MOBILE
ยาเลื่อนประจำเดือน (Period Delay Tablets)
✅ บทความนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว
KEY POINTS:
- การกินยาเลื่อนประจำเดือนให้มาช้าลง ควรกินก่อนถึงรอบประจำเดือนหรือก่อนประจำเดือนจะมาวันแรกอย่างน้อย 3 วัน หรือกินก่อนตั้งแต่ 7-3 วัน กินต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อหยุดยาประจำเดือนจะมาภายใน 2-3 วัน
- การกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนรอบเดือนแค่ 1 วัน ทำให้การเลื่อนประจำเดือนไม่สำเร็จ เนื่องจาก 1 วันก่อนหน้านั้นเยื่อบุโพรงมดลูกจะเริ่มหลุดลอกแล้ว อาจช่วยแค่ทำให้เลือดประจำเดือนมาน้อยลงเท่านั้น
- ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาเลื่อนประจำเดือนคือ หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันหรือเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตันทั้งคนที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ คนที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตับทำงานผิดปกติ ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นมะเร็งเต้านม
Table of
Contents
ยาเลื่อนประจำเดือนคืออะไร?
ยาเลื่อนประจำเดือนออกฤทธิ์อย่างไร?
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือน
ชื่อทางการค้าของยาเลื่อนประจำเดือน
ข้อห้ามในการใช้ยาเลื่อนประจำเดือน
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการยาเลื่อนประจำเดือน
ยาเลื่อนประจำเดือนคืออะไร?
ยาเลื่อนประจำเดือน (Period Delay Tablets) คือ ยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ ใช้สำหรับรับประทานเพื่อให้ประจำเดือนมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีความจำเป็นหรือต้องการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ประจำเดือนอาจเป็นอุปสรรคได้ เช่น เดินทางท่องเที่ยว ไปทำงานต่างจังหวัด ฯลฯ
โดยยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้กันมาก คือตัวยา นอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) ชื่อทางการค้าคือ PRIMOLUT-N 5 mg ตัวยาจะใช้ได้ผลดีกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออาจใช้ไม่ได้ผลเท่า
ยาเลื่อนประจำเดือนออกฤทธิ์อย่างไร?
ตามปกติเมื่อถึงช่วงแรกของรอบเดือนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดล่อนออกมากลายเป็นเลือดประจำเดือน แต่เมื่อเรากินยาเลื่อนประจำเข้าไปซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอยู่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกยังสามารถเกาะผนังมดลูกได้ จึงทำให้ไม่มีประจำเดือนนั่นเอง นอกจากใช้เลื่อนประจำเดือนแล้ว ยังใช้รักษาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาการเลือดออกที่โพรงมดลูกได้อีกด้วย
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือน
รูปแบบการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือนจะต้องใช้ติดต่อกันไม่เกิน 14 วัน ทำได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
- เลื่อนประจำเดือนให้มาเร็วขึ้น (เลื่อนเข้า) ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนวันที่จะถึงรอบเดือนจริงๆ ประมาณ 10-14 วัน เช่น รอบเดือนปกติจะมาวันที่ 19 ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนตั้งแต่วันที่ 5 แล้วกินต่อไป 5 วันจนถึงวันที่ 9 แล้วหยุดกิน หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ประจำเดือนจะเริ่มมา ซึ่งจะมาตรงกับวันที่ 11-12 สรุปคือประจำเดือนจะมาเร็วกว่ารอบเดือนปกติ 7 วัน
- เลื่อนประจำเดือนให้มาช้าลง (เลื่อนออก) ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนวันที่จะถึงรอบเดือนจริงๆ ประมาณ 3-7 วันเช่น รอบเดือนปกติจะมาวันที่ 19 ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนช้าสุดคือวันที่ 16 รับประทานสูงสุดไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อหยุดยาแล้วประจำเดือนจะมาปกติภายใน 2-3 วัน แต่สำหรับบางคนประจำเดือนอาจจะมาหลังหยุดยา 7 วันก็เกิดขึ้นได้ แต่หากนานเกิน 7 วันให้ลองตรวจการตั้งท้องด้วยที่ตรวจครรภ์ เพราะอาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
วิธีรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด โดยผู้ที่น้ำหนักน้อยกว่า 65 กก. ให้รับประทานทุก 12 ชม. (วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น) หากน้ำหนักตัวตั้งแต่ 65 กก. ขึ้นไป ให้รับประทานทุก 8 ชม. (วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น) โดยสามารถรับประทานหลังอาหาร 30 นาทีหรือพร้อมมื้ออาหารก็ได้
ชื่อทางการค้าของยาเลื่อนประจำเดือน
ยาเลื่อนประจำเดือนมีตัวยาชื่อว่า นอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) ที่จำหน่ายในท้องตลาด มีชื่อการค้า Primolut-N, Steron, Norca ประกอบด้วยยานอร์เอทีสเตอโรน ขนาดยา 5 มก. ต่อ 1 เม็ด
ข้อห้ามในการใช้ยาเลื่อนประจำเดือน
การใช้ยาเลื่อนประจำเดือนไม่ควรใช้เกิน 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ ห้ามใช้แทนยาคุมกำเนิด นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ควรรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน คือกลุ่มคนดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากยาอาจส่งผลให้อวัยวะเพศของทารกในครรภ์เจริญผิดปกติ
- ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนมไปสู่เด็กได้ ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับเด็ก
- ผู้ที่มีประวัติเป็นลิ่มเลือดอุดตันหรือมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง เพราะยาจะเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้
- ผู้ที่เป็นโรคตับรุนแรง หรือมะเร็งตับ เนื่องจากยาจะต้องถูกกำจัดที่ตับ ทำให้ตับทำงานหนัก
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือเคยเป็นมะเร็งเต้านม แม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ายาเลื่อนประจำเดือนกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงรับประทาน
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
- อาการข้างเคียงที่พบบ่อยมาก (สามารถพบได้ 1 ใน 10 ของผู้ที่ใช้ยาเลื่อนประจำเดือนนอร์เอทีสเตอโรน) คือ เลือดออกกระปริดกระปรอย รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ตัวบวม ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น (น้ำหนักขึ้น) คัดตึงเต้านม
- อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ไมเกรน การมองเห็นผิดปกติ คลอเลสเตอรอลสูง
- อาการข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก เช่น ซึมเศร้า มะเร็งเต้านม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการยาเลื่อนประจำเดือน
1. ยาเลื่อนประจำเดือนราคาเท่าไหร่?
ยี่ห้อ Primolut-N แผงละ 15 เม็ด บรรจุกล่องละ 2 แผง ราคาแผงละ 100 บาท ขึ้นไป กล่องละ 200 บาท ขึ้นไป ยี่ห้อ Steron แผงละ 10 เม็ด ราคาแผงละ 50 บาทขึ้นไป
2. ยาเลื่อนประจําเดือนซื้อที่ไหน?
สามารถซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป ที่มีเภสัชกรประจำคอยให้คำปรึกษา เนื่องจากต้องซักประวัติโรคประจำตัว ข้อควรระวัง หรือข้อห้ามใช้ยาเลื่อนประจำเดือนก่อน
3. ยาเลื่อนประจำเดือนสามารถช่วยคุมกำเนิดได้หรือไม่?
ไม่ได้ เนื่องจากยาเลื่อนประจำเดือนไม่มีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด การจะคุมกำเนิดควรใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ การกินยาคุมกำเนิด หรือวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด
4. กินยาเลื่อนประจําเดือนตอนประจำเดือนมาแล้วได้หรือไม่?
ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้มีประจำเดือนน้อยลง หรือปริมาณประจำเดือนน้อยลง ไม่สามารถใช้เลื่อนประจำเดือนได้
5. กินยาเลื่อนประจําเดือนก่อนประจำเดือนมา 1 วันได้หรือไม่?
ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่สมบูรณ์ 100% เพราะระยะเวลาไม่เพียงพอที่จะไปเพิ่มฮอร์โมนในร่างกายและส่งผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้วันต่อไปมีประจำเดือนมาได้อยู่ ควรกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อน 3 วันเป็นอย่างน้อย
6. ยาเลื่อนประจําเดือนกินก่อนหรือหลังอาหาร?
กินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนอาหารหรือหลังอาหารหรือพร้อมมื้ออาหารก็ได้ ผู้ใดที่กินแล้วมีอาการคลื่นไส้มากแนะนำให้กินหลังอาหาร 30 นาที หรือพร้อมมื้ออาหาร
7. ยาเลื่อนประจําเดือนเลื่อนได้กี่วัน?
หากยังคงกินยาเลื่อนประจำเดือนต่อเนื่อง ประจำเดือนจะยังไม่มาจนกว่าจะหยุดยา ประจำเดือนจะมาหลังหยุดยาไปแล้ว 2-3 วัน บางคนอาจนานถึง 7 วัน แต่ข้อบ่งใช้ของยาเลื่อนประจำเดือนคือ ห้ามทานติดต่อกันเกิน 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
8. กินยาเลื่อนประจําเดือนแล้วปวดท้อง อันตรายหรือไม่?
หากไม่เคยรับประทานอาจเป็นอาการข้างเคียงได้ ซึ่งจะหายเองเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวกับยาได้หรือเมื่อรับประทานหลังอาหาร 30 นาทีหรือพร้อมมื้ออาหาร แต่หากรับประทานบ่อยหรือต่อเนื่องแล้วมีอาการปวดท้องควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับ โรคของถุงน้ำดี ตับอ่อนอักเสบ หรือเส้นเลือดในช่องท้องอุดตัน
✅ ตรวจสอบข้อมูลโดย
แหล่งข้อมูล
ยาเลื่อนประจำเดือน (Period Delay Tablets)
✅ บทความนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว
KEY POINTS:
- การกินยาเลื่อนประจำเดือนให้มาช้าลง ควรกินก่อนถึงรอบประจำเดือนหรือก่อนประจำเดือนจะมาวันแรกอย่างน้อย 3 วัน หรือกินก่อนตั้งแต่ 7-3 วัน กินต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อหยุดยาประจำเดือนจะมาภายใน 2-3 วัน
- การกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนรอบเดือนแค่ 1 วัน ทำให้การเลื่อนประจำเดือนไม่สำเร็จ เนื่องจาก 1 วันก่อนหน้านั้นเยื่อบุโพรงมดลูกจะเริ่มหลุดลอกแล้ว อาจช่วยแค่ทำให้เลือดประจำเดือนมาน้อยลงเท่านั้น
- ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาเลื่อนประจำเดือนคือ หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันหรือเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตันทั้งคนที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ คนที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตับทำงานผิดปกติ ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นมะเร็งเต้านม
Table of
Contents
ยาเลื่อนประจำเดือนคืออะไร?
ยาเลื่อนประจำเดือนออกฤทธิ์อย่างไร?
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือน
ชื่อทางการค้าของยาเลื่อนประจำเดือน
ข้อห้ามในการใช้ยาเลื่อนประจำเดือน
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการยาเลื่อนประจำเดือน
ยาเลื่อนประจำเดือนคืออะไร?
ยาเลื่อนประจำเดือน (Period Delay Tablets) คือ ยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ ใช้สำหรับรับประทานเพื่อให้ประจำเดือนมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีความจำเป็นหรือต้องการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ประจำเดือนอาจเป็นอุปสรรคได้ เช่น เดินทางท่องเที่ยว ไปทำงานต่างจังหวัด ฯลฯ
โดยยาเลื่อนประจำเดือนที่ใช้กันมาก คือตัวยา นอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) ชื่อทางการค้าคือ PRIMOLUT-N 5 mg ตัวยาจะใช้ได้ผลดีกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออาจใช้ไม่ได้ผลเท่า
ยาเลื่อนประจำเดือนออกฤทธิ์อย่างไร?
