- 03/07/2019
RGB คืออะไร ?
RGB ย่อมาจาก red, green และ blue คือระบบสีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงกลายเป็นสีรุ้ง ด้วยกัน 7 สี ซึ่งเป็นช่วงแสงที่เราสามารถมองเห็นได้ แสงสีม่วงจะมีความถี่สูงสุดเรียกว่า อุนตร้าไวโอแรต และแสงสีแดงจะมีความถี่ต่ำสุด เรียกว่าอินฟาเรต คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าสีม่วง และต่ำ กว่าสีแดงนั้น สายตาของมนุษย์ไม่สามารถรับได้
แสงสีทั้งหมดเกิดจาก แสงสี 3 สี คือ สีแดง ( Red ) สีน้ำเงิน (Blue) และสีเขียว (Green) ทั้งสามสีถือเป็นแม่สีของแสง
แม่สีของแสงมีด้วยกัน 3 สี คือ สีแดง(R), สีเขียว(G), สีน้ำเงิน(B) และแต่ละแม่สีเมื่อรวมกันก็จะได้สีดังนี้
– สีแดง+สีเขียว = สีเหลือง Yellow
– สีเขียว+น้ำเงิน = สีฟ้า Cyan
– สีแดง+สีน้ำเงิน = สีแดงอมชมพู่ Magenta
เมื่อนำแม่สีของแสงทั้ง 3 มาผสมกัน ในปริมาณแสงสว่างเท่าๆกันก็จะได้เป็นแสงที่สีขาว แต่ถ้าผสมกันระหว่างแสงระดับความสว่างต่างกัน ก็จะได้ผลทีเป็นแสงสีๆ มากมายเป็นล้านสีทีเดียว
ระบบสี RGB จะการแสดงผลออกมา เป็นรูปแบบการรับแสงแสดงผลด้วยแสงทีเป็นแม่สีได้แก่ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น จอภาพ,สแกนเนอร์,กล้องดิจิตอลหรือ ตัวอย่างการงานที่เหมาะกับการใช้ระบบสี RGB เช่น ในการออกแบบ web site หรือ web design จะใช้ระบบสี RGB เพื่อให้ได้ภาพที่แสดงผลบนน่าจอมีความสวยงามใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็น
ส่วนในงานสิ่งพิมพ์จะนิยมใช้ระบบสี CMYK เพราะเป็นระบบสีที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ ดังนั้นเมื่อเราต้องการพิมพ์ภาพ จึงควรตั้งค่าภาพนั้นให้เป็น ระบบสี CMYK เพราะถ้านำภาพที่เป็นระบบสี RGB ไปพิมพ์ปกติ โดยไม่มีการแปลงให้เป็นระบบสี CMYK ก่อนภาพที่ได้จะมีสีที่พี้ยนไป
โมเดลสีแบบต่าง ๆ
โดยทั่วไปแล้วสีต่าง ๆ ในธรรมชาติและสีที่ถูกสร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการ
มองเห็นสีเรียกว่า “โมเดล (Model)” ดังนั้น จึงทำให้มีโมเดลหลายแบบดังที่เราจะได้ศึกษาต่อไปนี้ - โมเดล HSB ตามหลักการมองเห็นสีของสายตามนุษย์ - โมเดล RGB ตามหลักการแสดงสีของเครื่องคอมพิวเตอร์ - โมเดล CMYK ตามหลักการแสดงสีของเครื่องพิมพ์ - โมเดล Lab ตามมาตรฐานของ CIE โมเดล HSBตามหลักการมองเห็นสีของสายตามนุษย์ เป็นลักษณะพื้นฐานการมองเห็นสีด้วยสายตาของมนุษย์ โมเดล HSB จะประกอบด้วยลักษณะของสี 3 ลักษณะ 1.Hue เป็นสีของวัตถุที่สะท้อนเข้ามายังตาของเราทำให้เราสามารถมองเห็นเป็นวัตถุสีได้ซึ่งแต่ละสีจะแตกต่างกัน ตามความยาวของคลื่นแสงที่มากระทบวัตถุและสะท้อนกลับมาที่ตาของเรา Hue ถูกวัดโดยตำแหน่งการแสดงสีบน Standard Color Wheel ซึ่งถูกแทนด้วยองศา คือ 0 ถึง 360 องศา แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว มักเรียกการแสดงสีนั้นๆ เป็นชื่อของสีเลย เช่น สีแดง สีม่วง สีเหลือง ^ ค่า Saturation เริ่มตั้งแต่ 0% ที่จุดกึ่งกลางไล่ไปเรื่อยๆ จนถึง 100% ที่ชอบ 2. Saturation คือสัดส่วนของสีเทาที่มีอยู่ในสีนั้น โดยวัดค่าสีเทาในสีหลักเป็นเปอร์เซ็นต์ดังนี้คือ จาก 0% (สีเทาผสมอยู่มาก) จนถึง 100% (สีเทาไม่มีเลย หรือเรียกว่า “Full Saturation” คือสีมี ความอิ่มตัวเต็มที่) โดยค่า Saturation นี้จะบ่งบอกถึงความเข้มข้นและความจางของสี ถ้าถูกวัดโดยตำแหน่ง บน Standard Color Wheel ค่า Saturationจะเพิ่มขึ้นจากจุดกึ่งกลางจนถึงเส้นขอบ โดยค่าที่เส้นขอบ จะมีสีที่ชัดเจน และอิ่มตัวที่สุด ^ H+S แทนค่าสีทั้งหมดที่เกิดจาก Hue +Saturation และ B แทนค่าความสว่างตั้งแต่ 0% ถึง 100% 3.Brightness เป็นเรื่องราวของความสว่างและความมืดของสี ซึ่งถูกกำหนดค่าเป็นเปอร์เซ็นต์จาก 0 % (สีดำ) ถึง 100% (สีขาว) ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์มากจะทำให้สีนั้นสว่างมากขึ้น โมเดล RGB ตามหลักการแสดงสีของเครื่องคอมพิวเตอร์ ^ รูปแสดงแสงสีแดง เขียว และ น้ำเงินที่ผสมกันเป็นสีต่าง ๆ โมเดล RGB เกิดจากการรวมกันของสเปกตรัมของแสงสีแดง (Red) , เขียว (green) , และน้ำเงิน (Blue) ในสัดส่วน ความเข้มข้นที่แตกต่างกัน โดยจุดที่แสงทั้งสามสีรวมกันจะเป็นสีขาว นิยมเรียกการผสมสีแบบนี้ว่า “Additive Color” แสงสี RGB มักจะถูกใช้สำหรับการส่องแสงทั้งบนจอภาพทีวีและจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสร้างจากสารที่ทำให้เกิดแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ทำให้สีดูสว่างกว่าความเป็นจริง โมเดล CMYK ตามหลักการแสดงสีของเครื่องพิมพ์ ^ รูปแสดงหมึกพิมพ์ ฟ้า บานเย็น เหลือง และสีดำ โมเดล CMYK มีแหล่งกำเนิดสีอยู่ที่การซึมซับ (Absorb) ของหมึกพิมพ์บนกระดาษ โดยมีสีพื้นฐานคือ สีฟ้า (Cyan) สีบานเย็น (Magenta) และสีเหลือง (Yellow) โดยเรียกการผสมสีทั้ง 3 สีข้างต้นว่า “Subtractive color” แต่สี CMY ก็ไม่สามารถผสมรวมกันให้ได้สีบางสี เช่น สีน้ำตาล จึงต้องมีการเพิ่มสีดำ (Black) ลงไปฉะนั้นเมื่อรวมกันทั้ง 4 สี คือ CMYK สีที่ได้จากการพิมพ์ จึงจะครอบคลุมทุกสี โมเดล Lab ตามมาตรฐานของ CIE โมเดล Lab เป็นค่าสีที่กำหนดขึ้นโดย CIE (commission Internationale d ́ Eclairage)ให้เป็นมาตรฐานกลางของ การวัดสีทุกรูปแบบครอบคลุมทุกสีใน RGB และ CMYK และใช้ได้กับสีที่เกิดจากอุปกรณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนและอื่น ๆ ส่วนประกอบของโหมดสีนี้ได้แก่ L หมายถึง ค่าความสว่าง (Luminance) a หมายถึง ส่วนประกอบที่แสดงการไล่สีจากสีเขียวไปยังสีแดง b หมายถึง ส่วนประกอบที่แสดงการไล่สีจากสีน้ำเงินถึงสีเหลือง โมเดลการมองเห็นสีในโปรแกรม Photoshop จากการมองเห็นสีดดยทั่วไปมาสู่หลักการมองเห็นสีใน Photoshop ที่เราเรียกว่า “ โหมด(MOde)”ซึ่งโหมดของสีใน Photoshop จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 โหมดที่อ้างอิงตามโดมเดล กลุ่มที่ 2 โหมดที่ถูกกำหนดขึ้นมาพิเศษหรือที่เรียกว่า “ โหมด Specialozed” กลุ่มที่ 3 โหมดสีผสมที่เรียกว่า “โหมด Blending” ตัวอย่างโหมดที่อ้างอิงตามโมเดล Lab โหมด RGB ใช้หลักการโหมดของโมเดล RGB โดยมีการกำหนดค่าความเข้มข้นของสีแดง เขียว และน้ำเงินที่มาผสมกันในแต่ละจุดสี เป็นค่าตั้งแต่ 0 ถึง 255 ตัวอย่างเช่น สี Bright Red เกิดจาก R (สีแดง) ที่ 246 และ G (สีเขียว) ที่20 และ B (สีน้ำเงิน ที่ 50) ภาพที่เกิดจากโหมด RGB จะเป็นการซ้อนภาพสี 3 ชั้น ชั้นละสี ซึ่งเราเรียกชั้นของสีเหล่านี้ว่า “Channel” โดยจะมีสี ที่แตกต่างเกิดขึ้นถึง 16.7 ล้านสี หรือ ^ ภาพในโหมด RGB ซึ่งเกิดจากการผสมของแสงสี แดง เขียว และน้ำเงิน ^ แสงสีแดง Red ^ แสงสีเขียว Green ^ แสงสีน้ำเงิน Blue โหมด CMYK ใช้หลักการของโมเดล CMYK โดยมีการกำหนดค่าสีจากเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของสีแต่ละสีที่มาผสมกัน เช่น สี Bright Red เกิดจาก C= 2%, M=93%, Y=90%, และ K=0% (หรือสีขาว) ^ ภาพในโหมด CMYK ซึ่งเกิดจากการผสมของหมึกสี Cyan,Magenta,Yellow และ Black ^ สีฟ้า (Cyan) ^ สีบานเย็น (Magenta) ^ สีเหลือง (Yellow) ^ สีดำ ( Black) |