พระพุทธศาสนาฝึกคนไม่ให้ประมาทหมายความว่าอย่างไร

การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นคติธรรมหลักของ ไตรลักษณ์ หรือ อนิจจลักษณะ เป็นธรรมดาของโลก 3 ประการ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนตกอยู่ในสภาพ 3 ประการนี้ ไม่เว้นแม้แต่ พระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรมศาสดาของโลก

พระท่านจึงได้นำคติธรรม ไตรลักษณ์ นี้มาเป็น หลักธรรมปฏิบัติ ในวันวิสาขบูชา คือ ความกตัญญู อริยสัจ 4 และ ความไม่ประมาท

ความกตัญญู ถือเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า “ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี” โดยเฉพาะ ความกตัญญูต่อบิดามารดา หลังจากที่ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า แล้ว ก็ได้เสด็จขึ้นไปโปรด พระนางสิริมหามายา พระมารดาที่สิ้นพระชนม์หลังคลอดพระองค์ได้เพียง 7 วัน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังเสด็จไปโปรด พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาถึงพระราชวังที่ประทับ เมื่อพระราชบิดาประชวรหนักใกล้สวรรคต พระพุทธองค์ ก็ยังเสด็จไปโปรดจนพระราชบิดาบรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์และนิพพานในพระราชวังในวันนั้นเอง

อริยสัจ 4 เป็น หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ซึ่งเป็นหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาชีวิต ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดังนี้

1.ทุกข์ เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นสภาวะที่บีบคั้นทนได้ยาก เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพลาดจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวัง ทุกข์ ก็คือ อุปทานขันธ์ หรือ ขันธ์ 5 อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

2.สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็นโน่นเป็นนี่

3.นิโรธ คือ การดับทุกข์ หรือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ด้วยการ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งก็คือ ตัณหา 3 อย่างในสมุทัยนั่นเอง

4.มรรค เป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การดับทุกข์ มีองค์ประกอบ 8 ประการ หรือ มรรค 8 คือ 1.มีความเห็นชอบ 2.มีดำริชอบ หรือคิดชอบ 3.มีสัมมาวาจา การเจรจาชอบ 4.ทำการงานชอบ 5.สัมมาอาชีวะทำมาหากินด้วยอาชีพอันชอบธรรม 6.มีความพยายามชอบ 7.มีความระลึกชอบ 8.มีความตั้งใจชอบ มรรค 8 นี้จะเรียกว่า “ทางสายกลาง” ก็ได้ คือไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งจนสุดโต่งเกินไป

ความไม่ประมาท เป็น ปัจฉิมโอวาท ของ พระพุทธเจ้า ถือเป็นสุดยอดคำสอนที่ชาวพุทธทุกคนพึงนำไปปฏิบัติ คือ “การมีสติอยู่ทุกเมื่อ” หรือ “ความไม่ประมาทในกาลทุกเมื่อ” เพื่อไม่ให้มีความทุกข์ร้อนใจ อันเกิดจากอำนาจกิเลสเข้าครอบงำ พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า “พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่านให้ถึงพร้อมด้วย “ความไม่ประมาท” เถิด”

หลักธรรม 3 อย่างที่ผมนำมาเล่าสู่กันอ่านนี้ ความกตัญญูอริยสัจ 4 และ ความไม่ประมาท ล้วนเป็นหลักธรรมที่คนธรรมดาเราท่านสามารถปฏิบัติได้ โดยไม่ต้องใช้ความรู้ลึกซึ้งอะไรมาก แค่ใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ก็สามารถปฏิบัติได้แล้ว

คนเราเมื่อ จิตตกอยู่ในสมุทัยตัณหา มรรคแปดก็ดับสิ้น ลืมปัจฉิมโอวาท สติก็หายไป ความประมาทก็เข้าครอบงำ แล้วความวิบัติก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจงฝึกให้จิตมีสติอยู่เสมอ แล้วความประมาทก็จะไม่เกิดขึ้น ความสุขทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นเอง.