ตามปกติเมื่อถึงช่วงแรกของรอบเดือนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดล่อนออกมากลายเป็นเลือดประจำเดือน แต่เมื่อเรากินยาเลื่อนประจำเข้าไปซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอยู่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกยังสามารถเกาะผนังมดลูกได้ จึงทำให้ไม่มีประจำเดือนนั่นเอง นอกจากใช้เลื่อนประจำเดือนแล้ว ยังใช้รักษาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาการเลือดออกที่โพรงมดลูกได้อีกด้วย
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือน
รูปแบบการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือนจะต้องใช้ติดต่อกันไม่เกิน 14 วัน ทำได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
- เลื่อนประจำเดือนให้มาเร็วขึ้น (เลื่อนเข้า) ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนวันที่จะถึงรอบเดือนจริงๆ ประมาณ 10-14 วัน เช่น รอบเดือนปกติจะมาวันที่ 19 ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนตั้งแต่วันที่ 5 แล้วกินต่อไป 5 วันจนถึงวันที่ 9 แล้วหยุดกิน หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ประจำเดือนจะเริ่มมา ซึ่งจะมาตรงกับวันที่ 11-12 สรุปคือประจำเดือนจะมาเร็วกว่ารอบเดือนปกติ 7 วัน
- เลื่อนประจำเดือนให้มาช้าลง (เลื่อนออก) ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนวันที่จะถึงรอบเดือนจริงๆ ประมาณ 3-7 วันเช่น รอบเดือนปกติจะมาวันที่ 19 ให้เริ่มกินยาเลื่อนประจำเดือนช้าสุดคือวันที่ 16 รับประทานสูงสุดไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อหยุดยาแล้วประจำเดือนจะมาปกติภายใน 2-3 วัน แต่สำหรับบางคนประจำเดือนอาจจะมาหลังหยุดยา 7 วันก็เกิดขึ้นได้ แต่หากนานเกิน 7 วันให้ลองตรวจการตั้งท้องด้วยที่ตรวจครรภ์ เพราะอาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
วิธีรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด โดยผู้ที่น้ำหนักน้อยกว่า 65 กก. ให้รับประทานทุก 12 ชม. (วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น) หากน้ำหนักตัวตั้งแต่ 65 กก. ขึ้นไป ให้รับประทานทุก 8 ชม. (วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น) โดยสามารถรับประทานหลังอาหาร 30 นาทีหรือพร้อมมื้ออาหารก็ได้
ชื่อทางการค้าของยาเลื่อนประจำเดือน
ยาเลื่อนประจำเดือนมีตัวยาชื่อว่า นอร์เอทีสเตอโรน (Norethisterone) ที่จำหน่ายในท้องตลาด มีชื่อการค้า Primolut-N, Steron, Norca ประกอบด้วยยานอร์เอทีสเตอโรน ขนาดยา 5 มก. ต่อ 1 เม็ด
ข้อห้ามในการใช้ยาเลื่อนประจำเดือน
การใช้ยาเลื่อนประจำเดือนไม่ควรใช้เกิน 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ ห้ามใช้แทนยาคุมกำเนิด นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ควรรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน คือกลุ่มคนดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากยาอาจส่งผลให้อวัยวะเพศของทารกในครรภ์เจริญผิดปกติ
- ผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนมไปสู่เด็กได้ ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับเด็ก
- ผู้ที่มีประวัติเป็นลิ่มเลือดอุดตันหรือมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง เพราะยาจะเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้
- ผู้ที่เป็นโรคตับรุนแรง หรือมะเร็งตับ เนื่องจากยาจะต้องถูกกำจัดที่ตับ ทำให้ตับทำงานหนัก
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือเคยเป็นมะเร็งเต้านม แม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ายาเลื่อนประจำเดือนกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงรับประทาน
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาเลื่อนประจำเดือน
- อาการข้างเคียงที่พบบ่อยมาก (สามารถพบได้ 1 ใน 10 ของผู้ที่ใช้ยาเลื่อนประจำเดือนนอร์เอทีสเตอโรน) คือ เลือดออกกระปริดกระปรอย รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ตัวบวม ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น (น้ำหนักขึ้น) คัดตึงเต้านม
- อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ไมเกรน การมองเห็นผิดปกติ คลอเลสเตอรอลสูง
- อาการข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก เช่น ซึมเศร้า มะเร็งเต้านม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการยาเลื่อนประจำเดือน
1. ยาเลื่อนประจำเดือนราคาเท่าไหร่?
