Incremental Model หรือ โมเดลแบบก้าวหน้า เป็นโมเดลที่มีการวิวัฒนาการมาจากโมเดลน้ำตก (Waterfall Model) เนื่องจากโมเดลน้ำตก (Waterfall Model) มีข้อเสียคือ ต้องมีการดำเนินการเป็นขั้นตอนให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะดำเนินการขั้นต่อไป ซึ่งหากเป็นโครงการซอฟต์แวร์ที่มีขนาดใหญ่อาจต้องใช้เวลามาก
หลักการของ Incremental Model คือ การแบ่งระบบงานออกเป็นระบบย่อยต่าง ๆ โดยระบบย่อยเรียกว่า Increment เปรียบเสมือนกับโครงการขนาดเล็ก (Mini Project) โดยจะทำการพัฒนาระบบงานที่เป็นงานหลักของระบบก่อน จากนั้นพัฒนาต่อเติมในแต่ละ Increment ตามลำดับ จนกระทั้งได้ระบบงานที่เสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนการทำงานของ Incremental Model
- การศึกษาความเป็นไปได้ของระบบ
- การวางแผนและการกำหนดความต้องการ
- การออกแบบระบบ
- ออกแบบรายละเอียดของระบบย่อย
- พัฒนาและทดสอบระบบ
- นำระบบย่อยต่าง ๆ มาประกอบรวมกัน
- นำระบบไปใช้งาน
- บำรุงรักษาระบบ
ข้อเสีย
- มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการนำระบบย่อยมาประกอบรวมกัน
- ระบบงานย่อยที่ใช้งานอยู่อาจจะทำให้การทำงานสะดุด
โมเดลแบบก้าวหน้า เป็นโมเดลที่มีการวิวัฒนาการมาจากโมเดลน้ำตก (Waterfall Model) เนื่องจากโมเดลน้ำตกมีข้อเสียคือ ต้องดำเนินตามขั้นตอนให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป ซึ่งหากเป็นโครงการโหญ่อาจต้องใช้เวลามากทำให้เสียเวลาย้อนกลับ และมีความเสี่ยงสูง
ช่องทางการศึกษาเพิ่มเติมข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับ : บทความทั่วไป
- บทความเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป (114)
- ถาม - ตอบปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (696)
- บทความเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป (84)
- บทความเกี่ยวกับ Google (210)
- บทความเกี่ยวกับ Software License ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ (9)
การพัฒนาระบบด้วย Waterfall Model
Waterfall Model คือ โมเดลที่มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจนและง่ายต่อการนำไปใช้จริง โดยใช้วงจรชีวิตแบบฉบับ (Class Lift Cycle) หมายถึง การเรียงลำดับงานในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเริ่มด้วยการกำหนดความต้องการของลูกค้า การวางแผน การสร้างแบบจำลองการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการให้ความเหลือในการใช้งานซอฟต์แวร์
ข้อจำกัดของ Waterfall Model ได้แก่
- แบบจำลอง Waterfall Model ไม่รองรับการทำงานซ้ำ
- ในการพัฒนาระบบตามแบบจำลอง Waterfall จะต้องระบุความต้องการใช้งานให้ชัดเจนไม่คลุมเครือ
- ลูกค้าจะเห็นภาพหรือสามารถมองเห็นระบบที่สามารถใช้งานได้จริงตามแบบจำลองนี้ในช่วงปลายทางการพัฒนาระบบหากมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้พัฒนา หรือหากพบความผิดพลาดในการทำงานของระบบเมื่อทำการทดสอบระบบ ย่อมทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไข
กล่าวโดยสรุป Waterfall Model เป็นโมเดลที่มีขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจนและง่ายต่อการนำไปใช้จริง และในการพัฒนาต้องระบุความต้องการใช้งานให้ชัดเจนไม่คลุมเครือ หากมีการเเก้ไขหรือมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการหรือ หากพบความผิดพลาดในการทำงานของระบบเมื่อทำการทดสอบระบบ อาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไข
ช่องทางการศึกษาเพิ่มเติมข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับ : บทความทั่วไป
- บทความเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป (114)
- ถาม - ตอบปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (696)
- บทความเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป (84)
- บทความเกี่ยวกับ Google (210)
- บทความเกี่ยวกับ Software License ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ (9)
Waterfall Model
เป็นแบบจำลองกระบวนการพัฒนาระบบในรูปแบบน้ำตก เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันในอดีต มีหลักการเสมือนกับน้ำตกซึ่งไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ในแต่ละขั้นตอนไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขขั้นตอนที่แล้วได้ เหมาะสำหรับระบบที่มีการจัดการที่แน่นอน และในปัจจุบันมีขั้นตอนการทำงานสามารถที่จะวนหรือย้อนกลับไปแก้ไขได้ หรือที่เรียกว่า Adapted Waterfall
เปรียบเทียบรูปแบบการทำงานของ Waterfall และ Adapted Waterfall
รูปแบบกระบวนการทำงานแบบ Waterfall
รูปแบบกระบวนการทำงานแบบ Adapted Waterfall
ขั้นตอนการทำงานของ Waterfall
ขั้นตอนการทำงาน อาจจะมี 5-6 ขั้นตอน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามขอบเขตของการทำงาน โดยมีตัวอย่างขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นตอนของการวางแผนการทำงาน
- ระบุหัวข้อในการทำงาน หรือความต้องการของผู้ใช้
- ระบุผู้ที่รับผิดชอบงาน
- ระบุระยะเวลาในการดำเนินงาน
ขั้นตอนที่ 2 เป็นขั้นตอนของการออกแบบงาน
- ทำการออกแบบในส่วนที่ได้รับมอบหมาย
ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการพัฒนาระบบ
- นำงานที่เราออกแบบไว้ในแต่ละส่วน มาทำเป็นตัวชิ้นงาน
- เชื่อมต่องานในแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน
ขั้นตอนที่ 4 เป็นขั้นตอนการทดสอบระบบ
- นำงานที่เราพัฒนาแล้วมาทดสอบ
- บันทึกการทดสอบในแต่ละครั้ง
- ตรวจสอบความผิดพลาด
ขั้นตอนที่ 5 เป็นขั้นตอนการนำไปใช้
- ส่งมอบให้กับผู้ใช้
ข้อดีของ Waterfall Model
-คือมีการสร้างเอกสารในทุกๆ ขั้นตอนหรือทุกระยะ
-ดำเนินงานที่ละขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ง่าย
-ขอบเขตงานชัดเจน
-เหมาะกับระบบขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อน
ข้อเสียของ Waterfall Model
-ผู้ใช้ได้เห็นระบบเมื่อผ่านขั้นตอนการพัฒนาไปแล้ว ทำให้กลับมาแก้ไขได้ยาก
– ไม่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
-ต้องมีการวางแผนที่ดี
***เนื่องจากการทำงานแบบ Waterfall เมื่อมีข้อผิดพลาดในส่วนใดส่วนหนึ่ง จะไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เราสามารถนำวีธีการ Adapted Waterfall มาประยุกต์ใช้เพื่อให้ระบบของเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสร็จสมบูรณ์
ศึกษาความแตกต่างของการใช้ Waterfall Model กับ Agile Model