ความไม่ประมาทเป็นหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา

เมื่อพระพุทธองค์ใกล้จะเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้รับสั่งเป็นปัจฉิมวาจา ซึ่งเป็นพระวาจาสุดท้ายก่อนปรินิพาน ความว่า :

“หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว, วยธมฺมา สงฺขารา, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ”

แปลความว่า :

“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอพูดกับเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม”

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวในหนังสือเรื่อง จาริกบุญ จาริกธรรม (หน้า 265) ไว้ว่า :

“พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พระองค์ตรัสปัจฉิมวาจานี้ไว้ เราจะต้องให้ความสำคัญเหมือนกับเป็นวาจาสั่งเสียของพ่อแม่ เพราะทรงเป็นพระบิดาของพระศาสนาทั้งหมด วาจาที่ตรัสเตือนให้ไม่ประมาทนี้ จะต้องนำมาประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริงจัง”

อันที่จริงปัจฉิมวาจาของพระพุทธองค์นั้น ทรงเตือนในหลักธรรมสองประการ ประการแรกคือความว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา” ซึ่งหมายถึงหลักอนิจตา คือความเป็นของไม่เที่ยง หรือภาวะที่สังขารทั้งปวงเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่คงที่
ส่วนหลักธรรมประการที่สอง คือความไม่ประมาท

อันที่จริงเมื่อพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่า หลักธรรมทั้งสองประการนี้มีความเกี่ยวพันกันอยู่ กล่าวคือ เมื่อเรารำลึกอยู่เสมอว่า สรรพสิ่งและสภาวะต่างๆ ล้วนไม่เที่ยง ล้วนไม่คงที่

ฉะนั้นเราอย่าตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาททำให้ยึดติดมั่นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมั่นคงแน่นอนทั้งนั้น ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงและดับสูญไปในที่สุด

แท้แต่พระพุทธองค์ก็ต้องทรงอยู่ภายใต้หลักของสังสารวัฏ ต้องทรงชรา ทรงอาพาธ และต้องปรินิพพานในที่สุด

ความประมาท จึงเป็นความยึดถือติด ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง คิดเสียว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมคงที่

พระพุทธองค์จึงทรงเตือนก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่า อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เพื่อจะได้เห็นถึงลักษณะของความเป็นอนิจจัง คือความไม่คงที่ของสังขารทั้งหลาย

พระพุทธศาสนา เน้นเป็นอย่างยิ่งถึงเรื่อง ความไม่ประมาท วิธีให้เกิดความไม่ประมาทนั้นก็คือการมีสติ

คำว่า “สติ” หมายถึงความรำลึกได้ นึกได้ การคุมจิตไว้ในกิจที่เรากำลังกระทำ ถ้าเรามีสติเสียแล้วก็ย่อมไม่เผลอตัว หลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งมั่นคงแน่นอน

ท่านติช นัท ฮันห์ พระเวียดนามในนิกายเซ็น จึงเรียกสติว่า เป็นการตื่นอยู่เสมอ

ท่านบอกว่า แม้เวลากินส้มหรือล้างจาน ก็ให้กำหนดจิตให้อยู่ที่การปอกเปลือก การแกะกลีบส้ม การเอาส้มเข้าปาก การเคี้ยว และการกลืนส้มในที่สุด หรือในการล้างจานก็ให้กำหนดจิตอยู่ตามขั้นตอนต่างๆ ของการทำความสะอาดจานชาม

ท่านเรียกการมีสติ คือการตื่นอยู่เสมอ กล่าวคือให้มีสติในทุกกิริยาของชีวิตทีเดียว

เมื่อคนเรามีสติในการกระทำต่างๆ เสียแล้ว เราสามารถดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทได้

เราสามารถมองเห็นบทบาทของสติและความไม่ประมาทในการข้ามถนน

ทุกวันนี้คนเดินข้ามถนนในกรุงเทพฯ ต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้นอกจากการจราจรจะคับคั่งแล้ว การขับรถบนถนนในกรุงเทพฯนั้น ผู้ขับขี่มักไม่มีความระมัดระวังหรือคำนึงถึงความปลอดภัยของคนเดินข้ามเลย ฉะนั้นคนข้ามถนนต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ด้วยการมีสติในการเดินข้าม จึงรอดพ้นการถูกรถชนไปได้

