ข้อดีของการออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่การออมการลงทุนประเภทอื่นไม่มี นั่นก็คือ สมาชิกกองทุนจะได้รับเงินจากนายจ้าง เรียกว่า “เงินสมทบ” มาช่วยเพิ่มพูนให้เงินเติบโตอีกทางหนึ่ง เหมือนได้เงินโบนัสเพิ่มพิเศษจากการทำงานทุกเดือน ซึ่งเป็นสวัสดิการที่นายจ้างให้แก่เฉพาะลูกจ้างที่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเท่านั้น
ตามกฎหมายแล้วสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสิทธิส่ง “เงินสะสม” เข้ากองทุนเพื่อเก็บออมเป็นเงินออมทุกเดือนได้ตั้งแต่ 2% ไปจนถึง 15% ของค่าจ้าง ขณะเดียวกันก็มีสิทธิได้รับ “เงินสมทบ” จากนายจ้างตั้งแต่ 2% ไปจนถึง 15% ของค่าจ้างเช่นกัน ในทางปฏิบัตินายจ้างสามารถกำหนดเงื่อนไขการนำส่งเงินสะสมและเงินสมทบแตกต่างกันได้ภายใต้อัตราที่กำหนดดังกล่าว กฎหมายยังเปิดให้ลูกจ้างสามารถสะสมเงินในอัตราที่มากกว่าอัตราสมทบของนายจ้างได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุใน “ข้อบังคับกองทุน” ของแต่ละบริษัท
หลายคนยอมพลาดโอกาสได้เงินพิเศษก้อนนี้เพราะคิดว่านำเงินไปลงทุนเองดีกว่า แต่อาจลืมนึกไปว่าการลงทุนเองจะต้องได้รับผลตอบแทนที่สูงมาก จึงจะเท่ากับจำนวนเงินสมทบของนายจ้างกรณีเป็นสมาชิกกองทุน เช่น สมมติว่าเราทำงานในบริษัท A เงินเดือน 40,000 บาท และสมัครเป็นสมาชิกกองทุน โดยส่งเงินสะสมในอัตรา 5% ของค่าจ้าง คิดเป็นเงิน 2,000 บาทต่อเดือน ส่วนนายจ้างส่งเงินสมทบให้ในอัตรา 3% ของค่าจ้าง คิดเป็นเงิน 1,200 บาท เงินสมทบที่ได้จากนายจ้างนี้เปรียบเสมือนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนถึง 60% เลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ง่ายนักหากนำเงินไปลงทุนเอง ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเงินที่จะได้จากการนำเงินสะสม-สมทบจำนวน 3,200 บาท ไปลงทุนให้เกิดดอกออกผลต่อไป
อย่างไรก็ดี แม้ว่านายจ้างจะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนให้ตั้งแต่เดือนแรกที่ลูกจ้างสมัครเป็นสมาชิกกองทุน แต่จะกำหนดเงื่อนไขที่สมาชิกกองทุนจะได้รับเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์ที่เกิดจากการลงทุนไว้ในข้อบังคับกองทุน โดยนายจ้างส่วนใหญ่มักให้เงินสมทบเป็นขั้นบันไดเพิ่มขึ้นตามอายุงานหรือระยะเวลาที่เป็นสมาชิกกองทุน เพื่อเป็นการตอบแทนและสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานกับนายจ้างนานขึ้น ตัวอย่างเงื่อนไขการได้รับเงินจากกองทุน เช่น หากสมาชิก “สิ้นสุดสมาชิกภาพ” โดยเป็นสมาชิกกองทุนน้อยกว่า 3 ปี จะไม่ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ แต่หากเป็นสมาชิกกองทุนมากกว่า 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี จะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ 50% และหากเป็นสมาชิกกองทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบเต็ม 100%
ดังนั้น หากเรามีโอกาสได้ทำงานกับนายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นหนึ่งในสวัสดิการแล้ว เราไม่ควรเพิกเฉยหรือละเลยที่จะสมัครเป็นสมาชิกกองทุนนับตั้งแต่วันแรกที่ทำได้ เพราะเงินเพิ่มพิเศษอย่างเงินสมทบที่ได้จากนายจ้างเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนการออมการลงทุนได้เร็วขึ้นและมีเงินออมก้อนใหญ่สำหรับเลี้ยงชีพหลังเกษียณได้
“เคยคิดมั้ย... ที่เราถูกหักเงินเดือนเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพทุกเดือน เราได้อะไร แล้วจริงๆ ควรหักเท่าไหร่”
มนุษย์เงินเดือนหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ถูกหักเงินเดือนเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนรู้สึกเหมือนเหลือเงินไว้ใช้จ่ายน้อยลง อยากเอาเงินไปทำอย่างอื่นบ้าง ทั้งที่จริงแล้วเงินก้อนนี้เป็นหนึ่งในหัวใจของความมั่งคั่งยามเกษียณของมนุษย์เงินเดือน ซึ่งจะช่วยให้ดำรงชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุขและไม่ต้องเป็นภาระกับลูกหลานด้วย
นอกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเป็นแหล่งเงินออมชั้นดีเพื่อวัยเกษียณแล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์เจ๋งๆ อีก 2 ต่อ ได้แก่
ต่อที่ 1 เมื่อจ่ายเงินสะสมเข้าไปในกองทุนฯ แล้ว ยังได้รับ “เงินสมทบจากนายจ้าง” ตามเงื่อนไขของบริษัท เหมือนเราได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือนโดยปริยาย
ต่อที่ 2 เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่เมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่า... ทำไมบริษัทถึงอยากให้เราสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่จริงๆ แล้วยังมีอีก “3 เคล็ดลับ เพิ่มเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ที่จะช่วยให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ดังนี้
ออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เต็มสิทธิ
ลองเปลี่ยนมุมมองซักนิดว่า... หากให้เราเก็บเงินเอง ก็อาจจะเก็บไม่อยู่ แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีหักเงินออมจากเงินเดือนมาสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย ก็รับประกันได้ว่าเราจะมีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณแน่นอน ดังนั้น เราควรเลือกหักเงินสะสมในอัตราสูงสุด พูดง่ายๆ คือ นายจ้างให้สิทธิออมได้สูงสุดเท่าไหร่ ก็เลือกใช้สิทธิเท่านั้น ซึ่งบางบริษัทให้เราสะสมได้ถึง 15% ของเงินเดือน และนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบให้อีกตามข้อกำหนดของบริษัท
ยิ่งเก็บเยอะ ยิ่งสบายในยามเกษียณ
ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราอายุ 30 ปี เงินเดือนอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน อัตราการขึ้นเงินเดือน 4% ต่อปี เลือกลงทุนในนโยบายตราสารหนี้ 100% ได้ผลตอบแทน 5.40% ต่อปี
หากเราเลือกสะสม 3% นายจ้างสมทบให้เท่ากันที่ 3% รวมเป็น 6% เราก็จะมีเงินออม ณ ปีที่เกษียณอายุ 3,860,437 บาทแต่หากเราเลือกสะสม 15% นายจ้างสมทบให้อีก 3% รวมเป็น 18% เราก็จะมีเงินออม 9,455,924 บาท จะเห็นว่า... เพียงแค่เราลดการใช้จ่ายในปัจจุบัน และเปลี่ยนไปออมต่อเดือนให้มากขึ้น เราก็จะมีเงินออมเพิ่มขึ้นถึง 5,595,487 บาทเลย
เลือกนโยบายการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การเลือกนโยบายลงทุน หรือ Employee’s Choice นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากต้องการให้เงินออมของเราโตมากๆ คาดหวังอัตราผลตอบแทนสูงๆ เป็นตัวเลขสองหลัก แต่เลือกนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ 100% ก็คงเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ไม่มีทางที่นโยบายการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว จะทำให้เราได้รับอัตราผลตอบแทนเป็นตัวเลขสองหลักแน่นอน
นั่นหมายความว่า... หากคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็ควรเลือกนโยบายการลงทุนที่แบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงๆ อย่าง “หุ้น” ด้วย
คำถามที่ตามมา คือ ควรแบ่งไปลงทุนในหุ้นสักกี่เปอร์เซ็นต์ดี 20% 30% 50% หรือ 70% คำตอบว่าควรจะแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นเท่าไหร่ดีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนที่เราคาดหวังว่าจะได้จากเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายวัยเกษียณ
นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเราเอง รวมไปถึงทางเลือกในนโยบายการลงทุน หรือ Choice ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเรามีให้เลือกอีกด้วย
แต่เนื่องจาก “หุ้น” ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าเงินฝากและตราสารหนี้ จึงทำให้หุ้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน หลายคนจึงกังวลว่าถ้าแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นแล้วจะทำให้ขาดทุน หรือเงินต้นจะสูญ อย่าลืมว่า... การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนที่มีระยะเวลายาวนาน 20 - 40 ปี ซึ่งทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของการลงทุนในหุ้นลดลง ขณะเดียวกันเงินออมของเราก็มีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจากการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า เราจะมีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณที่เพิ่มมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากเราเปลี่ยนนโยบายการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจาก “ตราสารหนี้ทั้ง 100%” เป็น “ตราสารหนี้ 70% และหุ้น 30%” จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 5.40% เป็น 7.33% ซึ่งจำนวนเงินออมที่มากกว่า ย่อมทำให้เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันบริษัทหลักจัดการกองทุน (บลจ.) ที่ดูแลกองทุนเงินสำรองเลี้ยงชีพของแต่ละบริษัท จะมีโปรแกรมให้เราเข้าไปลองคำนวณเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อดูว่า ณ วันเกษียณเราจะมีเงินออมก้อนดังกล่าวประมาณเท่าไหร่ บางที่ Advance กว่านั้น คือ เราสามารถทดลองปรับเปลี่ยนอัตราเงินสะสมและนโยบายการลงทุน เพื่อฉายภาพให้เราสามารถวางแผนออมเงินในกองทุนสำรองให้เพียงพอกับที่ต้องการได้ด้วย