ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
ระบบไหลเวียนเลือด ประกอบด้วยเลือด หัวใจ หลอดเลือด และระบบน้ำเหลือง หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เปรียบเสมือนระบบขนส่งของร่างกายที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร น้ำ แก๊ส โดยเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และพาเอาของเสียจากการเผาผลาญสารอาหาร เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกที่ปอด
ความสำคัญของระบบไหลเวียนเลือด
ระบบไหลเวียนเลือดเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างเลือด (Blood) หัวใจ (Heart) หลอดเลือดแดง (Artery) หลอดเลือดดำ (Vein) และหลอดเลือดฝอย (Blood Capillary) และระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System) การทำงานของระบบไหลเวียนมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
1. หัวใจทำหน้าที่บีบตัวเพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจโดยเฉพาะห้องล่างซ้าย ในภาวะปกติจะบีบตัวให้เลือดไหลประมาณ 70 มิลลิลิตร ต่อ 1 ครั้ง ของการบีบตัว
2. นำแก๊สออกซิเจนส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย โดยมีเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีสารเฮโมโกลบิน (Haemoglobin) เป็นตัวนำออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ร่างกาย
3. ขนส่งน้ำและเกลือแร่ต่างๆ ไปสู่เซลล์ โดยน้ำของเลือดหรือพลาสมา (Plasma) ซึ่งมีร้อยละ 5 ของน้ำหนักของร่างกาย ทั้งนี้น้ำของเลือดจะมีส่วนประกอบคือน้ำและสารอาหารที่ร่างกายพร้อมที่จะนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ คือ กลูโคส กรดไขมัน กรดอะมิโน วิตามิน แก๊สต่าง ๆ ฮอร์โมน (Hormone) และ อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) เป็นต้น
4. นำแอนติบอดี (Antibodies) ที่เป็นภูมิคุ้มกันโรค โดยอาศัยกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรค (Antibodies) เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปให้เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
5. นำฮอร์โมนไปให้เซลล์ โดยฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไร้ท่อจะเข้าไปในหลอดเลือดโดยตรง เนื่องจากต่อมดังกล่าวไม่มีท่อ ฮอร์โมนแต่ละชนิดได้นำเอนไซม์ (Enzyme) ไปให้เซลล์ต่างๆ เพื่อช่วยในการเผาผลาญอาหาร
ประเภทของระบบไหลเวียนเลือด แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. ระบบเปิด เป็นระบบที่เลือดไม่ได้ไหลไปตามเส้นเลือดตลอดเวลาแต่เลือดจะไหลไปตามช่องว่างใน ลำตัวที่เรียกว่า เฮโมซีล (Haemocoel) พบในสัตว์ในไฟลัมมอลลัสกา ได้แก่ หอย ปลาหมึก และสัตว์ในไฟลัมอาร์โทรโพดา ได้แก่ ปู กุ้ง ตะขาบ และแมลง
2. ระบบปิด เป็นระบบที่เลือดไหลไปตามเส้นเลือดผ่านหัวใจครบวงจร ระบบนี้มีเส้นเลือดฝอยเชื่อมโยงระหว่างเส้นเลือดที่พาเลือดออกจากหัวใจ กับเส้นเลือดที่พาเลือดเข้าสู่หัวใจ พบในสัตว์ไฟลัมแอนิลิดา เช่น ไส้เดือนดิน และสัตว์ในไฟลัมคอร์ดาตา หรือพวกมีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ระบบไหลเวียนโลหิตแบบปิด มีอวัยวะที่สำคัญในระบบ คือ หัวใจ เลือด และหลอดเลือด
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด
องค์ประกอบของระบบไหลเวียนเลือด ประกอบด้วย เลือด หัวใจ หลอดเลือด น้ำเหลือง และหลอดน้ำเหลือง มีหน้าที่แตกต่างกันไปตามกระบวนการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด
1. เลือด (Blood) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีแดง ประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า น้ำเลือด หรือ พลาสมา (Plasma) และส่วนที่เป็นของแข็ง คือ เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่
1.1 เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่เกิดในไขกระดูกแดงมีอายุอยู่ได้ประมาณ 120 วัน ก็จะแก่ตัว ซึ่งจะถูกกินและทำลายโดย เซลล์ฟาโกไซต์ (Phagocyte) ในม้าม (Spleen) ตับ และในไขกระดูกแดง รูปร่างของเซลล์จะเป็นแผ่นคล้ายจานและมีส่วนเว้าทั้งสองด้าน ไม่มีนิวเคลียส (Nucleus) ทำหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อและนำแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อ ไปขจัดออกทางปอด โดยในเซลล์มีสารสีม่วงแดงเรียกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เมื่อเลือดไหลผ่านปอด ฮีโมโกลบินจะทำหน้าที่จับออกซิเจนกลายเป็น ออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) ซึ่งมีสีแดงสด และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปส่งให้แก่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายแล้ว ออกซีฮีโมโกลบินจะเปลี่ยนกลับมาเป็นฮีโมโกลบินอีกครั้ง โดยในร่างกายของเพศหญิงจะมีจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ 4.5-5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ซี.ซี. และในเพสชายมีประมาณ 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ซี.ซี.