คนข้ามถนน ต้องมีสติ หรือตื่นอยู่เสมอ ดูซ้ายดูขวาให้ดี เห็นพอมีช่องว่างและมีระยะพอข้ามไปได้ จึงเดินข้าม อย่างนี้เรียกว่า ไม่ตั้งอยู่ในความประมาทในการเดินข้ามถนน

ตรงกันข้าม ถ้าเดินข้ามหรือวิ่งข้าม ไม่มองตาม้าตาเรือ ก็มีหวังถูกรถชนต้องบาดเจ็บล้มตายแน่นอน เพราะขาดสติ เรียกว่าเป็นการตั้งอยู่ในความประมาทในการเดินข้ามถนน

การฝึกจิตให้มีสมาธิ หรือเป็นจิตที่ตื่นอยู่เสมอ เรียกว่าสมาธิ หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Concentration

เวลาฝึกสมาธิในบ้านเรา นิยมให้กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าตามลมหายใจออกตลอดเวลา หรือจะฝึกสมาธิด้วยการเดินก็ได้ ก้าวเท้าซ้าย ก็ให้รู้ว่าได้ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา ก็ให้รู้ว่าได้ก้าวเท้าขวา นี่ก็คือการฝึกเดินจงกรม เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ท่านติช นัท ฮันห์ ให้กำหนดจิตให้รู้ตัวทุกขั้นตอนของทุกกิริยาบทก็ว่าได้ เป็นการกำหนดจิตให้ตื่นรู้ตัวอยู่เสมอ ก็เช่นเดียวกันนั่นเอง

การฝึกจิตให้ตื่นอยู่เสมอ เป็นการฝึกให้จิตได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ใช้ได้กับการดำรงชีวิตทั่วๆ ไปได้ด้วย

ไหนๆ ได้พูดมาถึงแค่นี้แล้ว ขอออกนอกเรื่อง แต่เกี่ยวข้องกัน เรียกว่าออกไปอีกสักหน่อยก็คงได้!

คู่กับคำว่า สมาธิ มีคำว่า วิปัสสนา คำนี้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Meditation

วิปัสสนาเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากมีสมาธิแล้ว จึงมักใช้ต่อเนื่องกันเป็นสมาธิวิปัสสนา

วิปัสสนาเป็นการฝึกอบรมทางปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งชัดของสภาวะความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นการพิจารณาด้วยปัญญา ถึงลักษณะไตรลักษณ์ของเบญจขันธ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

การฝึกสมาธิ มีประโยชน์ แม้แต่การดำรงชีวิตของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เป็นการผึกให้ตัวเองตื่นอยู่เสมอ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

แต่เมื่อก้าวถึงขั้นวิปัสสนาแล้ว หมายถึงการแสวงหาทางปัญญา ให้เกิดความเข้าใจถึงพื้นฐานสำคัญของชีวิต ว่าไม่มีความมั่นคงแน่นอน มีแต่ความเปลี่ยนแปลงและปวดร้าว และไม่มีตัวตนให้ยึดถือเป็นจริงจัง เป็นการพิจารณาด้วยปัญญาเพื่อความหลุดพ้นทีเดียว

ออกนอกเรื่องไปมากแล้ว ขอวกกลับมาเรื่องความไม่ประมาท

พระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่การไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

ในเรื่องเบญจศีล หรือศีลห้านั้น ท่านบัญญัติไว้ในศีลข้อที่ห้า ห้ามไม่ให้ดื่มน้ำเมา เพราะท่านเห็นว่าการดื่มสุรา ย่อมทำให้เกิดอาการมึนเมา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ตั้งอยู่ในความประมาท

คนเราเมื่อเมาแล้วย่อมขาดความยั้งคิด สามารถประพฤติปฏิบัติในสิ่งนอกลู่นอกทางได้ เพราะขาดสติ พอสร่างเมาแล้ว บางทีก็ได้คิด เกิดความเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำไปในเวลามึนเมา

สมัยนี้มีการรณรงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินในการจราจร มีคำขวัญว่า “เมาแล้วไม่ขับ!”