ยี่ห้อ Primolut-N แผงละ 15 เม็ด บรรจุกล่องละ 2 แผง ราคาแผงละ 100 บาท ขึ้นไป กล่องละ 200 บาท ขึ้นไป ยี่ห้อ Steron แผงละ 10 เม็ด ราคาแผงละ 50 บาทขึ้นไป
2. ยาเลื่อนประจําเดือนซื้อที่ไหน?
สามารถซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป ที่มีเภสัชกรประจำคอยให้คำปรึกษา เนื่องจากต้องซักประวัติโรคประจำตัว ข้อควรระวัง หรือข้อห้ามใช้ยาเลื่อนประจำเดือนก่อน
3. ยาเลื่อนประจำเดือนสามารถช่วยคุมกำเนิดได้หรือไม่?
ไม่ได้ เนื่องจากยาเลื่อนประจำเดือนไม่มีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด การจะคุมกำเนิดควรใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ การกินยาคุมกำเนิด หรือวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด
4. กินยาเลื่อนประจําเดือนตอนประจำเดือนมาแล้วได้หรือไม่?
ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้มีประจำเดือนน้อยลง หรือปริมาณประจำเดือนน้อยลง ไม่สามารถใช้เลื่อนประจำเดือนได้
5. กินยาเลื่อนประจําเดือนก่อนประจำเดือนมา 1 วันได้หรือไม่?
ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่สมบูรณ์ 100% เพราะระยะเวลาไม่เพียงพอที่จะไปเพิ่มฮอร์โมนในร่างกายและส่งผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้วันต่อไปมีประจำเดือนมาได้อยู่ ควรกินยาเลื่อนประจำเดือนก่อน 3 วันเป็นอย่างน้อย
6. ยาเลื่อนประจําเดือนกินก่อนหรือหลังอาหาร?
กินยาเลื่อนประจำเดือนก่อนอาหารหรือหลังอาหารหรือพร้อมมื้ออาหารก็ได้ ผู้ใดที่กินแล้วมีอาการคลื่นไส้มากแนะนำให้กินหลังอาหาร 30 นาที หรือพร้อมมื้ออาหาร
7. ยาเลื่อนประจําเดือนเลื่อนได้กี่วัน?
หากยังคงกินยาเลื่อนประจำเดือนต่อเนื่อง ประจำเดือนจะยังไม่มาจนกว่าจะหยุดยา ประจำเดือนจะมาหลังหยุดยาไปแล้ว 2-3 วัน บางคนอาจนานถึง 7 วัน แต่ข้อบ่งใช้ของยาเลื่อนประจำเดือนคือ ห้ามทานติดต่อกันเกิน 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
8. กินยาเลื่อนประจําเดือนแล้วปวดท้อง อันตรายหรือไม่?
หากไม่เคยรับประทานอาจเป็นอาการข้างเคียงได้ ซึ่งจะหายเองเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวกับยาได้หรือเมื่อรับประทานหลังอาหาร 30 นาทีหรือพร้อมมื้ออาหาร แต่หากรับประทานบ่อยหรือต่อเนื่องแล้วมีอาการปวดท้องควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับ โรคของถุงน้ำดี ตับอ่อนอักเสบ หรือเส้นเลือดในช่องท้องอุดตัน
✅ ตรวจสอบข้อมูลโดย
แหล่งข้อมูล