1.2 เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood Cell) เป็นเซลล์เม็ดเลือดที่มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง มีนิวเคลียสแต่ไม่มีฮีโมโกลบิน สามารถเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ ลอดผ่านผนังหลอดเลือดขนาดเล็กเข้าสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้ ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ แกรนูโลไซต์ (Granulocyte) เป็นพวกที่มีแกรนูล (Granules) ชองไลโซโซม (Lysosome) อยู่จำนวนมากในไซโตพลาสซึม (Cytoplasm) สร้างจากไขกระดูกมีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 2-3 วัน และอะแกรนูโลไซต์ (Agranulocyte) เป็นพวกที่ไม่มีแกรนูลของไลโซโซมซึ่งอยู่ในไซโตพลาสซึม ได้แก่ ต่อมไทมัส (Thymus) ต่อมน้ำเหลือง (Lymph Node) ม้าม (spleen) มีอายุประมาณ 100-300วัน
1.3 เกล็ดเลือด (Pletelet) เป็นส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ใช่เซลล์ แต่จะเป็นส่วนประกอบชิ้นเล็ก ๆ ของเซลล์ ซึ่งปกติจะมีรูปร่างคล้ายจานแบน ๆ มีขนาดเล็ก ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส ทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผลขึ้น โดยการแข็งตัวของเลือดจะเกิดขึ้น เมื่อมีเลือดไหลออกจากบาดแผล เลือดก็จะเปลี่ยนเป็นลิ่มคล้ายวุ้น เรียกว่า ลิ่มเลือด ประกอบด้วยไฟบริน (Fibrin) โดยมีเกล็ดเลือดเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยา ลิ่มเลือดทำหน้าที่ช่วยห้ามเลือดและป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล
2. หัวใจ (Heart) เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในระบบไหลเวียนโลหิต มีขนาดเท่ากำปั้นของบุคคลผู้เป็นเจ้าของ ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง วึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของร่างกายมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ เยื่อหุ้มหัวใจ มีลักษณะเป็นถุงหุ้มอยู่รอบๆ หัวใจ มีหน้าที่ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับหัวใจ และช่วยให้หัวใจมีการเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ไม่เสียดสีกัน และ ผนังหัวใจ ซึ่งจะประกอบไปด้วยผนัง 3 ชั้น คือ เอ็พพิคาร์เดียม (Epicardium) จะอยู่ชั้นนอกสุด มัยโอคาร์เดียม (Myocardium) อยู่ชั้นกลาง และเอนดดนคาร์เดียม (Endocardium) อยู่ชั้นในสุด ภายในหัวใจแบ่งออกเป็น 4 ห้อง คือ ข้างบน 2 ห้อง และข้างล่าง 2 ห้อง โดยมีลิ้นหัวใจกั้นระหว่างห้องบนและห้องล่าง ซึ่งแต่ละห้องมีหน้าที่โดยเรียงลำดับตามการไหลเวียนโลหิตของหัวใจ ดังนี้
ส่วนประกอบและหน้าที่ของหัวใจทั้ง 4 ห้อง
หัวใจห้องบนขวา (Right Atrium)เป็นช่องที่รับเลือดเสียหรือเลือดดำจากทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งนำมาโดยหลอดเลือด 3 เส้น คือ หลอดเลือดใหญ่บน จะรับเลือดจากส่วนบนของร่างกาย หลอดเลือดดำใหญ่ล่าง จะรับเลือดจากส่วนล่างของร่างกายและโพรงโลหิตดำของหัวใจ จะรับเลือดจากกล้ามเนื้อหัวใจเอง หัวใจห้องบนขวาเปิดสู่หัวใจหัวใจห้องล่างขวาผ่านลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid Valve) ซึ่งกั้นอยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง ลิ้นนี้จะปิดตอนหัวใจห้องล่างบีบตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจห้องบนขวา