ก็เป็นเรื่องตรงกับหลักของพระพุทธศาสนา อันที่จริงการรณรงค์เรื่อง “เมาแล้วไม่ขับ” จึงเป็นเรื่องความไม่ตั้งอยู่ในความประมาทนั่นเอง

มีพุทธภาษิตบทหนึ่ง ความว่า “ปมาโท มจฺจุโน ปทํ” แปลความว่า “ความประมาทเป็นหนหางแห่งความตาย”

การตั้งอยู่ในความประมาท ปรากฏในรูปแบบต่างๆ กันมากมาย

การหลงตน คือการคิดว่าตนเก่งหรือวิเศษกว่าคนอื่น ก็เป็นการตั้งอยู่ในความประมาทประการหนึ่งเหมือนกัน

เป็นการคิดว่าไม่มีใครหรือฝ่ายอื่น มีความสามารถเท่าเทียมตนได้! เห็นคนอื่นโง่หรือมีความสามารถสู้ตนไม่ได้ เหล่านี้ล้วนเป็นอาการของคนหลงตัวเอง เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาททั้งนั้น

อาการอีกอย่างหนึ่งของคนตั้งอยู่ในความประมาท มักเป็นคนพูดมาก พูดโดยไม่ยั้งคิด ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนจึงพูด รู้อะไรได้ คิดอะไรได้ ก็โพล่งออกมา

คนอย่างนี้ไม่ใช่คนตรงไปตรงมา ใจคิดอะไร ปากก็พูดไปอย่างนั้น!

แท้ที่จริงคนเช่นนี้ เป็นคนตั้งอยู่ในความประมาท ไม่รู้จักยั้งคิด พิจารณาเสียก่อนว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ต่างหาก!
ครั้งหนึ่ง ผมไปหาท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่บ้านท่าน มีฝรั่งคนหนึ่ง คงรู้จักท่านมาก่อนมาหา ได้คุยกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงเรื่องศาสนาและปรัชญา ผมก็นั่งฟัง

ตอนหนึ่งฝรั่งคนนั้นบอกว่า คนเป็นคริสต์ศาสนิกชนก็คือคนที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า เขาตั้งคำถามว่า จะพรรณนาอย่างไรสั้นๆ ให้ได้เห็นลักษณะสำคัญของพุทธมามกะ?

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ หยุดคิดสักครู่หนึ่งแล้ว ท่านตอบฝรั่งคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมได้เขียนจดเอาไว้ ท่านบอกว่า “A Buddhist is a man who hopes for the best and prepares for the worst.”

แปลว่า “พุทธมามกะคือ ผู้ที่หวังผลเลิศทุกประการ แต่ก็เตรียมรับผลร้ายที่สุดทุกประการเหมือนกัน”

คำพูดของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ดังกล่าวนี้ ก็คือคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่สอนให้คนไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ต้องเตรียมรับเหตุการณ์ทั้งดีทั้งร้าย

บทความนี้เป็นเรื่องแรกของพุทธศักราช 2548

จึงขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและมวลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านทุกท่านประสบความสุขเจริญทุกประการตลอดปีใหม่นี้

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน อาจารย์ ตจต ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf lmyour แปลภาษา ชขภใ ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 ขขขขบบบยข ่ส ศัพท์ทางทหาร military words หนังสือราชการ ตัวอย่าง หยน แปลบาลีเป็นไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง พจนานุกรมศัพท์ทหาร เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษามลายู ยาวี Bahasa Thailand กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ การ์ดจอมือสอง ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย คะแนน o-net โรงเรียน ค้นหา ประวัติ นามสกุล บทที่ 1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา ร. ต จ แบบฝึกหัดเคมี ม.5 พร้อมเฉลย แปลภาษาอาหรับ-ไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน PEA Life login Terjemahan บบบย มือปราบผีพันธุ์ซาตาน ภาค2 สรุปการบริหารทรัพยากรมนุษย์ pdf สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม เช็คยอดค่าไฟฟ้า แจ้งไฟฟ้าดับ แปลภาษา มาเลเซีย ไทย แผนที่ทวีปอเมริกาเหนือ ่้แปลภาษา Google Translate กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ข้อสอบโอเน็ตม.3 มีกี่ข้อ คะแนนโอเน็ต 65 ตม กรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง