงของตัวอักษร
โดยการให้ฟังและออกเสียงตาม พร้อมมีคำศัพท์ที่มีเสียงขึ้นต้นด้วยตัวอักษรนั้นเพื่อทำให้จำได้ง่าย และเด็กควรรู้ความหมายของคำเหล่านั้นด้วย
2) สอนการประสมเสียง
เมื่อเด็กออกเสียงตัวอักษรได้ ขั้นตอนต่อมาเป็นการนำตัวอักษรเหล่านั้นมาเรียงกันรวมเป็นคำ และออกเสียงตัวอักษรแต่ละตัวเหมือนเดิมแต่ให้รวบเสียงทั้งหมดเป็นเสียงเดียวเป็น 1 คำ การประสมเสียงเป็นการแก้ไขให้ เด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก สามารถเริ่มอ่านได้เอง
3) สอนรูปแบบส่วนประกอบของคำ
สิ่งที่สำคัญที่ทำให้เด็กอ่านออกคือการทำให้เด็กเห็นรูปแบบตัวอักษรในคำเป็น พยัญชนะต้น-สระ-ตัวสะกด (CVC-consonant-vowel-consonant)
ตัวอักษร a-z มีเสียง 2 อย่าง คือเสียงพยัญชนะ และเสียงสระ
-1 เสียงพยัญชนะ
เสียงพยัญชนะมักไม่เปลี่ยน เช่น b, d
แต่มีพยัญชนะตัวหนึ่งที่พิเศษทำหน้าที่เป็นสระ นั่นคือ ‘y’ ทำหน้าที่เป็นสระและออกเสียงสระ y มีเสียงเป็นสระยาวได้ 2 เสียง คือ เสียงสระยาว ‘e’ (อี) เช่น baby, lady และเสียงสระยาว ‘i’ (อาย) เช่น sky, my
-2 เสียงสระ
ตัวอักษรที่เป็นสระมี 5 ตัวได้แก่ a, e, i, o และ u แต่มีการออกเสียงเป็นแบบสระสั้น และสระยาว
ตัวอักษรสระเดียวกันแต่ออกเสียงต่างกัน เช่น i เสียงสระสั้นออกเสียงเป็น ‘อิ’ เช่น big แต่ i สระยาวออกเสียงเป็น ‘อาย’ เช่น Hi
เสียงสระยาวมิได้มีเฉพาะตัวอักษรเดี่ยว a, e, i, o, u เท่านั้น แต่ยังมีการเขียนแบบอื่นๆด้วย เช่น ai ใน rain ออกเสียง เอ, ay ใน May ออกเสียง เอ,
นี่คือการสอนความสัมพันธ์ของเสียงและตัวอักษร
ดังนั้น เด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ควรได้เรียนเสียงในภาษาอังกฤษครบทั้ง 44 เสียงเพื่อให้รู้จักเสียงในรูปแบบของตัวอักษรต่างๆ ซึ่งอาจเป็นตัวเดียว เป็นคู่ หรือหลายตัว
4) สอนการสะกดอ่านแจกลูกคำในกลุ่มตัวสะกดเหมือนกัน (Word Family)
หลังจากประสมเสียงอ่านเป็นคำได้แล้ว การฝึกต่อไปคือให้เด็กเริ่มสะกดแจกลูกคำ (Sound out words) อ่านคำที่อยู่กลุ่มตัวสะกดเหมือนกัน หรือเรียกว่า ‘Word Family’ (คำในครอบครัวเดียวกัน) เช่น ครอบครัวคำตัวสะกด ‘-at’ ได้แก่ cat, fat, hat, mat เป็นต้น
5) เริ่มอ่านวลีและประโยค
โดยเริ่มจากวลีที่เป็นคำที่มีตัวสะกดเหมือนกัน (Word Family) เช่น -at เด็กอ่าน cat, fat, hat ได้แล้ว ให้อ่านวลี เช่น fat cat หรือประโยค เช่น A cat has a hat.
คำที่มีเสียงสะกดเหมือนกันก้อคือคำคล้องจ้องนั่นเอง ดังนั้น การอ่านคำในครอบครัวเดียวกันจึงทำให้เด็กสนุกในการอ่าน พร้อมกับการมีภาพประกอบจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความหมายของวลีและประโยคที่อ่านได้เร็วขึ้น
ดังนั้น วิธีสอน เด็กอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และเราควรรีบสอนโฟนิคส์เพื่อแก้ปัญหาที่อาจมีผลในระยะยาวนี้โดยเร็ว เพราะการอ่านภาษาอังกฤษได้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ในระดับสูงต่อไป