หัวใจห้องบนซ้าย (Left Atrium)รับเลือดดีหรือเลือดแดงจาดปอด ซึ่งถูกส่งมาทางหลอดเลือดดำจากปอดสู่หัวใจและเปิดเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ผ่านลิ้นไบคัสปิด (Bicuspid Valve) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนลิ้นไตรคัสปิด
หัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricle) รับเลือดดีจากหัวใจห้องบนซ้าย แล้วส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หัวใจห้องนี้จะทำงานหนักที่สุด จึงมีผนังหัวใจหนาที่สุด การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายจะผ่านทางหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งภายในมีลิ้นเอออร์ติก (Aortic Valve) ลักษณะคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ปิดกั้นไม่ให้เลือดไหลกลับ ซึ่งหัวใจห้องล่างขวาและซ้ายจะบีบตัวพร้อมกัน
หัวใจห้องล่างขวา (Right Ventricle)รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งเลือดไปฟอกที่ปอด เนื่องจากหัวใจห้องล่างต้องทำหน้าที่สูบฉีดไปยังปอด ผนังจึงหนากว่าหัวใจห้องบน ส่วนที่อยู่ในหัวใจจะมีลิ้นลักษณะเป็นเสี้ยวจันทร์เรียกว่า ลิ้นเซมิลูนาร์ (Semilunar Valve) ซึ่งป้องกันไม่ให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจห้องล่างในขณะที่หัวใจห้องล่างคลายตัว
3. หลอดเลือด (Blood Vessels) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
3.1 หลอดเลือดแดง (Artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ฉะนั้นหลอดเลือดแดงจึงเป็นเส้นทางนำเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูง ไปยังหลอดเลือดฝอย เพื่อนำไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป
3.2 หลอดเลือดดำ (Vein) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับสู่หัวใจซึ่งเลือดที่อยู่ในหลอดเลือดดำมีปริมาณของออกซิเจนอยู่น้อย
3.3 หลอดเลือดฝอย (Capillary) เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กมาก มีหน้าที่นำเลือดจากหลอดเลือดแดงไปยังเซลล์ และนำเลือดดำจากเซลล์ไปยังหลอดเลือดดำ หลอดเลือดฝอยจึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมโยงระบบไหลเวียนโลหิตระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ซึ่งทำให้ระบบไหลเวียนเลือดสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ระบบน้ำเหลือง เป็นระบบลำเลียงสารต่าง ๆ ให้กลับเข้าสู่เส้นเลือด โดยเฉพาะสารอาหารพวกกรดไขมันที่ดูดซึมจากลำไส้เล็ก ระบบน้ำเหลืองประกอบไปด้วย น้ำเหลือง (Lymph) ท่อน้ำเหลือง (Lymph vessel) และอวัยวะน้ำเหลือง (Lymphatic organ)ระบบน้ำเหลืองจะไม่มีอวัยวะสำหรับสูบฉีดไปยังส่วนต่าง ๆ
น้ำเหลือง (Lymph) ส่วนประกอบของน้ำเหลืองคล้ายกับในเลือดแต่ไม่มีเม็ดเลือดแดง เป็นของเหลวที่ซึมผ่านผนังเส้นเลือดฝอยออกมาอยู่ระหว่างเซลล์หรือรอบๆ เซลล์ เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ ในน้ำเหลืองจะมีโปรตีนโมเลกุลเล็ก เช่น อัลบูมิน และสารที่มีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น แก๊ส น้ำ น้ำตาลกลูโคส
ท่อน้ำเหลือง (Lymph vessel) เป็นท่อตันมีอยู่ทั่วร่างกายมีขนาดต่าง ๆ กัน มีลักษณะคล้ายเส้นเลือดเวน คือมีลิ้นกั้นป้องกันการไหลกลับของน้ำเหลือง การไหลเวียนน้ำเหลืองประกอบด้วยร่างแหของหลอดน้ำเหลืองที่กระจายทั่วร่างกาย ซึ่งลำเลียงน้ำเหลืองกลับเข้าสู่กระแสเลือด
แหล่งที่มา: กุสุมาวดี คำเกลี้ยง และคณะ. สุขศึกษา 5. กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์เอมพันธ์, 2558.