สาวๆ หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่า ตกขาวมักเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิง โดยตกขาวก็มีหลายลักษณะเช่นตกขาวสีเทา ตกขาวเป็นก้อนขาวข้น ตกขาวปนเลือด ตกขาวสีเขียว แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงตกขาวสีเหลือง เพราะตกขาวสีเหลืองสามารถบอกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็มี 5 สาเหตุที่ทำให้ตกขาวเป็นสีเหลืองดังนี้
1.ติดเชื้อแบคทีเรีย
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดถือว่าไม่เป็นอันตราย เพราะปกติแบคทีเรียชนิดนี้ยังมีหน้าที่คอยปกป้องไม่ให้แบคทีเรียชนิดอื่นมาก่อกวน แต่ถ้าเสียสมดุลเมื่อไหร่ ก็อาจก่อโรคที่ทำให้มีการติดเชื้อและอักเสบในช่องคลอดที่รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การมีตกขาวสีเหลือง และการคันตามช่องคลอด
2.ติดเชื้อจากโรคหนองใน
โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 2 อาทิตย์ ซึ่งจะมีอาการตกขาวสีเหลืองปริมาณมาก รวมถึงปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บหรือแสบร่วมด้วย
3.ติดเชื้อรา
ตกขาวสีเหลืองที่เกิดจากการติดเชื้อรา เกิดได้จากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน การทานยากดภูมิคุ้มกัน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยสาเหตุนี้ก็ทำให้เกิดตกขาวสีเหลืองได้เช่นกัน ซึ่งการติดเชื้อราในช่องคลอด ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่หากคู่นอนเป็นเชื้อราก็อาจนำมาติดกันได้
4.พยาธิในช่องคลอด
พยาธิในช่องคลอดเกิดจากการติดเชื้อโปรโตชัว ที่พบได้จากน้ำในช่องคลอด ซึ่งติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการติดเชื้อชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มีตกขาวสีเหลือง แต่จะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด บวม แดง แสบคันบริเวณอวัยวะเพศ ปวดปัสสาวะบ่อย และเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
5.การสวมกางเกงในคับจนเกินไป
สาเหตุนี้ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อราซึ่งจะนำไปสู่การตกขาวสีเหลือง เพราะการสวมกางเกงในที่คับจนเกินไปจะทำให้อับชื้น รวมถึงการมีรูปร่างที่อ้วน มีเหงื่อมาก หรือการสวนล้างช่องคลอดมากไป ก็จะทำให้มีตกขาวดังกล่าวเกิดขี้น ดังนั้นควรสวมใส่กางเกงที่มีขนาดพอดี ไม่คับแน่น และระบายอากาศได้ดีด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพบความผิดปกติในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตกขาวชนิดใดก็ตาม มีอาการมาก อาการน้อย หรือผิดปกติชนิดรุนแรง มีกลิ่นเหม็น ตกขาวปนเลือด ปวดท้องน้อย ก็ไม่ควรนิ่งเฉย ทางที่ดีไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะดีที่สุด
เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงเราก็จะเริ่มคุ้นเคยกับการมีประจำเดือน และบางคนอาจจะมีอาการของ “ตกขาว”ตามมาด้วยเช่นกันตกขาว คือของเหลวที่ถูกขับออกจากช่องคลอด มีลักษณะเป็นเมือก ลื่น มักจะมา 3 ช่วงเวลาคือ ช่วงก่อนมีประจำเดือน ช่วงระหว่างมีประจำเดือน และช่วงหลังมีประจำเดือน ซึ่งตกขาวที่ปกตินั้นจะมีสีขาวขุ่นหรือสีใส และไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ตกขาวที่ผิดปกติ จะมีสีที่ต่างไปจากเดิม เช่น สีเหลืองหรือสีเขียว มาพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์มีลักษณะเป็นก้อนหนา รวมไปถึงมีอาการแสบช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายเริ่มมีความผิดปกติ
เพราะสุขภาพภายในของผู้หญิง เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นดูแลสุขภาพและสำรวจความผิดปกติใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากการสังเกตความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมามากหรือมานานผิดปกติ เรายังควรให้ความสำคัญของการสังเกตอาการตกขาวด้วย เพราะสีของตกขาวอาจเป็นสัญญาณเตือนบ่งบอกโรคได้เช่นกัน
ลักษณะอาการตกขาวที่ผิดปกติ
- ตกขาวสีเทา หรือเทาอ่อน
ตกขาวสีเทามักมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับหรือกลิ่นคาว ส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาสวนช่องคลอด หรือการรับยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ตกขาวสีขาวขุ่นผิดปกติหรือมีสีเหลืองอ่อน
ตกขาวชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นก้อนและมีสีที่ขุ่นผิดปกติ มาพร้อมกลิ่นเหม็นอับ ทำให้รู้สึกคันบริเวณอวัยวะเพศ อาจเกิดร่วมกับอาการปัสสาวะขัดและอาการแสบช่องคลอด ตกขาวสีนี้มักเกิดจากปัญหาเชื้อราในช่องคลอด
- ตกขาวสีเหลืองเข้ม
มาพร้อมกลิ่นคาวและอาการคัน ปัสสาวะขัด อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน หรือเกิดจากเชื้อราและเชื้อไวรัส
- ตกขาวสีเขียว หรือเหลืองปนเขียว
พร้อมกลิ่นคาวและอาการคัน มักเกิดจากติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวแบบมีเลือดปนหรือมีสีน้ำตาล
ตกขาวชนิดนี้อาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ร่วมด้วย อาจเกิดหลังการมีประจำเดือน หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อที่ปากมดลูก หรือมีเลือดออกจากการตกไข่
- ตกขาวแบบมีฟอง
มักมาพร้อมอาการระคายเคือง คัน แสบขัดตอนปัสสาวะและแสบช่องคลอด อาการเกิดจากการติดเชื้อทริโคโมนาสในช่องคลอดที่สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวสีชมพู หรือสีชมพูจางๆ
มักพบในผู้หญิงที่พึ่งคลอดลูกและอาจเกิดได้จากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อเดียวกัน อาจมีการแสดงของตกขาวที่ผิดปกติต่างกัน และตกขาวที่ผิดปกติก็อาจเกิดได้จากการติดเชื้อแตกต่างกัน ดังนั้น เมื่อพบความผิดปกติ จึงควรพบสูตินรีแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาได้ตรงจุด